Endless Path : Infinite Cosmos, อนันตวิถีจักรวาล - ตอนที่ 79
เมื่อวาห์นตื่นขึ้นมา เขาก็เตรียมการขั้นสุดท้ายก่อนจะเข้าสู่ชั้นที่ 13
โครงสร้างของดันเจี้ยนได้เปลี่ยนไปอีกครั้งและคราวนี้ผนัง พื้น และเพดานต่างกลายเป็นหินสีดำซีด
มันหนายิ่งกว่าทุกอย่างที่วาห์นเคยเห็นในชั้นส่วนบนและเขาพบว่าดูเหมือนมันกำลังดูดซับแสงทั้งหมดที่เปล่งออกมาจากเพดาน
มีหินเกลื่อนกลาดอยู่บนพื้นและทำให้การเดินผ่านหรือต่อสู้ยากขึ้นไปอีก
นี่เป็นครั้งแรกที่วาห์นได้เข้าสู่ ‘ชั้นส่วนกลาง’ ดังนั้นเขาจึงระมัดระวังตัวเป็นพิเศษ
มอนสเตอร์จากตรงนี้ไปจะเป็นเลเวล 2 หรือสูงกว่านั้น และแม้แต่มอนสเตอร์ที่ไม่ได้อยู่เป็นฝูงก็อาจเป็นภัยคุกคามต่อปาร์ตี้เจนศึกได้เช่นกัน
หากวาห์นประมาท มีความเป็นไปได้สูงที่เขาอาจจะเสียชีวิตตั้งแต่จุดนี้เป็นต้นไป
หลังจากเดินไปประมาณ 10 นาที วาห์นก็เริ่มรู้สึกกังวล
เขายังไม่เจอกับมอนสเตอร์เลยแม้ตัวเดียวตั้งแต่มาถึงที่นี่ และแม้แต่เขตแดนของเขาก็ตรวจไม่พบสิ่งมีชีวิตสักอย่าง
เขายังคงเดินหน้าต่อด้วยความระมัดระวังจนพบเข้ากับสิ่งผิดปกติ
เส้นทางที่เขาใช้นั้นนำมาสู่ทางตันและดูเหมือนว่าผนังและเพดานได้ถล่มลงมาปิดทางเอาไว้
แม้จะไม่ใช่เรื่องแปลกที่โครงสร้างของดันเจี้ยนจะเปลี่ยนแปลง แต่เนื่องจากแผนที่ระบุว่านี่คือเส้นทางหลักจึงนับว่าเป็นเรื่องแปลกที่เกิดเหตุการณ์แบบนี้
วาห์นตรวจสอบการถล่มและพบว่ามีร่องรอยของการเผาไหม้อยู่บนพื้นผิวของหินบางก้อน
ใครบางคน หรือบางสิ่ง คงใช้เวทมนตร์ระเบิดแบบวงกว้างเพื่อถล่มอุโมงค์แน่ๆ
คำถามที่อยู่ในใจของวาห์นตอนนี้ก็คือทำไมถึงต้องทำแบบนั้นด้วย
เขาตัดสินใจเดินย้อนกลับและมองหาเส้นทางอื่นแทน ไม่งั้นอาจจะต้องรออีกหลายวันกว่าดันเจี้ยนซ่อมแซมตัวเองได้
หลังจากพบอุโมงค์เชื่อมต่อ วาห์นก็เดินไปตามทางและถอนหายใจด้วยความโล่งอกเพราะเขาตรวจพบมอนสเตอร์หลายตัวทางด้านหน้า
เขาเริ่มกังวลว่ามีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นในดันเจี้ยน และไม่อยากพลอยติดร่างแหไปกับบางอย่างที่อยู่เหนือความสามารถของตัวเอง
วาห์นเดินหน้าต่อไปและพบกับห้องที่เต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิตคล้ายสุนัขสีดำพร้อมกับดวงตาที่เปล่งประกายสีแดง
จากที่วาห์นเห็น ตอนนี้พวกมันกำลังต่อสู้เพื่อแย่งบางอย่างกันอยู่
เขาพอระบุได้ว่าสิ่งที่พวกมันกำลังแย่งชิงกันก็คือศพกันเอง
นักผจญภัยผู้โชคร้ายได้กลายมาเป็นอาหารของพวกมันอย่างไม่เต็มใจนักหลังจากมาจบชีวิตอยู่ในดันเจี้ยน
คิ้วของเขาขมวดขึ้นขณะชักดาบออกมาและเริ่มเข้าปะทะกับพวกสุนัข
เฮลฮาวด์สังเกตเห็นการมาของวาห์นและพุ่งเข้าใส่ทันที
พวกมันว่องไวอย่างไม่น่าเชื่อและมีปากที่เต็มไปด้วยฟันแหลมคมที่มีเนื้อและเลือดสดๆ ของเหยื่อยังติดอยู่ข้างใน
ตัวที่อยู่ใกล้ที่สุดพุ่งเข้ามาโจมตีตรงส่วนขาและพยายามทำให้เขาเคลื่อนไหวไม่ได้
วาห์นหลบไปด้านข้างก่อนจะฟันดาบสวนออกไปและผ่าสุนัขบ้าเลือดตัวแรกออกเป็นสองซีก
เขาใช้มือซ้ายที่กำลังร้อนระอุคว้าคอของเฮลฮาวด์ตัวที่สองขณะที่มันพยายามโจมตีแบบเดียวกับตัวแรก
วาห์นหักคอของมันก่อนจะโยนใส่กลุ่มเฮลฮาวด์ที่กำลังพุ่งตามมา
ตอนนี้พวกมันได้ล้อมเขาเอาไว้และพยายามเข้ามาขย้ำจากทุกทิศทาง แต่วาห์นก็สามารถใช้พละกำลังและความว่องไวเพื่อกระโดดออกจากวงล้อมได้สำเร็จ
เขาใช้เท้าถีบผนังก่อนจะกระโดดข้ามไปตรงศพของนักผจญภัยซึ่งเป็นตำแหน่งที่ได้เปรียบ
วาห์นใช้เวลาครู่หนึ่งในการตรวจสอบสภาพศพและเกือบอาเจียนออกมาเพราะความอยากรู้ของตน
สภาพศพเละเทะมากและมีบางส่วนที่หายไป แต่วาห์นพอบอกได้ว่านี่เป็นศพของหญิงสาวที่มีเส้นผมสีน้ำเงิน
แม้เขาจะเดาเอาว่าเธอคงเป็นคนสวยตอนยังมีชีวิตอยู่ แต่ตอนนี้ร่างกายของเธอเกือบจะเรียกได้ว่าเป็นเศษเนื้อที่เหลือหนังติดอยู่นิดหน่อย
ลำคอของเธอถูกคว้านออกไปและแขนขาแต่ละข้างนั้นไม่มีเหลืออยู่ให้เห็นแม้แต่ข้างเดียว
หนึ่งในสิ่งที่พวกสุนัขกำลังต่อสู้แย่งชิงกันก่อนหน้านี้คงเป็นแขนหรือขาข้างหนึ่งของเธอ
วาห์นอัดแน่นไปด้วยความโกรธขณะที่รู้สึกเย็นสบายเริ่มเข้ามาระงับโทสะนั่นลง
เขาเริ่มผลักดัน [จิตแห่งราชัน] จนถึงขั้นสูงสุดและผสานธาตุไฟจำนวนมากเข้าไปในเขตแดนของเขา
แสงสีทองที่กระจายออกไปเริ่มมารวมตัวกันที่ดาบทามาฮากาเนะจนมันเปลี่ยนจากสีดำไปเป็นประกายสีทองเงางามพร้อมกับแผ่ความร้อนออกมาจนน่าขนลุก
ฝูงเฮลฮาวด์เริ่มตัวสั่นพร้อมกับขู่ใส่ร่างสีทองเบื้องหน้า
ความร้อนที่ถูกปล่อยออกมาจากร่างของเหยื่อทำให้สัญชาตญาณของพวกมันกรีดร้องว่าให้รีบหนีไปจากที่นั่น
ราวกับว่าบทบาทของทั้งสองฝั่งนั้นได้สลับกันและสัญชาตญาณนักล่าของฝูงสุนัขก็หายไปในพริบตา
สิ่งที่เดียวพวกมันรู้สึกก็คือความกลัว แต่พลังประหลาดของดันเจี้ยนก็ผลักดันไม่ให้พวกมันล่าถอยแม้แต่ก้าวเดียว
ร่างสีทองเริ่มจ้องมาหาขณะที่ความเย็นวิ่งผ่านกระดูกสันหลังของพวกมันซึ่งย้อนแย้งกับอุณหภูมิห้องในตอนนี้มาก
“พวกแกไม่ได้ตายดีแน่”
วาห์นพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก
เขากุมดาบแน่นก่อนจะเริ่มการสังหารอย่างบ้าคลั่ง
แทนที่จะปราบพวกมันลงอย่างรวดเร็ว เขากลับไม่เล็งไปที่จุดตาย
ถึงเขาจะตัดแขนขาหรือชิ้นส่วนร่างกายของพวกมัน แต่บาดแผลก็ปิดลงในทันทีเนื่องจากความร้อนของตัวดาบและทำให้เหล่ามอนสเตอร์ดิ้นไปมาอยู่บนพื้น
วาห์นยังคงตัดชิ้นส่วนของพวกมันไปเรื่อยๆ จนกระทั่งมีเศษเนื้อย่างกระจายอยู่เต็มห้อง
หลังจากความโกรธสงบลง วาห์นก็หันหลังกลับและทิ้งพวกมันไว้แบบนั้นโดยไม่คิดจะลงดาบสุดท้าย
เขารู้ว่าเดี๋ยวพวกมันก็คงตายไปเอง และอยากให้พวกมันได้ลิ้มรสความเจ็บปวดที่ค่อยๆ เผาไหม้จนกว่าทุกอย่างจะกลายเป็นเถ้าถ่าน
เขาหันไปทางศพของนักผจญภัยสาวและขมวดคิ้วก่อนที่จะมีเสียงดังขึ้นในหัว
(*วาห์น เธอไม่ควรปล่อยให้พวกมันทรมานไปมากกว่านี้นะ*)
พี่สาวพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
แต่ครั้งนี้มันกลับทำให้วาห์นกลับสับสนและงุนงง
เขาไม่เข้าใจว่าทำไมพี่สาวถึงอยากให้เขาจบชีวิตพวกมันลงง่ายๆ
เมื่อเห็นศพของนักผจญภัย วาห์นก็รู้ทันทีว่าเธอยังไม่เสียชีวิตในขณะที่พวกมันเริ่มฉีกทึ้งร่างกายของเธอออกจากกัน
(*การล้างแค้นไม่ได้เป็นบาปอะไรหรอกนะ แต่หากเธอทำให้พวกมันทรมานเพียงเพื่อทำให้ตัวเองรู้สึกดีขึ้น มันจะส่งผลให้เกิดค่ากรรมชั่วแทน เธอไม่ควรเพลิดเพลินไปกับการทรมานสิ่งอื่น ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นสัตว์ร้ายหรือชั่วช้ามากแค่ไหนก็ตาม เธอควรเป็นคนเที่ยงธรรมและยึดมั่นในความมุ่งมั่นของตัวเอง มิฉะนั้นสิ่งที่อยู่เบื้องหลังการกระทำของเธอก็จะไม่ใช่สิ่งที่สูงส่งอีกต่อไป*)
พี่สาวค่อยๆ อธิบายแต่ละคำเพื่อให้วาห์นเข้าใจ
เขารู้ดีว่าพี่สาวนั้นคงพูดถูกอย่างเคย
วาห์นไม่อาจฟื้นคืนชีพให้หญิงสาวคนนี้ได้ ดังนั้นสิ่งที่เขาทำอยู่ก็ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นมาเลย
สิ่งเดียวที่เขาได้รับคือความพึงพอใจส่วนตัวและความรู้สึกด้านลบอื่นๆ
เขายังคงไตร่ตรองคำพูดของพี่สาวแต่ก็ตัดสินใจว่าหากปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปคงไม่ดีเท่าไหร่
วาห์นถอนหายใจก่อนจะหันไปทางมอนสเตอร์ที่ยังคงดิ้นทุรนทุรายอยู่บนพื้น
หลังจากปลิดชีพพวกมันทั้งหมดลงไป วาห์นก็รู้สึกถึงความโศกเศร้าจากร่างกายของเขาเอง
การกระทำทั้งหมดก่อนหน้านี้นั้นดูไร้ความหมายมากหลังจากที่พวกมันตายไปหมดแล้ว
อารมณ์ต่างๆ ได้ก่อตัวขึ้นภายในใจและเขาก็รู้สึกเหมือนกับจะไม่สามารถปลดปล่อยอารมณ์เหล่านั้นออกมาได้เพราะตอนนี้ไม่รู้จะไปลงกับใครดี
วาห์นกุมด้ามดาบไว้แน่นและรู้สึกท้อแท้ก่อนที่พี่สาวจะพูดกับเขาอีกครั้ง
(*เธอควรฝังหรือเผาร่างของผู้หญิงคนนั้นนะ ไม่มีใครสมควรมาเน่าเปื่อยอยู่ที่นี่และกลายมาเป็นอาหารของดันเจี้ยนหรือเหล่ามอนสเตอร์ ปลดปล่อยเธอจากโชคชะตานั้นและให้เธอพักอย่างสงบเถอะ*)
วาห์นคลายมือที่ด้ามดาบลงเล็กน้อยและมองไปทางศพของนักผจญภัย
ดูเหมือนเธอจะอายุไม่ถึงยี่สิบปีด้วยซ้ำแต่กลับต้องมาตายก่อนวัยอันควรอยู่ที่นี่
ช่างเป็นเรื่องที่น่าเศร้าเหลือเกินและเขาก็เกิดความสงสารหลังจากได้ยินคำพูดของพี่สาว
วาห์นเข้าใกล้ร่างของเธอและอาการคลื่นไส้ก็เริ่มกลับมาอีกครั้งแต่ก็ต้องอดกลั้นมันไว้
เขารู้สึกว่าหากอาเจียนออกไปตอนนี้คงเหมือนกับเขาไม่ได้เห็นค่าของชีวิตผู้หญิงคนนี้เลย
วาห์นนำฝ่ามือมาประกบกันและสวดภาวนาให้เธออยู่ครู่หนึ่ง
ในฐานะคนที่เคยก้าวผ่านความตายมาก่อนและได้เกิดใหม่ในต่างโลก วาห์นรู้ว่าวิญญาณของเธอจะกลับไปที่ ‘ประตู’ ก่อนจะได้ถือกำเนิดขึ้นใหม่อีกครั้งในโลกใบนี้
เขาภาวว่าเธอจะได้พบกับ ‘วงล้อภาพลานตาแห่งกรรม’ ที่มีแต่ความทรงจำดีๆ มากกว่าเรื่องแย่ๆ
หลังจากสวดภาวนาให้เธอเสร็จแล้ว เขาก็ค้นหาสิ่งที่สามารถระบุตัวตนของหญิงสาวคนนี้เพื่อส่งมอบมันให้กับทางกิลด์
หากเธอเป็นสมาชิกของแฟมิเลียหรือปาร์ตี้ พวกเขาก็คงจะส่งของส่วนตัวของเธอคืนให้กับญาติที่ยังมีชีวิตอยู่หรือเพื่อนสนิทของเธอ
เมื่อพบมันแล้ว ในที่สุดวาห์นก็เผาร่างกายของเธอหลังจากสวมใส่ [หน้ากากกันโรคระบาด] เพื่อหลีกเลี่ยงกลิ่นและควัน
เขายืนอย่างเงียบๆ และเฝ้าดูเปลวเพลิงเผาไหม้จนร่างกายของเธอหายไป
วาห์นมองไปตรงบริเวณที่เผาศพและกวาดมือออกไปเพื่อสร้างแรงลมและส่งอัฐิที่เหลือออกไปจากที่แห่งนั้น
เขามองบัตรระบุตัวตนที่พบในกระเป๋าของหญิงสาว
“หลับให้สงบเถอะนะ นาตาเลีย มัวร์ ขอให้ชีวิตต่อไปของเธอเต็มไปด้วยความสงบและห่างไกลจากสถานที่มืดมนแบบนี้”
—
วาห์นเดินต่อไปในชั้น 13 เรื่อยๆ และพบกับมอนสเตอร์หลายกลุ่มรวมไปถึงร่องรอยการต่อสู้มากมาย
เขายังพบและเผาศพของนักผจญภัยอีกถึงห้าคน
มีหลายคนที่ถูกพบอยู่ในห้องขนาดใหญ่คล้ายกับครั้งแรกและวาห์นได้สังหารเฮลฮาวด์กับอัลมิราจไปแล้วกว่า 40 ตัว
แม้กระทั่งดันเจี้ยนเวิร์มก็มีโผล่มาให้เห็นเช่นกัน
มันอยู่ใกล้หลุมยักษ์ที่น่าจะนำลงไปสู่ชั้นถัดไปได้
วาห์นผูกระเบิดจำนวนมากเข้าด้วยกันก่อนจะโยนเข้าไปในปากที่เป็นไปด้วยคมเขี้ยวของเจ้าหนอนยักษ์
หลังออกมาจากสถานที่ต่อสู้ขนาดใหญ่ วาห์นก็เริ่มครุ่นคิดว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
สำหรับปาร์ตี้ขนาดใหญ่ที่เข้ามายังชั้นส่วนกลางแบบนี้ พวกเขาจะต้องเป็นนักผจญภัยเจนศึกโดยมีนักผจญภัยชั้นสอง (เลเวล 3 – 4) เป็นผู้นำทางสิ
ราวกับว่ากลุ่มสำรวจนี้ได้ถูกซุ่มโจมตีหรือไม่ทันระวังตัวกับสิ่งที่เกิดขึ้น
การที่ปาร์ตี้กลุ่มใหญ่ถูกกวาดล้างบนชั้นที่ 13 นั้นดูจะไม่ปกติสักเท่าไหร่ เนื่องจากพวกเขามีกำลังคนมากพอที่จะจัดการกับมอนสเตอร์กลุ่มใหญ่ได้
ทันใดนั้น ความคิดบางอย่างก็แล่นเข้ามาในหัวขณะที่วาห์นนึกย้อนไปถึงเส้นทางหลักที่ถล่มลงมา
เนื่องจากเส้นทางนั้นไร้วี่แววของมอนสเตอร์ตั้งแต่ตอนที่้เขามาถึงชั้น 13 ดังนั้นพวกเขาจะต้องเป็นกลุ่มที่ล่ามอนสเตอร์ตามเส้นทางหลักก่อนจะไปถึงตรงส่วนที่เกิดการถล่ม
พวกเขาเองก็คงหาทางอ้อมมาเหมือนที่เขาทำ แต่วาห์นก็ยังไม่เข้าใจว่าอะไรทำให้พวกเขาต้องมาจบชีวิตลง
วาห์นรู้สึกไม่สบายใจและระวังตัวมากขึ้นเป็นเท่าตัวขณะที่เขาค่อยๆ เดินช้าลง
เขาไม่เพียงแต่พึ่งพา [จิตแห่งราชัน] เท่านั้น แต่ยังสำรวจทุกซอกทุกมุมตามเส้นทางด้วยดวงตาของตัวเอง
เขาถึงขนาดเปิดใช้งานสกิลอำพรางตัวเพื่อป้องกันการถูกตรวจพบ
วาห์นค่อยๆ เดินทางผ่านชั้นที่ 13 และสังหารกลุ่มมอนสเตอร์ด้วยความระมัดระวังพร้อมกับคอยแบ่งสมาธิออกไปสำรวจพื้นที่รอบตัว
ยิ่งเดินลึกเข้าไป เขาก็ยิ่งรู้สึกไม่สบายใจมากกว่าเดิม
สึบากิมักจะชื่นชมสัญชาตญาณของเขา และตอนนี้สัญชาตญาณนั่นกำลังร้องเตือนเขาว่าให้รีบหันหลังกลับโดยเร็ว
วาห์นเชื่อในสัญชาตญาณของตนและค่อยๆ เดินย้อนกลับตามเส้นทางเก่า แต่ไม่ว่าเขาจะถอยไปไกลแค่ไหน ความรู้สึกไม่สบายใจก็ยังคงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
วาห์นเริ่มร้อนใจจนเร่งฝีเท้าขึ้นอีก ตอนนี้เขากำลังมุ่งหน้าไปที่โซนปลอดภัยอย่างไม่คิดชีวิต
เมื่อความเร็วของเขาเพิ่มขึ้น ความรู้สึกนั้นก็ยิ่งรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ และวาห์นสัมผัสได้ถึงความหวาดกลัวที่กำลังกัดกินร่างกายเขา
มันเหมือนกับว่ามีบางอย่างกำลังพุ่งความสนใจมาที่ตัวเขา และตอนนี้พวกเขากำลังเล่นเกมแมวจับหนูซึ่งแน่นอนว่าวาห์นไม่ใช่ฝั่งที่เป็นแมว
วาห์นเริ่มทิ้งทุ่นระเบิดไว้ตามทางที่เขาหนีมาโดยหวังว่ามันจะสกัดกั้นอะไรก็ตามที่กำลังไล่หลังเขาอยู่
ผ่านไปไม่กี่นาทีขณะที่วาห์นยังคงหนีไปเรื่อยๆ เขาก็ได้ยินเสียงระเบิดจำนวนมากจากระยะไกล
แม้ว่าเสียงระเบิดจะทำให้เขาใจชื้นขึ้น แต่วาห์นก็เริ่มตัวสั่นกว่าเดิมในขณะที่ความรู้สึกหวาดกลัวเริ่มรุนแรงมากยิ่งขึ้น
เจ้าตัวปริศนาได้เหยียบกับดักของเขาเข้าไปแต่ยังรอดมาได้
ตอนนี้ระเบิดได้ทำให้มันโกรธเขามากขึ้นกว่าเดิมซะแล้วสิ…
(TL: ชื่อตอนสำรอง: ‘หนี————’, ‘วาห์นช่วยไม่ได้ทุกคน’ , ‘ค่ากรรมสารเลว’, ‘พี่สาวเองก็เป็นเมียหลวงไม่แพ้ใครนะ’)
—————