Endless Path : Infinite Cosmos, อนันตวิถีจักรวาล - ตอนที่ 86
หลังจากเข้าไปในโรงแรม ไรอันก็ถามวาห์นว่าจะพักอยู่ที่นี่นานแค่ไหนขณะเดินตรงไปที่บาร์
เจ้าของโรงแรมนั้นเป็นชายร่างเตี้ยที่มีผมสีน้ำตาลแดงและแม้จะมีท่าทางเคร่งขรึม แต่เขาก็ยังส่งยิ้มให้ในขณะที่เสิร์ฟเครื่องดื่มให้กับลูกค้าที่บาร์
“ผมเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าจะอยู่นี่นานขนาดไหน คงต้องดูหลายๆ อย่างน่ะครับ”
วาห์นรู้สึกว้าวุ่นขณะที่ดวงตาของเขาสอดส่องไปทางลูกค้าคนอื่นๆ
เมื่อเห็นว่าไม่มีออร่าชั่วร้ายอยู่ในที่แห่งนั้น เขาจึงตามดูชายทั้งสามจากเมื่อกี้ด้วยพลังเขตแดน
หลังจากที่วาห์นเข้าไปในโรงแรมแล้ว ทั้งสามคนก็เริ่มมุ่งหน้าออกไปทางเขตที่พักอาศัยที่ต้นไม้ยักษ์ตั้งตระหง่านอยู่
ในที่สุดพวกเขาก็ออกไปจากพื้นที่เขตแดนซึ่งทำให้วาห์นขมวดคิ้วเล็กน้อย
“นี่พี่ชาย ขอเบียร์รำข้าวแรงๆ สองที่มาอุ่นเครื่องหน่อยสิ!”
ไรอันเรียกเจ้าโรงแรมและสั่งเครื่องดื่มด้วยเสียงดังลั่น
วาห์นหันไปหาและส่ายหัวช้าๆ ก่อนจะขยับตัวออกมาเล็กน้อย
“ขอโทษนะไรอัน แต่ผมคงดื่มในดันเจี้ยนไม่ได้หรอก ไม่เด็ดขาดเลย”
สึบากิเคยบอกวาห์นไว้แล้วว่าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นของต้องห้ามภายในดันเจี้ยน
เว้นแต่จะฉลองกับคนที่รู้จักหรืออยู่ในบ้านของตัวเอง เขาไม่ควรรับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มาดื่มโดยเฉพาะเวลาอยู่ในดันเจี้ยน
วานไม่เคยเมามาก่อนก็จริง แต่เขาเคยเห็นผลของมันจากคนรอบตัวมาแล้ว
เขารู้ว่ามันมีผลต่อสภาพทางจิตและทำให้เกิดอาการมึนงงและคลื่นไส้ชั่วคราว
นี่อาจจะเป็นผลมาจากสายเลือดพิเศษของเขา แต่วาห์นยังไม่เคยดื่มแพ้ใครมาก่อนเลย
แม้แต่เทพธิดาอย่างเฮเฟสตัสหรือสึมากิที่ชอบดื่มหนักๆ ก็ไม่อาจต่อกรกับเขาได้
ไรอันส่ายหัว
“ไม่เอาน่า พ่อหนุ่ม เธอต้องคลายเครียดบ้างสิ ถึงจะอายุยังน้อย แต่การที่เธอมาถึงดันเจี้ยนชั้นนี้ได้ด้วยตัวเองก็เหมือนกับเธอได้โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว เรามาฉลองที่ได้พบกันอีกรอบเถอะนะ”
ไรอันยังคงยิ้มอย่างเอ็นดูให้กับเขาและวาห์นก็เห็นว่าออร่าของไรอันนั้นดูมั่นคงและมีจิตใจดี
อย่างไรก็ตาม ถึงเขาจะกินแล้วไม่เมา แต่วาห์นก็ไม่อยากเสี่ยงโดยเฉพาะเมื่อมีอันตรายซ่อนเร้นอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลนัก
หลังจากเห็นว่าเชิญชวนไม่สำเร็จ ไรอันก็เปลี่ยนเป็นยิ้มแบบเศร้าๆ ก่อนจะคว้าแก้วเบียร์ขึ้นมาดื่มไปอึกใหญ่
วาห์นสังเกตเห็นสีหน้าของเขาและยิ้มแบบเชิงขอโทษก่อนจะกล่าวอธิบาย
“ขอโทษจริงๆ นะ สึบากิ กัปตันของแฟมิเลียและเป็นคนที่ฝึกผมมากับมือห้ามไม่ให้ผมดื่มตอนอยู่ในดันเจี้ยนเด็ดขาด และถึงเธอจะไม่มีทางรู้ แต่ผมคงโกหกเธอไม่ได้หรอก ในฐานะที่เธอเป็นคนมีประสบการณ์ ผมเลยเชื่อฟังเธอหมดทุกอย่างและแน่ว่ามันน่าจะเป็นการดีที่สุดแล้ว”
พอได้ยินวาห์นอธิบาย ไรอันก็กลับมายิ้มปกติและพยักหน้าให้พลางจิบเครื่องดื่ม
“ใช้ได้เลย ถ้าทำแบบนั้นได้ล่ะก็เธอต้องมีอายุยืนแน่นอน มาเถอะ ถึงเธอจะดื่มไม่ได้ แต่ก็ยังชนแก้วฉลองกับตาแก่คนนี้ได้อยู่นี่นะ”
ไรอันชูแก้วเข้ามาหา วาห์นจึงชูแก้วใส่น้ำเปล่าขึ้นมาชนกับเขา
“ดื่ม!!”
“ดื่ม”
ทั้งสองพูดพร้อมกันซึ่งทำให้ไรอันหัวเราะออกมาหลังจากที่เห็นว่าวาห์นดูจริงจังขนาดไหน
พวกเขายังคงคุยกันเรื่อยเปื่อยและสนทนาเกี่ยวกับผลการผจญภัยครั้งล่าสุดที่เกิดขึ้น
ไรอันอธิบายว่าลูกๆ ของเขาเพิ่งได้รับการเลื่อนเป็นเลเวล 2 และพวกเขาสังกัดอยู่กับแฟมิเลียระดับ C ซึ่งอยู่ภายใต้เทพไครัส
ไรอันมีตำแหน่งเป็นถึงนายกองของแฟมิเลียและเขาได้พาลูกชายทั้งสองไปที่ดันเจี้ยนชั้นกลางเพื่อให้พวกเขาเก็บประสบการณ์ต่อสู้
ใครจะคิดล่ะว่าในการเดินทางครั้งนี้ เขาเกือบจะสูญเสียทั้งคู่ไปเพราะไปเจอเข้ากับเพอร์เพิลไวเวิร์น
ไรอันอ้างว่าพลังศักดิ์สิทธิ์ของเทพที่เขานับถือนั้นคือ ‘พลังแห่งโชคลาภ’ แล้วก็เริ่มส่งเสียงดังและสั่งเครื่องดื่มให้กับลูกค้าทั้งหมดในร้าน
วาห์นมีความสุขกับบรรยากาศครึกครื้นก่อนที่จะปฏิเสธการเข้าพักที่นั่น
ถึงพวกเขาจะคิดค่าห้องเพียงคริสตัล 18 ก้อนต่อคืน แต่วาห์นก็ไม่มีความคิดที่จะพักอยู่แถวนี้ตั้งแต่ทีแรก
หลังจากกลุ่มชายสามคนออกไปพ้นเขตแดน เขาก็ตั้งใจว่าจะออกจากบริเวณนี้หลังจากทานอาหารจนอิ่มหนำสำราญ
วาห์นไม่อยากอยู่ในพื้นที่ที่สามคนนั้นเห็นเขา แถมเขายังไม่รู้เลยว่าจุดประสงค์ของชายสามคนคืออะไรกันแน่
เขาตั้งใจว่าจะออกจากถิ่นฐานและไปหาที่พักแรมในป่าจนกว่าทุกอย่างจะกระจ่างขึ้น
หลังจากแยกทางกับไรอัน ซึ่งพยายามยื้อให้เขาอยู่ต่อ วาห์นก็ได้เดินไปรอบๆ ริวีร่าและพิกัดอาคารทุกแห่งบนแผนที่ของเขา
เขามองหาพวกที่มีออร่าดำมืดไปเรื่อยๆ แต่หลังจากได้ข้อมูลอาคารมาทั้งหมด 118 แห่งทั่วพื้นที่ เขาก็ถูกขัดขวางไม่ให้ออกค้นหาต่อ
ไกลออกไปจากถนนเส้นหลักของริวีร่านั้นมีประตูที่ถูกเฝ้าโดยคนกลุ่มใหญ่และมีการจัดระเบียบหนาแน่นกว่าที่ถิ่นฐานเมื่อกี้มาก
พวกเขากันไม่ให้วาห์นเข้าไปข้างในนอกจากว่าจะมาพร้อมกับปาร์ตี้ขนาดใหญ่หรือสามารถระบุตัวตนได้ว่าเป็นนักผจญภัยเลเวล 4 หรือสูงกว่านั้น
หลังจากตรวจสอบอีกเล็กน้อย วาห์นก็เลิกสนใจคนเหล่านั้นและเดินทางไปยังพื้นที่ลับตาคนก่อนทำการอำพรางตัวและกระโดดข้ามกำแพงเข้าไป
วาห์นสังเกตเห็นว่ามีกลไกตรวจจับผู้บุกรุกติดตั้งอยู่ แต่ดูเหมือนมันจะใช้ไม่ได้ผลกับเขา
เขามองไปรอบๆ และสังเกตเห็นว่าอาคารส่วนใหญ่ของที่นี่อยู่ห่างจากกันมากและดูมีภูมิฐานมากกว่าอาคารในถิ่นฐานมาก
ดูเหมือนว่านี่จะเป็นค่าย/อาคารที่แฟมิเลียระดับต้นๆ ใช้เป็นฐานที่มั่นสำหรับการเตรียมการดันเจี้ยนชั้นล่าง
วาห์นสันนิษฐานว่าแถวนี้น่าจะมีแต่นักผจญภัยเลเวล 3 ขึ้นไปและการไปต่ออาจจะอันตรายเกินไปสำหรับเขาในตอนนี้
หากเขาถูกจับได้ในพื้นที่ต้องห้าม มันอาจจะทำให้เกิดปัญหามากมายเมื่อเขามาที่ชั้น 18 อีกครั้งในอนาคต
นอกจากนี้ยังมีเรื่องที่วาห์นไม่มั่นใจว่าจะอำพรางตัวเองจากคนที่แข็งแกร่งกว่าได้หรือเปล่าด้วย
มีคนอยู่มากมายที่มีสกิลและความสามารถพิเศษที่ช่วยในการตรวจจับผู้มาบุกรุก แถมยังมีพวกจอมเวทชั้นสูงที่สามารถตรวจจับพลังเขตแดนของเขาได้อีก
วาห์นสัญญากับตัวเองว่าจะเพิ่มระดับของสกิล [อำพรางตัว] ให้มากขึ้นอีกในอนาคต
เขากระโดดข้ามกำแพงออกไปและมุ่งหน้าไปที่ทางเข้าของริวีร่า
เขาไปจ่ายธรรมเนียมและลงทะเบียนเพื่อจะเข้าออกที่นี่ได้ง่ายกว่าเดิมในอนาคต
เพื่อป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้น เขาจึงแสดง ‘เวทมนตร์’ แปลงร่างให้พวกยามดู
พวกเขาทำหน้าประหลาดใจมาก แต่วาห์นก็ดูให้แน่ใจว่าพวกเขาเขียนคำอธิบายร่างแปลงอย่างถูกต้องเพื่อป้องกันไม่ให้คนอื่นมาทำร้ายเขาแบบครั้งก่อน
วาห์นเริ่มคุ้นเคยกับการอยู่ในร่างพยัคฆ์ขาวเกือบตลอดเวลา โดยเฉพาะในสถานที่อย่างดันเจี้ยนซึ่งเขาต้องระมัดระวังตัวอยู่เสมอ
เมื่อมีศัตรูมาอยู่ใกล้ขนาดนี้คงไม่มีใครอยากจะแลกสัมผัสพิเศษกับค่าสถานะที่เพิ่มขึ้นไปกับการอยู่ในร่างมนุษย์ปกติ
หลังจากเดินห่างไปหลายร้อยเมตรจากริวีร่า เขาก็เดินตัดเข้าป่าและหายตัวเข้าไปในนั้น
—
หลายนาทีหลังจากที่วาห์นออกมา กลุ่มคนทั้งเจ็ดก็ปรากฏตัวขึ้นตามเส้นทางที่เขาใช้
พวกเขาแต่ละคนใส่เสื้อผ้าสีเข้มและสวมเสื้อคลุมแบบปกปิดใบหน้า
หลังจากมาถึงจุดที่วาห์นเข้าไปในป่า ร่างๆ หนึ่งก็ก้มลงและตรวจสอบพื้นดิน
เมื่อสังเกตเห็นร้องรอยการเดินเข้าไปในป่า เขาก็เริ่มใช้จมูกดมกลิ่นก่อนจะส่งสัญญาณมือให้กับคนอื่นๆ
คนอื่นๆ ต่างพยักหน้าก่อนที่จะแยกย้ายกันเข้าไปในป่า
หากวาห์นอยู่แถวนี้ เขาจะพบว่าดวงตาของคนกลุ่มนี้จะสะท้อนแสงที่ออกมาจากคริสตัลได้อย่างชัดเจน
คนพวกนี้เองก็สามารถมองเห็นในที่มืดไม่ต่างไปจากเขา
พวกเขาออกเดินเข้าไปในความมืดและมุ่งหน้าไปในทิศทางเดียวกับวาห์นทว่าเส้นทางที่ชุกชุมไปด้วยต้นไม้นั้นไม่ได้ทำให้พวกเขาเดินทางช้าลงเลย
—
วาห์นไม่ได้เดินเร็วมากมายเท่าไหร่เนื่องจากไม่คิดว่าจะมีคนตามเข้ามาในป่าด้วย แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเขาจะลดความระวังตัวแต่อย่างใด
เขาได้กระจายออร่าออกไปในป่าและใช้สกิลอำพรางตัวในขณะที่เดินลึกเข้าไปเรื่อยๆ
เขากำลังมองหาแหล่งน้ำสะอาดเพื่ออาบน้ำและทำความสะอาดเสื้อผ้าก่อนจะไปพักผ่อนบนต้นไม้สูง
ในขณะที่เขามุงหน้าไปเรื่อยๆ วาห์นก็ตรวจพบ ‘สิ่งผิดปกติ’ ในเขตแดนของเขา
สิ่งที่สัมผัสได้ดู ‘โปร่งใส’ และมืดมัวเล็กน้อยซึ่งต่างไปจากสัมผัสทั่วไปแต่วาห์นก็ยังตรวจจับมันพบ
เขาชะลอความเร็วและสวมใส่ [ชุดลายพรางของนักสำรวจ] ในขณะที่หมอบลงกับพื้น
สำหรับกลุ่มที่พยายามปกปิดตัวเองและเดินตามเขามานั้น วาห์นไม่คิดว่าพวกเขาคงมีเจตนาดีซะเท่าไหร่
—
ทั้งเจ็ดคนยังคงติดตามเป้าหมายต่อไปก่อนที่จะชะลอความเร็วลงเรื่อยๆ
‘หัวหน้า’ ของกลุ่มส่งสัญญาณมือและพวกเขาก็เริ่มกระจายตัวออกไป
เนื่องจากมีความเชี่ยวชาญด้านการแกะรอย พวกเขาจึงสามารถติดตามเหยื่อได้โดยไม่ถูกตรวจจับ
การที่ป่าเริ่ม ‘เงียบลง’ ทำให้สัญชาตญาณของหัวหน้ากลุ่มทำงานและเริ่มสั่งให้ลูกทีมกระจายการค้นค้นหาออกไปเป็นวงกว้าง
กลุ่มคนสวมผ้าคลุมค่อยๆ มุ่งไปข้างหน้าอย่างเงียบเชียบไร้เสียง
พวกเขาใช้สายตาสอดส่องการเคลื่อนไหวทุกอย่างและเงี่ยหูฟังเสียงแปลกปลอม
เป็นเรื่องผิดปกติมากที่อยู่ดีๆ เป้าหมายจะหายตัวไป
หัวหน้าจึงสันนิษฐานว่าพวกเขาคงถูกตรวจพบซึ่งทำให้เหยื่อเข้าไปซ่อนตัวอยู่ในบริเวณใกล้เคียง
สิ่งที่น่าแปลกก็คือ แม้พวกเขาจะมีประสาทสัมผัสที่เฉียบคมมาก แต่ก็ไม่มีใครพบร่องรอยของเด็กหนุ่มเลย
—
วาห์นระบุได้ว่าพวกมันมากันเจ็ดคนและดูเหมือนจะกำลังตื่นตัวแบบสุดๆ
แม้ว่าพวกนั้นยังหาเขาไม่เจอ แต่วาห์นก็ประทับใจในความระมัดระวังที่พวกเขาแสดงออกมาหลังจากพบว่าวาห์นได้หายไปแล้ว
จากมุมมองของเขา วาห์นสามารถมองเห็นร่างที่อยู่ใกล้กับเขามากที่สุดกำลังเคลื่อนที่ผ่านพุ่มไม้อย่างไร้เสียง
ช่างน่าอัศจรรย์มากที่คนๆ นั้นดูเหมือนจะหลอมรวมเข้ากับเสียงของธรรมชาติและเคลื่อนไหวโดยไม่รบกวนกิ่งไม้หรือใบหญ้าเลย
หลังจากดูพวกนั้นเคลื่อนที่อย่างช้าๆ วาห์นก็ตระหนักว่าไม่มีใครในกลุ่มที่ทำให้ ‘สัญชาตญาณ’ ของเขาทำงานเลย
ทุกครั้งที่วาห์นต่อสู้กับคนที่แข็งแกร่งกว่าหรือเข้าไปในพื้นที่อันตราย บางอย่างในตัวเขาจะทำการตอบสนองและทำให้เขาระวังตัวมากขึ้น
การที่คนเหล่านี้ไม่ทำให้เขารู้สึกแบบนั้นทำให้วาห์นเชื่อว่าพวกเขาน่าจะอ่อนแอกว่าตัวเอง
ตอนนี้ร่างที่ใกล้ที่สุดอยู่ห่างจากเขาไปเพียง 7 เมตร ซึ่งเป็นระยะที่วาห์นสามารถไปถึงได้ในพริบตา
เขาเกร็งขา ใส่แรงเข้าในมือที่กำลังยันพื้น และพุ่งออกไปด้วยความเร็วสูงสุด
ทันทีที่เท้าของเขาขยับออกจากพื้น เสียงลมที่พัดผ่านก็ระเบิดออกไปทั่วบริเวณขณะที่ต้นไม้และหญ้าเริ่มสั่นไหวอย่างรุนแรง
หัวหน้าทีมที่อยู่ใกล้กับตำแหน่งของวาห์นตกใจที่ได้ยินเสียงระเบิด แต่ก็ยังมีสติพอและเริ่มทำการหลบหลีก
น่าเสียดายที่วาห์นสันนิษฐานได้ถูกต้อง เพราะพวกเขาทั้งหมดเป็นนักผจญภัยเลเวล 2 และเคลื่อนไหวได้ช้ากว่าวาห์นมาก
พอรู้ว่าหลบเลี่ยงไม่ได้ ร่างนั่นจึงพยายามโจมตีวาห์นด้วยมีดสั้นแทน แต่วาห์นก็รับมันด้วยถุงมือเหล็กของเขาก่อนจะใช้กรงเล็บแทงสวนเข้าไปที่ท้องอย่างจัง
หัวหน้าทีมส่งเสียงครวญครางขณะทรุดลงไปที่พื้นและพยายามกดแผลเพื่อห้ามเลือด
วาห์นไม่เพียงแต่เร็วกว่าพวกเขาเท่านั้นแต่ยังแข็งแกร่งกว่ามาก
เนื่องจากกลุ่มนี้เชี่ยวชาญด้านความเร็วและการอำพรางตัว พวกเขาจึงไม่สามารถรับการโจมตีแบบตรงๆ ได้และต้องจ่ายความผิดพลาดครั้งนี้ในราคาที่แพงลิ่ว
คนในกลุ่มที่เหลือพยายามล้อมรอบและเข้าโจมตีวาห์นทันที แต่จากการที่ใช้เวลาเจ็ดเดือนอยู่ในป่าบวกกับสกิล [ย่างก้าวไร้สัมผัส] ที่เพิ่มมาถึงระดับ B แล้ว วาห์นจึงเชี่ยวชาญการสู้ในภูมิประเทศแบบนี้มาก
ภายในสองนาที มากกว่าครึ่งของกลุ่มก็ต้องลงไปนอนขยับตัวไม่ได้ ส่วนคนที่เหลือก็หวาดกลัวจนแทบทำอะไรไม่ถูก
พวกเขาไม่คิดว่าเด็กหนุ่มที่เพิ่งเปลี่ยนเป็นเลเวล 2 ได้ไม่นานจะโหดขนาดนี้
หลังจากที่วาห์นล้มพรรคพวกไปอีกคน สองคนที่เหลือก็พยายามถอยหนีไปในทิศทางตรงกันข้าม
พอเห็นแบบนั้น วาห์นก็ยิ้มๆ ก่อนที่จะนำคันธนูออกมา
เขาเล็งไปที่ร่างทั้งสองก่อนจะเข้าสู่สภาพอำพรางตัว
แม้จะมีคนอื่นอยู่ด้วย แต่ตราบใดที่เป้าหมายไม่ได้เห็นเขาด้วยตัวเอง วาห์นก็สามารถใช้สกิลนี้ออกไปได้
เขาง้างธนูออกไปก่อนจะเปิดใช้สกิล [เสียงเรียกแห่งยมทูต] และยิงไปทางสองร่างนั่น
ทั้งสองไม่รับรู้ถึงลูกศรที่กำลังเข้ามาใกล้จึงโดนยิงเข้าไปตรงแถวๆ ร่างกายส่วนล่าง
วาห์นเล็งไปตรงจุดที่ไม่ทำให้ตายแต่เป็นจุดที่ยากต่อการรักษา
จนถึงตอนนี้ เขายังไม่ได้ฆ่าใครเลยสักคนเพราะอยากล้วงเอาข้อมูลออกมาก่อน
เพราะทั้งเจ็ดคนยังคงอยู่ในเขตแดนของเขา วาห์นจะรับรู้ได้ทันทีว่ามีใครฟื้นตัวแล้วหรือพยายามลอบโจมตีเขาอยู่
วาห์นเดินเข้าไปใกล้คนแรกที่ถูกเขาโจมตีใส่
หัวหน้าทีมพยายามเทน้ำยาโพชั่นลงบนแผล แต่มันก็ฟื้นฟูได้ช้ากว่าปกติมาก เนื่องจากวาห์นได้ใส่ ‘การเผาไหม้’ ลงไปในการโจมตีด้วยจึงทำให้บาดแผลหายช้ากว่าเดิมหลายเท่า
ร่างนั้นสังเกตเห็นว่าวาห์นกำลังเดินเข้ามาจึงพยายามโจมตีเขาด้วยอาวุธลับ
วาห์นตรวจจับการโจมตีได้อย่างง่ายดายและจับมีดไว้ก่อนที่จะถึงตัว
มันเป็นใบมีดสีดำสนิทที่มีรูปร่างแปลกๆ และส่งกลิ่นเหม็นออกมาเล็กน้อย
วาห์นขมวดคิ้วและขว้างมีดเล็กกลับไปถูกหัวเข่าของเจ้าของมีด
ใบมีดทำให้กระดูกหัวเข่าของเขาแตกและฝังลึกเข้าไปในแผล
ร่างสวมผ้าคลุมซึ่งวาห์นพอระบุได้ว่าเป็นผู้ชายจากเสียงกรีดร้องที่เขาเปล่งออกมาก็เริ่มบิดไปมาด้วยความเจ็บปวดในขณะที่เริ่มมีฟองออกจากปาก
ดูเหมือนว่าใบมีดจะอาบพิษที่ออกฤทธิ์ได้เร็วมากและชายคนนี้อาจตายภายในไม่กี่นาทีหากไม่ได้รับยาถอนพิษ
วาห์นนำดาบทามาฮากาเนะออกมาฟันขาข้างที่ถูกมีดแทงอย่างไม่ลังเล
ชายคนนั้นกรีดร้องออกมาแต่วาห์นก็เพ่ง [จิตแห่งราชัน] ใส่จนเขานิ่งเงียบ
วาห์นใช้ [หัตถ์แห่งเนอร์วาน่า] เพื่อ ‘ดึง’ สารพิษออกจากร่างกายขณะเดียวกับที่ใช้กรงเล็บตัดเส้นเอ็นตรงแขนทั้งสองข้างของเขาออก
“เริ่มพูดมาได้แล้ว”