Endless Path : Infinite Cosmos, อนันตวิถีจักรวาล - ตอนที่ 77
วาห์นใช้เวลาทั้งคืนภายในทางเดินที่เชื่อมกับบันได
แม้เขาคิดว่าจะออกจากดันเจี้ยนและกลับบ้านในคืนนั้น แต่วาห์นก็เลือกที่จะหล่อหลอมตัวเองด้วยการอยู่ต่อไป
เพราะก่อนหน้านี้เขาตั้งใจว่าจะกลับก็ต่อเมื่อไปต่อไม่ไหวแล้วเท่านั้น วาห์นจึงตัดสินใจอยู่ที่นี่ให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้
ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ความเชี่ยวชาญในการใช้สกิล [จิตแห่งราชัน] ของเขาได้เพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก
ตอนนี้่เขาจึงสามารถคงสภาพเขตแดนเอาไว้โดยไม่ต้องเพ่งจิตตราบเท่าที่พลังงานภายในร่างของเขายังไม่หมดไปเสียก่อย
เนื่องจากเขามีสกิลอย่าง [จิตวิญญาณฟื้นฟู] [พรแห่งอิกดราซิล] และ [หัวใจของเพลิงนิรันดร์] มาช่วยเสริมการฟื้นฟูพลังงาน วาห์นจึงสามารถคงสภาพเขตแดนโดยไม่ต้องใช้พลังงานมากเกินไป ตราบใดที่เขาไม่ได้ทำอย่างอื่นควบคู่ไปด้วย
เมื่อวาห์นตื่นขึ้นในวันถัดไป เขาก็เตรียมตัวเพื่อเคลียร์ชั้นที่ 7
ชั้นที่ 7 นั้นเป็นสถานที่ที่เขาไปได้ไกลที่สุดในก่อนหน้านี้ และเขาก็อยากรู้ว่าตัวเองได้เติบโตขึ้นมากแค่ไหนตั้งแต่มาที่นี่ครั้งล่าสุด
แม้เขาจะมีไอเท็มอย่าง [หน้ากากกันโรคระบาด] [เสื้อคลุมล้างสถานะ] และ [กริชมิธริล] แต่วาห์นก็ไม่ได้สวมใส่พวกมันเนื่องจากอยากจะพัฒนาตัวเองต่อไปโดยใช้ ‘เขตแดนแห่งเพลิงนิรันดร์’
แม้ว่ามอนสเตอร์ในชั้นที่ 7 จะค่อนข้างน่ารำคาญในสถานการณ์ปกติ แต่วาห์นก็สามารถเดินหน้าต่อได้อย่างราบรื่นแม้จะพบกับฮอร์นแรบบิทและเพอร์เพิลมอธ
อย่างไรก็ตาม สิ่งต่างๆ ก็ไม่ได้เป็นไปตามแผนที่วางไว้เสมอและวาห์นก็ประสบปัญหาเล็กน้อยเมื่อพบฝูงคิลเลอร์แอ๊นท์ (มดพิฆาต)
คิลเลอร์แอ๊นท์สามารถต้านทานเปลวเพลิงของเขาได้ในระดับหนึ่งและเมื่อไหร่ก็ตามที่เข้ามาในพื้นที่เขตแดน พวกมันก็จะส่งเสียงร้องแหลมๆ และปล่อยฟีโรโมนที่ทำให้คิลเลอร์แอ๊นท์ใกล้เคียงมารวมตัวกัน
วาห์นเกือบจะพลาดท่าให้กับฝูงคิลเลอร์แอ๊นท์จำนวนมหาศาล แต่ความเสียหายที่มากขึ้นกลับทำให้เขาควบคุมสถานการณ์ได้ง่ายกว่าเดิมมาก
แม้ว่าจะไม่แน่ใจถึงผลลัพธ์ทั้งหมดของสกิล แต่วาห์นก็ยังประหลาดใจกับการเพิ่มพลังที่เขาได้รับจากสกิล [ร่างจตุรเทพ]
ยิ่งเขาต่อสู้กับฝูงมดนานเท่าไหร่ ความโดดเด่นของการแปลงร่างก็ยิ่งแสดงออกมามากขึ้นจนเขาไปถึงสภาวะแบบตอนช่วยเหลือนาซ่าก่อนหน้านี้
เมื่อมาถึงจุดนั้นก็เริ่มเกิดเรื่องประหลาดขึ้นอีก
ขณะที่วาห์นได้รับความเสียหายมากมากกว่าเดิม การเปลี่ยนแปลงที่สองก็เริ่มเกิดขึ้นกับร่างกายของเขา
ขนบนแขนของเขาเริ่มกระชับขึ้นและเปลี่ยนเป็นสีดำน้ำเงิน ผิวสีแทนของเขากลายเป็นสีคล้ำและรอยสักประหลาดเริ่มแพร่กระจายจากแขนไปส่วนที่เหลือของร่างกาย
เมื่อไรก็ตามที่รอยสักแพร่ไปถึง กล้ามเนื้อของเขาก็จะเริ่มแข็งตัวราวกับเหล็กจนขากรรไกรและการโจมตีของคิลเลอร์แอ๊นท์เริ่มได้ผลน้อยลง
วาห์นรู้สึกดีเมื่อเห็นการเปลี่ยนแปลงและเกือบเข้าสู่สภาวะคลั่งขณะที่เขาเดินลุยผ่านกองทัพคิลเลอร์แอ๊นท์และถอยกลับไปยังพื้นที่ปลอดภัย
เสียงหัวเราะของวาห์นดังสะท้อนอยู่ในอุโมงค์ดันเจี้ยนขณะที่เขาทิ้งเศษซากแห่งความตายและการทำลายล้างเอาไว้ตามทางที่เดินผ่าน
จนกระทั่งเขาทะลายวงล้อมออกมาถึงพื้นที่ปลอดภัยตรงบันไดเข้าสู่ชั้นล่าง ในที่สุดวาห์นก็สงบสติอารมณ์ลงได้
แม้ว่าเขาจะไม่ได้ตื่นตระหนกแบบจริงจัง แต่ตอนที่เขาถูกล้อมอยู่นั้นก็รู้สึกกังวลขึ้นมาเล็กน้อย
เขาสามารถหลบการโจมตีของคิลเลอร์แอ๊นท์ได้พักหนึ่ง แต่ไม่ว่าเขาจะฆ่าพวกมันไปมากแค่ไหนก็จะมีอีกหลายตัวเข้ามาแทนที่อยู่เรื่อยๆ
ถ้าไม่ใช่เพราะโอกาสที่เกิดขึ้นจากสกิล [ร่างจตุรเทพ] มีโอกาสสูงมากที่เขาจะได้รับบาดเจ็บสาหัสขณะพยายามหลบหนี
วาห์นตรวจสอบร่างกายของตนในปัจจุบันจนถึงขนาดถอดเสื้อผ้าส่วนใหญ่ออกเพื่อสังเกตผลลัพธ์อย่างเต็มที่
ขนฟูสีขาว/ดำก่อนหน้านี้ได้รวมตัวกันเป็นเกล็ดที่ยื่นออกมาจากร่างกายของเขา
ตัวเกล็ดมีสีดำเข้ม แต่เมื่อมันถูกแสงก็จะสะท้อนออกมาเป็นสีน้ำเงินอ่อน
การเปลี่ยนแปลงที่ใหญ่ที่สุดคือผิวหนังบริเวณรอบๆ เกล็ดนั้นมีสีเข้มมากขึ้น และรอยสักที่วาห์นเห็นก่อนหน้านี้ก็ได้กระจายไปทั่วแขนและลำตัว
รอยสักมีรูปร่างคล้ายกับอักษรรูนประหลาดที่ขดไปมาและทับซ้อนกันอยู่บนกล้ามเนื้อ แผ่นหลัง กระดูกไหปลาร้า และกล้ามเนื้อหน้าอกของวาห์น
รูปแบบของรอยสักนั้นทำให้วาห์นนึกถึงงูที่เลื้อยไปมาราวกับมันเป็นสิ่งมีชีวิต
วาห์นคิดว่ารอยสักนี่ดูเท่ห์มาก แต่เขาก็ยังกังวลเรื่องการเปลี่ยนแปลงอื่นๆ ที่อาจเกิดขึ้น
เขานำกระจกยาวออกมาจากช่องเก็บของและพยายามตรวจสอบร่างกายให้ทั่วกว่าเดิม
สิ่งต่อไปที่ชวนสังเกตเห็นก็คือรอยสักนั้นกระจายไปถึงใบหน้า หรือถ้าจะให้เจาะจงก็คือบริเวณรอบดวงตาและหน้าผากของเขา
พอมาดูรวมกันแล้วพวกมันมีรูปร่างคล้ายกับหัวของมังกรและทำให้ใบหน้าของวาห์นดูโหดขึ้นมากทั้งๆ ที่ยังอยู่ในสีหน้าปกติ
แถมเขายังพบว่าสีผมได้เปลี่ยนไปเป็นสีเข้มออกน้ำเงินและอย่างสุดท้ายก็คือ เขามองเห็นรอยสักบนแผ่นหลังซึ่งมันเป็นรูปตราสัญลักษณ์หยิน-หยางขนาดใหญ่ที่มีแนวเส้นประหลาดทั้ง 8 สายกำกับเอาไว้ทั่วทั้ง 8 ทิศ
เวลาผ่านไปพอสมควรขณะที่วาห์นยังคงสำรวจตนเองจนการแปลงร่างเริ่มคลายออก
หลังจากนั้นอีกประมาณ 30 วินาที ทุกอย่างก็หายไปจนหมดรวมไปถึงผลของร่างพยัคฆ์ขาวด้วย
วาห์นจ้องแบบนิ่งงันไปยังสภาพปกติของตัวเองและตรวจสอบว่ามีผลกระทบหลงเหลืออยู่หรือไม่
เขาใจชื้นขึ้นเมื่อเห็นว่าไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไรที่ต้องกังวลจึงตัดสินใจสอบถามพี่สาวเกี่ยวกับร่างใหม่
(*รูปแบบแรกมากจากเสือหรือที่เรียกว่าพยัคฆ์ขาว ในขณะที่รูปแบบที่สองนั้นดูเหมือนจะเป็นตัวแทนของเต่าดำหรือเรียกว่าเต่าทมิฬ การเปลี่ยนเป็นร่างเสือขาวนั้นจะช่วยเพิ่มพละกำลังและความว่องไว ในขณะที่รูปแบบเต่าดำดูเหมือนจะช่วยเพิ่มความอดทนในระดับสูง*)
วาห์นพยักหน้าอย่างเข้าใจ
มันคงเป็นเรื่องยากหากเขาต้องการที่จะต้านการโจมตีของคิลเลอร์แอ๊นท์ด้วยร่างกายเปล่าๆ
หากเขายังไม่รู้อีกว่าเมื่อกี้ได้รับค่าความอดทนเพิ่มขึ้น สมองเขาคงจะมีปัญหาแล้ว
(“แล้วรอยสักประหลาดและสัญลักษณ์บนหัวและหลังของผมล่ะ?”)
วาห์นอยากรู้ว่ารอยพวกนั้นเป็นส่วนหนึ่งของการแปลงร่างเป็นเต่าดำด้วยหรือเปล่า
พี่สาวเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะตอบกลับมา
(*ตามการวิเคราะห์ของฉันแสดงให้เห็นว่ารอยสักบนใบหน้าของเธอเป็นผลที่ได้มาจากรูปแบบเต่าดำจริงๆ แต่สัญลักษณ์บนหลังของเธอนั้นปรากฏขึ้นมาตั้งแต่ที่เธอเปลี่ยนเป็นรูปแบบเสือขาวแล้ว ดูเหมือนว่ามันจะเป็นแกนหลังของสกิล [ร่างจตุรเทพ] และฉันยังไม่มีข้อมูลเพิ่มเติมตรงส่วนนี้ เนื่องจากนี่เป็นสกิลแฝง ฉันจึงไม่สามารถระบุการทำงานในปัจจุบันของมันได้*)
วาห์นพิจารณาคำพูดของพี่สาวขณะที่เขานั่งพักและเหมือนทุกครั้งที่เขาพึ่งสกิล [ร่างจตุรเทพ] พละกำลังของเขาจะถูกลดทอนลงไปมาก
มันไม่ได้แย่นักตอนที่เขาใช้รูปแบบเสือขาว แต่พอก้าวไปถึงขั้นที่สองแล้วความเหนื่อยล้าที่มันสร้างขึ้นก็สาหัสเอาการ
เหมือนกับว่าเขาเพิ่งฝึกซ้อมต่อสู้กับสึบากิไปเสร็จหนึ่งรอบไม่มีผิด
โชคดีที่การฟื้นฟูตามธรรมชาติของเขาสูงจนถึงจุดที่ต้องใช้เวลาเพียง 20 นาทีก็กลับมาเป็นปกติแล้ว
หลังจากหายเหนื่อย วาห์นก็มุ่งหน้าต่อไปยังชั้นที่ 8
ตอนนี้ชั้นที่ 8 เป็นสถานที่ลึกที่สุดที่เขาเคยไปถึงและเขาก็รู้สึกได้ถึงความหวังที่เริ่มก่อตัวขึ้่นในใจ
เมื่อเข้าสู่ชั้นที่ 8 วาห์นก็พบว่าเค้าโครงของดันเจี้ยนได้เปลี่ยนไปอีกแล้ว
ตอนนี้ผนังกลายเป็นดินสีน้ำตาลขณะที่ขนาดโดยรวมของทางเดินนั้นกว้างขึ้นมาก
นอกจากนี้ยังมีฝุ่นดินและกอหญ้าเตี้ยๆ อยู่ตามพื้น ขณะที่มีแสงสีเขียวเรื่องแสงส่องลงมาจากเพดานสูง 10 เมตร
ความตื่นเต้นของวาห์นเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในขณะเดินลึกเข้าไปในชั้นนี้
ด้วยพลังเขตแดน เขาสามารถสัมผัสสิ่งต่างๆ ที่อยู่ในระยะ 68 เมตรได้ และเขาก็พบกับสัญญาณของสิ่งมีชีวิตตัวแรกในชั้นนี้อย่างรวดเร็ว
วาห์นควง [ความทรนงแห่งราชสีห์] ไปมาพร้อมกับมุ่งหน้าไปทิศที่เขาสัมผัสได้ถึงมอนสเตอร์และเกือบจะสะดุดล้มหลังจากเห็นสิ่งที่อยู่เบื้องหน้า
จากมุมของทางเดินที่เขาเพิ่งออกมานั้น วาห์นมองเห็น… กลุ่มก็อบลินราวๆ ยี่สิบกว่าตัว
วาห์นรู้สึกเหมือนตนถูกหลอกและทันใดนั้นเขาก็นำธนูออกมาและยิงลูกศรระเบิดเข้าไปในกลุ่มมอนสเตอร์ที่ไม่ทันระวังตัวทันที
หลังจากที่พวกมันถูกสังหารจนหมด วาห์นก็ถอนหายใจด้วยความเซ็งก่อนจะถามพี่สาวว่าทำไมถึงมีก็อบลินอยู่ในส่วนลึกของดันเจี้ยน
(*มีความเป็นไปได้ที่จะมีมอนสเตอร์ชนิดอื่นปรากฏตัวขึ้นในชั้นต่างๆ นอกเหนือไปจากชั้นปกติของพวกมัน อย่างไรก็ตาม มอนสเตอร์ที่ปรากฏให้เห็นบ่อยที่สุดในชั้นที่ 8 และ 9 นั้นก็คือก็อบลินและโคโบลด์นี่แหละ ทว่าในหนังสือบทสรุปเองก็ระบุไว้ว่าพวกมันที่อยู่ชั้นนี้เกือบจะเป็นเลเวล 2 และแม้แต่พวกเลเวล 2 ชั้นสูงก็จะโผล่ออกมาเช่นเดียวกัน*)
วาห์นรู้สึกผิดหวังเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำตอบ และเขาก็ต้องตั้งสติให้มากกว่าเดิมเพื่อไม่ให้ตนเองเสียสมาธิ
แม้ว่าเขาจะดูถูกพวกก็อบลินและโคบอลด์เนื่องจากความแข็งแกร่งในปัจจุบันของตนเอง แต่เมื่อก่อนเขาก็เกือบตายเพราะพวกมันมาแล้ว
นี่เป็นโอกาสอันดีที่เขาจะได้แก้แค้นสักหน่อย ดังนั้นวาห์นจึงกำคันธนูและออกเดินทางเพื่อเคลียร์ชั้นที่ 8 และ 9
จำนวนมอนสเตอร์ที่เกิดในชั้นเหล่านี้มีมากยิ่งกว่าชั้นก่อนมาก
โถงทางเดินที่เชื่อมต่อห้องต่างๆ ก็มีขนาดแคบกว่า แถมยังมีสิ่งกีดขวางมากมายที่มอนสเตอร์สามารถใช้เพื่อดักซุ่มและโจมตีกลุ่มนักผจญภัยที่ไม่ทันระวังตัวได้อีกด้วย
เพราะวาห์นมีพลังเขตแดน การซุ่มโจมตีทั้งหมดจึงไร้ความหมายขณะที่เขายังคงเดินหน้าต่อไปก่อนจะเคลียร์ทั้งสองชั้นโดยใช้เวลาไม่ถึง 3 ชั่วโมง
วาห์นหยุดพักทานอาหารกลางวันเล็กน้อยก่อนตัดสินใจตรวจสอบของดรอปรวมไปถึงค่าสถานะที่เพิ่มขึ้น
หลังจากการต่อสู้อย่างดุเดือดกับคิลเลอร์แอ๊นท์ วาห์นเดาว่าเขาน่าทำลายขีดจำกัดของตนได้อีกครั้ง
————————————————————————-
[[สถานะ]]
ชื่อ: [วาห์น เมสัน]
อายุ: 14
เผ่าพันธุ์: มนุษย์, *ถูกผนึก*
ค่าสถานะ: [ดันมาจิ: 1-4]
-เลเวล:2(2)
-พลังโจมตี:1001+(E447)->(E498)
-ความอดทน:1108+(D590)->(C665)
-ความแม่นยำ:887+(F322)-(F372)
-ความว่องไว:940+(E410)->(E449)
-พลังเวท:1611+(B701)->(B750)
ค่าสถานะรวมทั้งหมด:5547+(2470)->(2734)
ความแข็งแกร่งของดวงวิญญาณ: ระดับ 2 (วิญญาณวีรชน)
[กรรม]: 1,022
[OP]: 151,870
[วาลิส]: 171,630
————————————————————————-
ค่าสถานะของเขาไม่ได้เพิ่มขึ้นมากนัก แต่วาห์นพบว่า [ร่างจตุรเทพ] ได้เลเวลอัพจากระดับ G ไป F แล้ว
สกิลแฝงเป็นอาวุธที่สำคัญที่สุดของเขา ดังนั้นหากเกิดการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีก็จะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาในอนาคตของเขามาก
หลังจากที่วาห์นได้รู้จากพี่สาวว่ายังมีอสูรอีกสองตัวที่อยู่นอกเหนือไปจากร่างแปลงก่อนหน้านี้ ซึ่งก็คือวิหคเพลิงและมังกรฟ้า เขาก็ตั้งตารอวันที่จะปลดล็อคพวกมันออกมาใช้
—
หลังจากทานอาหารเที่ยงซึ่งแน่นอนว่าคือเครปซีฟู้ดเสร็จแล้ว วาห์นก็ก้าวข้ามธรณีประตูเข้าไปยังชั้นที่ 10
เป็นอีกครั้งที่โครงสร้างของดันเจี้ยนเปลี่ยนแปลงออกไปจากเดิม
แม้ว่าผนังและพื้นจะดูเหมือนกับสองชั้นก่อนหน้านี้ แต่พวกมันก็ดูเก่าแก่กว่ามากและถูกปกคลุมไปด้วยผงขี้เถ้า
ระยะการมองเห็นถูกลดทอนลงมากเนื่องจากทั่วทั้งชั้นถูกปกคลุมไปด้วยอะไรบางอย่างที่คล้ายกับหมอกเย็นๆ
วาห์นตัดสินใจทดลองอะไรบางอย่างเพื่อจัดการกับหมอกและเริ่มไหลเวียน [หัวใจของเพลิงนิรันดร์] เข้าไปในเขตแดน
เขาไม่ได้พยายามเพ่งจิตเพื่อดูดซับธาตุไฟแต่แค่อยากดูว่าหากเปลี่ยนอุณหภูมิแล้วจะทำให้หมอกจางลงได้หรือไม่
วาห์นยิ้มเมื่อเห็นว่าการคาดเดาของเขาถูกต้องเนื่องจากตอนนี้ระยะ 60 เมตรรอบตัวนั้นมีความชัดเจนขึ้นมาก
ภายในพื้นที่แห่งนี้ เขายังมองเห็นเหล่ามอนสเตอร์ที่เคยซ่อนตัวอยู่ในหมอกเพื่อเฝ้ารอจับเหยื่อของพวกมัน
พวกมันคือสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่หลายต่อหลายตัวที่มีรูปลักษณ์คล้ายกับหมู
พวกมันสูงเกือบ 3 เมตรและดูเหมือนจะมีน้ำหนักเกือบตัวละหลายร้อยกิโลกรัม
ภายในมือของพวกมันมีอาวุธหลากหลายชนิดเช่นท่อนไม้และก้อนหินที่มีเรียงรายอยู่เต็มชั้นที่ 10
ข้างๆ สิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่ซึ่งพี่สาวบอกว่าพวกมันคือออร์คนั้น ยังมีมอนสเตอร์ขนาดเล็กที่ดูคล้ายกับก็อบลินมาก
พี่สาวบอกวาห์นว่าพวกมันคืออิมพ์และเขาจะต้องระวังเรื่องการถูกโจมตีจากมุมต่ำเป็นพิเศษ
วาห์นพยักหน้ารับขณะที่กวัดแกว่ง [ความทรนงแห่งราชสีห์] และเริ่มวิ่งเข้าไปหาออร์คตัวที่ใกล้ที่สุด
เมื่อมาอยู่ในระยะที่เหมาะสม วาห์นก็กระโดดจากพื้นอย่างแรงจนทิ้งรอยแตกเอาไว้ขณะหลบการโจมตีออร์คที่พยายามหวดกระบอง/ท่อนไม้ใส่เขา
รอยเส้นโค้งสีแดงน่ากลัวปรากฏขึ้นบนร่างของออร์คที่อยู่ในเส้นทางดาบของวาห์นพร้อมกับแยกลำตัวส่วนบนและส่วนล่างของมันออกจากกัน
เจ้ามอนสเตอร์ร้องออกมาโดยที่วาห์นสังเกตเห็นว่าคุณสมบัติในการฟื้นตัวของมันถูกยับยั้งเอาไว้จากผลของการเผาไหม้ที่เขาโจมตีใส่
เขาเผยรอยยิ้มแบบโหดๆ ก่อนจะแทงเข้าไปยังบริเวณที่บรรจุคริสตัลและปลดปล่อยมันจากความทุกข์ทรมาน
เมื่อรู้ว่าการโจมตีของตนสามารถปิดกั้นการฟื้นฟูซึ่งถือว่าเป็นจุดแข็งของพวกมันได้ วาห์นก็หันไปหาเหยื่อรายต่อไปและเร่งความเร็วถึงขีดสุด
แม้ว่าออร์คจะมีพละกำลังมหาศาล แต่มันก็เชื่องช้าเกินไป
พวกมันพึ่งพาค่าความอดทนและการฟื้นฟูเพื่อจัดการกับนักผจญภัย แต่ทั้งสองอย่างนี้ดูเหมือนจะไร้ค่าเมื่อพบกับการโจมตีของวาห์น
วาห์นกระโดดไปรอบๆ กลุ่มออร์คก่อนที่จะตัดแขนขาของพวกมันและเคลื่อนไปยังเป้าหมายถัดไป
ในระหว่างการจู่โจมของเขา พวกอิมพ์ได้พยายามซุ่มโจมตีเข้ามาอยู่หลายครั้งแต่ก็ไม่สำเร็จเนื่องจากสัมผัสการรับรู้ของวาห์น
ไม่ว่าพวกมันจะพยายามอำพรางตัวยังไง เขาก็จะสามารถติดตามการเคลื่อนไหวของพวกมันและสกัดการโจมตีด้วยดาบของเขาก่อนที่จะกลับไปจัดการกับฝูงออร์คต่อ
หลังจากที่พวกอิมพ์ตายหมดแล้ว วาห์นก็หันไปทางออร์คที่ทิ้งให้พวกมันนอนโอดครวญอยู่บนพื้น
เป็นเรื่องยากมากสำหรับวาห์นที่จะเล็งตรงหัวเพราะความแตกต่างของส่วนสูง เขาจึงเลือกใช้แผนตัดแขนขาของพวกมันทิ้งเสียก่อน
ตอนนี้พวกมันได้แต่ดิ้นพล่านอยู่บนพื้นขณะที่ยังคงพยายามเข้าใกล้เขาเพื่อล้างแค้น
วาห์นส่ายหัวก่อนที่ประกายเย็นยะเยือกจะปรากฏขึ้นในแววตาพร้อมกับที่เขาเริ่มสังหารพวกมันทีละตัว
(TL: ชื่อตอนสำรอง: ‘เฮ้ยเดี๋ยว ก็บอกแล้วไงว่าเย็นไว้ก่อน’, ‘คิลเลอร์แอ๊นท์แอนด์ไฮดร้า’, ‘วาห์นจัดหนัก’, ‘สังสัยจังว่าตอนนี้เฮเฟสตัสจะรู้สึกเครียดขนาดไหนกับการที่วาห์นฆ่าล้างบางไปเรื่อย’, ‘แรงผลักดันที่ไม่มีอะไรมาหยุดได้ Part 2’)
—————