Endless Path : Infinite Cosmos, อนันตวิถีจักรวาล - ตอนที่ 70
ในขณะที่เฮเฟสตัสกำลังพยายามอย่างหนักเพื่อป้องกันปัญหาในอนาคต วาห์นเองก็กำลังวุ่นวายกับปัญหาในปัจจุบัน
สึบากิได้ยกระดับการฝึกของเขาขึ้นไปอีกและแทนที่จะฝึกซ้อมและพัฒนาความสามารถทางกายภาพของเขา ตอนนี้เธอกำลังให้เขาต่อสู้โดยใช้อาวุธ
ทั้งสองยืนห่างจากกันห้าเมตรและขนทั้งหมดบนร่างของวาห์นก็ตั้งชันขึ้นเมื่อประสาทสัมผัสของเขากรีดร้องให้รีบวิ่งหนีออกไปไกลๆ
สึบากิตั้งท่าแบบลดตัวลงต่ำขณะที่มือของเธอวางอยู่บนด้ามดาบคาตานะ
ร่างกายของเธอยังคงนิ่งสนิทและจากมุมมองของวาห์น ดูเหมือนเธอจะแทบไม่หายใจด้วยซ้ำ
สิ่งเดียวที่เขาสัมผัสได้ก็คือคือจิตอันแน่วแน่ในสายตาของเธอที่ทำให้เขาก้าวขาไม่ออก
มันไม่ใช่สายตาของนักล่าที่เขาเคยเห็นจากผู้คนที่พยายามเอาเปรียบเขาและสิ่งเดียวที่วาห์นมองออกจากดวงตาข้างเดียวนั่นก็คือความมั่นใจอย่างแท้จริง
ความมั่นใจที่กำลังบอกเขาว่าไม่มีอะไรจะมาหยุดยั้งสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้ได้
วินาทีแปรเปลี่ยนเป็นนาทีขณะที่ทั้งสองตั้งท่าเผชิญหน้ากันอยู่แบบนั้น
วาห์นถือดาบไว้ข้างหน้าและเตรียมรับการโจมตี ขณะที่สึบากิยังคงรักษาท่าของเธอไว้แบบเดิมพร้อมกับคาตานะที่ยังคงอยู่ในฝัก
เหงื่อที่ผุดขึ้นจากหน้าผากของวาห์นค่อยๆ ไหลลงผ่านใบหน้าจนกระทั่งไปรวมกันอยู่ตรงขอบจมูกของเขา
เขารู้สึกได้ว่ามันทำให้รู้สึกจั๊กจี้ทุกครั้งที่หายใจเข้าจนกระทั่งต้องเอามันออกด้วยการหายใจออกมาแรงๆ
จังหวะที่วาห์นหายใจออก ร่างของสึบากิดูเหมือนจะเอียงไปเล็กน้อยก่อนจะกลายเป็นภาพเบลอ
เขาเข้าใจว่าปรากฏการณ์นี้คือภาพติดตาเพราะเห็นมันหลายครั้งแล้วตั้งแต่ที่เริ่มการฝึกแบบใหม่
วาห์นก้าวถอยหลังอย่างรวดเร็วและเตรียมรับการโจมตีที่มองไม่เห็น
ดวงตาของเขาพุ่งไปด้านหน้าขณะที่ใช้พลังเขตแดนตรวจจับทุกอย่างที่อยู่ด้านหลัง
เมื่อสมาธิของเขาเพิ่มขึ้นถึงขีดสุด สีสันก็ค่อยๆ จางหายไปจากสภาพแวดล้อมรอบๆ
ขณะที่เวลาดูจะเคลื่อนช้าลงและจากการรับรู้ของเขา วาห์นสามารถสัมผัสได้ถึงดาบที่กำลังเข้ามาใกล้แม้ว่ามันจะยังมาไม่ถึงก็ตาม
เขากำลังมองภาพลวงตาของดาบที่ฉีกร่างกายของเขาออกเป็นชิ้นๆ
เขาบิดสะโพกตามและวางตัวเพื่อรับการโจมตีพร้อมกับพยายามปัดมันออกไป แต่ก็ต้องประหลาดใจเพราะสิ่งเดียวที่เขาเห็นก็คือสึบากิที่ยังอยู่ในท่าเดิม
การปัดป้องของวาห์นไม่ได้เกิดผลอะไรเลยแถมยังเป็นการเปิดช่องว่างในการป้องกันของเขาแทน
สึบากิใช้ช่วงเวลานั้นกดฝ่าเท้าของเธอลงบนพื้นขณะที่เสียงโลหะกระทบกันก็ดังก้องอยู่ในหูของวาห์น
เมื่อมาถึงจุดนี้ จากมุมมองของวาห์นนั้นเวลาก็ดูเหมือนจะหยุดไปเลยยกเว้นแต่การเคลื่อนไหวของดาบที่อยู่ต่อหน้าเขา
ลำแสงที่เขาเห็นนั่นเหมือนจะเป็นดวงตาของสึบากิในขณะที่ดาบคาตานะเคลื่อนเข้ามาที่คอของวาห์นแบบที่ไม่มีอะไรไปหยุดมันได้
อีกไม่กี่มิลลิเมตรคาตานะก็จะทำการแยกหัวของวาห์นออกจากร่างกายของเขาแล้ว แต่จู่ๆ แรงที่ไม่มีอะไรมาหยุดได้กลับสลายหายไปแบบดื้อๆ
ตอนนี้ตัวดาบอยู่ห่างจากเส้นเลือดที่คอของวาห์นไปไม่ถึงมิลลิเมตรในขณะที่เขาได้แต่ยืนนิ่งและรออย่างใจเย็น
สึบากิค่อยๆ ลดดาบและเก็บมันเข้าฝัก ไม่กี่อึดใจต่อมา สีหน้าดุเดือดบนใบหน้าของเธอก็ถูกแทนที่ด้วยรอยยิ้มอย่างเป็นมิตร
“ความเร็วในการตอบสนองไวกว่าเดิมเยอะเลยนะ เธอต้องมีสมาธิกับการตัดสินใจให้มากกว่านี้ว่าคู่ต่อสู้กำลังทำอะไรอยู่แทนที่จะเชื่อการตอบสนองในจังหวะแรกอย่างเดียว ถ้าฉันโจมตีแบบปกติเธอก็อาจจะปัดมันออกได้ได้ แต่เพราะฉันใช้จิตหลอกสัมผัสของเธอ เธอก็เลยเปิดช่องว่างและสร้างโอกาสให้ฉันโจมตีได้แทน”
เมื่อสึบากิอธิบายถึงข้อบกพร่องของเขา วาห์นก็ยังคงยืนเหวออยู่แบบนั้น
เขาเป็นแบบนั้นไปเรื่อยๆ จนกระทั่งสึบากิมาตบที่ไหล่และบอกให้เขาพักสักครู่
นั่นทำให้เขาหลุดจากภวังค์และทรุดลงไปกับพื้นทันที
นาซ่าที่รออยู่ข้างๆ เข้ามาหาวาห์นพร้อมกับผ้าเช็ดตัวอุ่นๆ และขวดน้ำเย็นๆ
สึบากิได้ขอให้เธอรับผิดชอบดูแลวาห์นหลังการฝึกรับมือจิตสังหาร
ทุกครั้งที่การฝึกของพวกเขาจบลง วาห์นจะมีสภาพนิ่งค้างขณะที่สมองของเขากำลังประมวลออกมาว่าตัวเองยังมีชีวิตอยู่
เป็นหน้าที่ของนาซ่าที่จะช่วยเขาผ่อนคลายเพื่อให้การฝึกดำเนินต่อไปได้
ในขณะนั้นเอง ลิลลี่ก็ได้แต่กัดฟันกรอดเพราะเธอไม่สามารถขยับไปไหนได้เลย
เธออาสามาดูแลวาห์นแต่สึบากิไม่อนุญาตเพราะลิลลี่เองก็ต้องเข้ารับการฝึกของตัวเองเช่นกัน
ตอนนี้เธอกำลังอยู่บนคานในขณะที่ประคองเสาโลหะขนาดใหญ่ในมือ
เธอต้องการย้ายเสาจากปลายด้านหนึ่งของคานไปยังอีกด้านหนึ่งโดยที่ไม่ตกลงไปและต้องลงไปยืนด้วยมือหากต้องการจะหยุดพัก
—
วาห์นตื่นขึ้นมาพบใบหน้าอันคุ้นเคยของนาซ่าที่มองดูเขาจากด้านบน
เขารู้สึกได้ถึงความอ่อนนุ่มที่หลังคอซึ่งก็หมายความว่าเธอกำลังให้เขาหนุนตักอยู่
พอเห็นว่าเขารู้สึกตัวแล้ว นาซ่าก็นำผ้าขนหนูออกจากหัวของเขาก่อนจะนำขวดน้ำไปวางไว้ใกล้ปาก
วาห์นเริ่มคุ้นเคยกับการกระทำนี้แล้ว เขาจึงอ้าปากและดื่มน้ำที่เธอเทให้อย่างช้าๆ
หลังจากนั้นเขาก็นอนพักบนตักของเธออีกครู่หนึ่งเพื่อปรับลมหายใจให้คงที่
“เหมือนว่ารอบนี้นายเกือบทำสำเร็จแล้วนะ”
นาซ่าส่งเสียงหัวเราะเบาๆ ขณะเช็ดเหงื่อบนหน้าผากของวาห์น
วาห์นที่ยังนอนอยู่บนตักของเธอก็ถอนหายใจยาวๆ ก่อนจะส่ายหัวเล็กน้อย
“ทุกครั้งที่ฉันคิดว่าน่าจะรับการโจมตีของสึบากิได้ แต่เธอดันอ่านออกและเปลี่ยนวิธีโจมตีตลอดเลย”
นาซ่าพยักหน้าให้ก่อนจะตอบ
“นั่นก็ใช่ แต่สึบากิผ่านประสบการณ์ต่อสู้มายี่สิบกว่าปีแล้วนะ คงเป็นเรื่องแปลกมากกว่าถ้านายจะสามารถรับการโจมตีของเธอได้ในขณะที่ยังเป็นแค่เลเวล 2 ฉันคิดว่าเธอกำลังพยายามทำให้นายสามารถปรับตัวเข้ากับแรงกดดันของคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งกว่าได้แน่ๆ”
วาห์นเองก็เห็นด้วยกับนาซ่า เพราะมันคือสิ่งที่สึบากิบอกกับเขาเมื่อตอนเริ่มฝึก
หลังจากนั้นวาห์นก็ซ้อมกับสึบากิไปอีกเก้าครั้ง เท่ากับว่าวันนี้เขาโดนอัดไปสิบครั้งแล้ว
เขายังคงไม่อาจป้องกันการโจมตีได้แม้แต่ครั้งเดียว แต่ก็เริ่มพัฒนาเรื่องการดูภาพติดตาจากการต่อสู้ไปบ้างแล้ว
ถึงแม้ว่าวาห์นจะไม่ได้ว่าอะไรที่นาซ่าเข้ามาดูแลใกล้ชิดแบบนี้ แต่มันก็เริ่มทำให้เขารู้สึกอึดอัดภายในใจขึ้นมาทีละนิด
มีครั้งหนึ่งที่เขาจับได้ว่านาซ่าแอบดมผ้าที่เธอใช้เช็ดเหงื่อของเขาและนั่นทำให้วาห์นรู้สึกแปลกๆ
—
เมื่อการฝึกในช่วงเช้าเสร็จสิ้นลง วาห์นก็เข้าไปทำงานในโรงหลอมของสึบากิเพื่อจัดการไอเท็มต่างๆ ที่เธอมอบหมาย
เธอเริ่มทำงานตามที่สัญญาจ้างระบุไว้ไม่ทันแล้ว ดังนั้นวาห์นจึงอยากจะช่วยเธอจัดการกับวัตถุดิบต่างๆ เพื่อประหยัดเวลา
แม้เขาจะไม่สามารถช่วยเธอได้ในกระบวนการหลอมได้ แต่เขาก็มีความรู้มากมายเกี่ยวกับวิธีการเตรียมวัตถุดิบที่เหมาะสมจนได้มาเป็นผู้ช่วยของเธออย่างรวดเร็ว
สึบากิรู้สึกขอบคุณมากสำหรับความช่วยเหลือและใช้โอกาสตอนที่งานไม่ยุ่งมากเพื่ออธิบายให้วาห์นฟังเกี่ยวกับกระบวนการที่เธอใช้สร้างอุปกรณ์สวมใส่
วันนี้สึบากิจะสร้างหมวกป้องกันโดยใช้ส่วนผสมของโลหะเวทมนตร์กับอะดาแมนไทน์
พอทำเสร็จออกมาแล้วหมวกป้องกันก็เกือบจะไม่สามารถถูกทำลายได้และยังได้รับคุณสมบัติเพิ่มเติมในการสลายแรงกระแทกที่เกิดการจากโจมตีอย่างรุนแรง
การหลอมอะดาแมนไทน์นั้นเป็นกระบวนการที่ใช้เวลายาวนานและลำบากมากเนื่องจากมันเป็นวัตดุดิบที่มีความคงทนสูง
ต้องมีการใช้เครื่องมือพิเศษและนำไปแช่ในสารละลายที่ผสมมานาอยู่บ่อยครั้งเพื่อลดความทนทานของโลหะลง
แม้แต่ ‘เพลิงนิรันดร์’ ของวาห์นก็ไม่อาจเปลี่ยนรูปมันได้หากไม่นำไปแช่ในสารละลายกว่าหนึ่งชั่วโมงก่อนเริ่มกระบวนการ
สึบากิมอบโลหะแท่งเล็กๆ ให้กับเขาซึ่งมากพอที่จะทำมีดออกมาได้หนึ่งเล่มและวาห์นได้รับอนุญาตให้นำมันไปทดลองใช้ได้อย่างอิสระ
นาซ่ารู้สึกประหลาดใจที่เห็นวาห์นได้รับวัสดุที่มีราคาแพงขนาดนี้
เนื่องจากอะดาแมนไทน์เป็นหนึ่งในวัตถุดิบที่มีราคาแพงที่สุดในท้องตลาด
แร่หนึ่งกรัมอาจมีราคามากถึง 15,000 วาลิส เนื่องจากความหายากของตัวโลหะ แต่วาห์นกลับได้มาทั้งหมดถึง 500 กรัม
เมื่อไหร่ก็ตามที่วาห์นมีเวลาว่าง เขาจะพยายามใช้สารพัดวิธีเพื่อขึ้นรูปโลหะแท่งนี้
เขาถึงขนาดซื้อข้อมูลจากร้านค้าในระบบเพิ่ม แต่ทั้งพละกำลังและเทคนิคการหลอมในปัจจุบันของเขาก็ยังมีไม่มากพอที่จะทำให้กระบวนการดังกล่าวง่ายขึ้น
อะดาแมนไทน์ไม่ได้มีคุณสมบัติเป็นตัวนำตามธรรมชาติซึ่งทำให้ยากต่อการใส่ ‘พลังงาน’ เข้าไป
มันมักจะถูกผสมเข้ากับโลหะชนิดอื่นเช่นโลหะเวทมนตร์และมิธริลเพื่อแก้ไขตรงจุดนั้น
วาห์นมีความตั้งใจแน่วแน่ในการหาวิธีที่ดีที่สุดเพื่อจัดการกับมันในอนาคต เนื่องจากเขาต้องการสร้างอาวุธที่ไม่สามารถถูกทำลายได้ขึ้นมาใช้เอง
—
เมื่อถึงช่วงบ่ายสอง วาห์นและลิลลี่ก็เริ่มเตรียมการเพื่อมุ่งหน้าไปยังดันเจี้ยน แต่สึบากิกลับมาหยุดพวกเขาไว้ก่อน
เธอยิ้มกว้างให้กับวาห์นก่อนจะถาม
“จำได้หรือเปล่าว่านี่คือวันอะไร?”
วาห์นนึกไม่ออกและเริ่มพิจารณาคำถามอย่างจริงจัง
ลิลลี่ที่อยู่ข้างๆ ก็พูดขึ้น
“วันนี้เป็นวันสุดท้ายของเดนาตัสแล้วนี่นา วาห์นจะได้รับฉายาวันนี้ใช่ไหมคะ?”
สึบากิยกนิ้วโป้งให้และหัวเราะออกมา
“ฮ่าฮ่าฮ่า ใช่แล้ว! เก่งมากลิลลี่ เธอนี่เป็นคนที่ให้ความสนใจกับรายละเอียดมากเลยนะ โดยเฉพาะเรื่องของวาห์นเนี่ย”
สึบากิเริ่มลูบหัวของลิลลี่โดยไม่ฟังเสียงคัดค้านและทำให้ลิลลี่ดิ้นไปมา
“หึ คนที่จับหูของฉันได้มีแค่วาห์นคนเดียวเท่านั้นนะคะ ท่านสึบากิไปลูบหัวของนาซ่าแทนเถอะ…”
ตอนนี้ลิลลี่กำลังปิดหูของเธอด้วยมือสองข้างและถอยห่างจากสึบากิ
เกิดแสงแวววับตรงดวงตาสีแดงเข้มของไซคลอปส์สาวขณะที่เธอคว้าลิลลี่อย่างรวดเร็วและเริ่มกอดอย่างแนบแน่นแบบแก้มชนแก้ม
“ฮ่าฮ่าฮ่า เธอนี่น่ารักไม่เปลี่ยนเลยนะ ลิลลี่~ ไม่ต้องเขินหรอก!”
“วาห์นนนนน- ช่วยด้วยยยย!”
ลิลลี่เอื้อมมือไปหาวาห์นผู้ซึ่งจ้องมองด้วยสายตาว่างเปล่า
เขาคุ้นเคยกับการเห็นลิลลี่ถูกสึบากิจัดการแล้ว และรู้ว่าเป็นเรื่องที่ตัวเองทำอะไรไม่ได้เลย
เหอะ ถ้าเกิดสึบากิคึกขึ้นมาจริงๆ แม้แต่ก็วาห์นไม่อาจปกป้องตัวเองจากเงื้อมมือของเธอได้เลย
เมื่อมาถึงจุดนี้ เขาก็เริ่มเรียนรู้ที่จะคุ้นชินไปกับมันและยังถึงขั้นสนุกไปกับมันด้วยถ้าสึบากิไม่โลดโผนเกินไปนัก
มันเป็นอะไรที่ผ่อนคลายเสมอเมื่อเธอค่อยๆ กอดหัวของเขาอย่างอ่อนโยน และมีหลายครั้งที่เขาผลอยหลับไปในอ้อมกอดของเธอ
—
วันนี้พวกเขาตัดสินใจว่าจะอยู่บ้านและใช้เวลาที่เหลือเพื่อผ่อนคลาย
นาซ่าได้ใช้โอกาสนี้เชื้อเชิญให้วาห์นเข้าไปที่ห้องทำงานของเธอและพูดคุยกันเกี่ยวกับวิธีการต่างๆ ในการปรับปรุงโพชั่น
เมื่อไหร่ก็ตามที่พวกเขาคุยกัน นาซ่าก็มักจะมีสมุดบันทึกในมือและคอยจดบันทึก ‘ข้อมูลเชิงลึก’ ทุกอย่างที่วาห์นบอก
วาห์นเองก็ไม่ได้ว่าอะไร เพราะเขาสนุกไปกับท่าทางของนาซ่าเวลาที่เธอพูดเรื่องการผสมวัตถุดิบ
เขาอยากรู้ว่าเธอจะสามารถปรุงยาที่แข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมได้หรือไม่ และว่าเธอจะสามารถเรียนรู้สกิล [เล่นแร่แปรธาตุ] ในอนาคตได้หรือเปล่า
ลิลลี่เองก็อยู่ที่นั่นด้วย เพราะช่วงนี้เธอเริ่มใช้เวลากับนาซ่ามากขึ้นเช่นกัน
แต่เดิมนั้นเธอได้เรียนรู้การผสมยาจากในหนังสือ ดังนั้นการที่มีคนที่มีประสบการณ์มาช่วยชี้แนะให้นับว่าเป็นสิ่งที่ดีมาก
แม้ว่าพวกเธอจะเข้ากันไม่ค่อยได้ แต่ก็ยังให้ความเคารพซึ่งกันและกันและช่วยกันรับมือกับข้อบกพร่องของอีกฝ่าย
ลิลลี่ได้ช่วยฝึกการต่อสู้ให้นาซ่าด้วย ซึ่งเธอก็รู้สึกประหลาดใจเมื่อพบว่าตัวเองไม่ได้แข็งแกร่งไปกว่านักผจญภัยเลเวล 1 มากนัก
นั่นทำให้นาซ่าทบทวนเรื่องขอฝึกกับสึบากิ แต่ตอนนี้เธอต้องการให้ความสนใจกับเรื่องพัฒนาสกิล [ผสมวัตถุดิบ] มากกว่า
ทั้งสามพูดคุยกันและทำการทดลองต่อไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงช่วงเย็น
สึบากิปรากฏตัวขึ้นและบอกให้พวกเขารู้ว่าเฮเฟสตัสได้มาถึงแล้ว
ทั้งสามจึงทำความสะอาดและเดินไปที่ห้องอาหาร
เมื่อพวกเขาเข้ามาถึง ก็เห็นเฮเฟสตัสกำลังนั่งท้าวโต๊ะอย่างหดหู่
เธอใช้ช้อนคนกาแฟไปเรื่อยๆ และทำท่าทางขี้เกียจอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน
เฮเฟสตัสเห็นว่าพวกเขาเข้ามาแล้ว เธอจึงกลับมานั่งท่าปกติก่อนจะยิ้มเจื่อนให้กับวาห์น
“ขอโทษด้วยนะวาห์น ฉันพยายามเต็มที่แล้ว แต่พวกงี่เง่านั่นกลับไม่ฟังเหตุผลเลย”
เธอถอนหายใจและเริ่มจิบกาแฟขณะที่ทุกคนนั่งลง
ถึงวาห์นจะรู้สึกกังวลเล็กน้อยว่าอาจได้ฉายาแปลกๆ แต่ก็ไม่คิดว่ามันจะเป็นเรื่องใหญ่ขนาดนั้นและพยายามปลอบใจเธอ
“ไม่เป็นไรหรอกเฮเฟสตัส ผมค่อยไปเปลี่ยนมันตอนไปถึงเลเวล 3 แล้วก็ได้ ถึงมันจะแปลกแค่ไหนก็ไม่ใช่ปัญหาอะไรเลย”
เขายิ้มให้กับเฮเฟสตัสและสังเกตว่าเธอดูผ่อนคลายลงเล็กน้อยหลังจากได้ยินคำพูดของเขา
“เอ่อ จริงๆ มันก็ไม่แปลกอะไรหรอกนะ… แค่อาจจะฟังดูอึดอัดนิดหน่อย”
ขณะที่เฮเฟสตัสพูด เธอก็ทำท่าเขินเล็กน้อยซึ่งทำให้ทุกคนในห้องสับสน
สึบากิเองก็ยังไม่ทราบเรื่องฉายานี้เช่นกันและความสนใจของเธอพุ่งถึงขีดสุดขณะเริ่มหยอกล้อกับเทพธิดาของเธอ
“เห? ท่านเฮเฟสตัส? หรือว่ามันเป็นฉายาที่น่าอายคะ?”
พอเฮเฟสตัสเห็นว่าทุกคนมองเธอด้วยสีหน้าสงสัยกว่าเก่าก็ยิ่งเขินหนัก
เธอมองไปที่วาห์นผู้เป็นคนๆ เดียวที่มีสีหน้าปกติและถอนหายใจอีกครั้ง
“………..วัลแคน…”
ขณะที่เธอพูดออกมา เฮเฟสตัสอดไม่ได้ที่จะเอาหน้าไปซุกโต๊ะทันที
สึบากิเริ่มหัวเราะอย่างบ้าคลั่งขณะคนอื่นยังไม่หายงง
วาห์นไม่คิดว่าฉายานี้ฟังดูแย่ตรงไหนและสงสัยว่าทำไมเฮเฟสตัสต้องเขินแบบนี้ด้วย
ลิลลี่ตัดสินใจถามความหมายของฉายากับสึบากิ
“ท่านสึบากิคะ… ชื่อนี้มันตลกตรงไหนเหรอ?”
สึบากิยังหัวเราะไปเรื่อยๆ ขณะมองไปมาระหว่างวาห์นกับลิลลี่
“นี่ๆ เธอเองก็อยากรู้มากใช่ไหมลิลลี่? โอเค ฉันจะบอกให้ฟัง! วัลแคนเป็นชื่อเล่นของท่านเฮเฟสตัสนี่แหละ~ จะพูดอีกอย่างก็คือ มันเป็นเหมือนการประกาศให้คนทั้งเมืองรู้ว่าเธอกับวาห์นแทบจะตัวติดกันตลอดไงล่ะ! ฮ่าฮ่าฮ่า!”
สึบากิถึงขั้นหัวเราะจนตกเก้าอี้ ดูเหมือนว่าเธอจะสนุกกับเรื่องฉายานี้มากจริงๆ
ลิลลี่และนาซ่าต่างแสดงสีหน้าตกใจขณะที่มองไปที่เฮเฟสตัสซึ่งตอนนี้ได้เอาหน้าไปซุกแขนตัวเองเรียบร้อยแล้ว
สีหน้าของวาห์นไม่ได้เปลี่ยนไปมากนักและเขากำลังคิดถึงตัวชื่อและเหตุผลที่สึบากิบอก
ที่จริงแล้ว พวกเขาทั้งคู่ต่างเชื่อมต่อกันผ่าน ‘เพลิงนิรันดร์’ จนเหมือนตัวติดกันจริงๆ นั่นแหละ
วาห์นคิดว่ามันเป็นชื่อที่เหมาะมาก ดังนั้นเขาจึงพยายามเปลี่ยนบรรยากาศให้ดีขึ้น
“เป็นชื่อที่ดีมากเลยล่ะ เฮเฟสตัส ผมจะพยายามให้ดีที่สุดเพื่อไม่ให้ชื่อนี้ต้องมัวหมอง”
วาห์นแสดงท่าทางพึงพอใจซึ่งส่งผลให้เฮเฟสตัสที่อายอยู่แล้วเริ่มส่งเสียงร้องอย่างหงุดหงิด
(TL: ชื่อตอนสำรอง: ‘ไม่มีทางหนีรอดไปได้หรอก’, ‘สึบากิ… น่ากลัว’, ‘RIP เฮเฟสตัส’, ‘เนียนเลยนะ นาซ่า’)
—————