Endless Path : Infinite Cosmos, อนันตวิถีจักรวาล - ตอนที่ 88
วาห์นต้องตื่นขึ้นมาเป็นระยะเพื่อตรวจสอบสภาพโดยรอบอยู่เรื่อยๆ
แม้ว่าเขตแดนของเขาจะไม่พบสิ่งแปลกปลอม แต่การลาดตระเวนเล็กน้อยก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร
เนื่องจากมีโอกาสที่ ‘ศัตรู’ ยังคงตามหาเขาอยู่ วาห์นจึงต้องระมัดระวังตัวเป็นพิเศษ
ผ่านไปไม่นาน คริสตัลบนท้องฟ้าก็เริ่มเปล่งแสงและปล่อยความอบอุ่นออกมา วาห์นรอดพ้นจากคืนนี้ไปโดยที่ไม่มีอะไรมารบกวนอีก
อากาศยามเช้าทำให้เขารู้สึกกระปรี้กระเปร่าและอยากกลับไปสำรวจดันเจี้ยนต่ออีกครั้ง
ตอนนี้เขาสามารถกลับไปเก็บสะสม OP จากชั้นที่ 17 และรอโอกาสเพื่อสู้กับโกไลแอธหรือไม่ก็เดินทางสู่ชั้นที่ลึกกว่าเดิม
วาห์นรู้ว่าหากต้องการได้รับ OP เร็วกว่าเดิม การต่อสู้กับมอนสเตอร์ที่แข็งแกร่งกว่าเดิมนั้นเป็นสิ่งที่จำเป็น
อย่างไรก็ตาม มันจะเป็นการปลอดภัยกว่ามากถ้าเขากลับไปที่ชั้นก่อนหน้า
วาห์นจะได้มา 100 OP สำหรับมิโนทอร์แต่ละตัวที่เขาสังหาร และหากเขาล่าพวกมันได้ประมาณหนึ่งร้อยตัวโดยที่ยังไม่รวมมอนสเตอร์ชนิดอื่น เขาน่าจะได้ OP มาประมาณ 15,000 – 20,000 OP ต่อวัน
หากเขาพบกับ ‘มอนสเตอร์ปารตี้’ หรือสู้กับพวกสายพันธุ์พิเศษ ตัวเลขนั่นก็จะเพิ่มขึ้นไปอีก
วาห์นคาดการณ์ว่าเขาจะได้ OP ครบภายใน 30 – 40 วันหากไม่พบกับปัญหาอะไรเพิ่มเติม
หลังจากการพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้ว วาห์นตัดสินใจว่าจะกลับขึ้นไปสำรวจดันเจี้ยนชั้นบนแทน
ตอนนี้มีศัตรูที่พยายามจะขัดขวางเขา และวาห์นยังสงสัยว่าพวกเขาอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับจักเกอร์นอตที่เขาพบก่อนหน้านี้ด้วย
หากตัดสินใจที่จะมุ่งหน้าลงไปชั้นล่าง เขาอาจจะได้รับอันตรายโดยที่ไม่มีทางให้ถอยหนีได้เลย
แม้ว่าคนส่วนใหญ่ในโอซิริสแฟมิเลียจะอยู่ที่เลเวล 2 แต่พวกเขาอาจจะจ้างคนอื่นให้มาทำงานสกปรกแทนก็ได้
การรับมือกับนักผจญภัยเลเวลสูงในขณะที่ต้องต่อสู้กับมอนสเตอร์ไปด้วยนั้นดูจะไม่ใช่เรื่องดีสักเท่าไหร่
ก่อนที่วาห์นจะออกเดินทาง เขาตัดสินใจที่จะสำรวจชั้นที่ 18 และทำแผนที่ให้เสร็จสิ้นเสียก่อน
เขาจะอยู่ที่นี่สักระยะและการรู้รายละเอียดภูมิประเทศนั้นจะช่วยให้เขาปกป้องตัวเองได้หากมีเรื่องเลวร้ายเกิดขึ้น
ตอนนี้วาห์นไม่เชื่อใจใครทั้งนั้น แม้แต่คนที่อาศัยอยู่บนชั้นที่ 18 ซึ่งน่าจะบอกรายละเอียดของภูมิประเทศได้ดีกว่าการที่เขาจะไปเดินดูเองก็ตาม
—
เพราะวาห์นตื่นเช้ากว่าปกติ เขาจึงมีเวลาออกสำรวจชั้นที่ 18 และได้พิกัดพื้นที่ส่วนใหญ่จนแล้วเสร็จภายในสามชั่วโมง
สิ่งที่เขาสังเกตเห็นก็คือมีทะเลสาบขนาดเล็กและบ่อน้ำจำนวนมากที่กระจายอยู่ตามป่าและที่ราบ
แหล่งน้ำทุกแห่งไกลมาจากทะเลสาบขนาดใหญ่ที่เชื่อมต่อกับเครือข่ายของรากทางฝั่งตะวันตกของต้นไม้ยักษ์ที่อยู่ตรงกลางแผนที่
วาห์นยังได้เรียนรู้อีกว่าต้นไม้ยักษ์นั่นเป็นทางเข้าสู่ชั้นที่ 19 และถ้านักผจญภัยใช้เส้นทางหลักนี้แทนการใช้หลุมเพื่อเข้าสู่ชั้นถัดไป พวกเขาก็จะถูกใครบางคนบันทึกการเข้าออกเอาไว้
นักผจญภัยบางคนจะนำข้อมูลภารกิจหาวัตถุดิบและกวาดล้างมอนสเตอร์ของกิลด์ลงมาที่ริวีร่า
พวกเขาจะรับไอเท็มจากนักผจญภัยและแฟมิเลียที่วางแผนจะอยู่ในนี้เป็นเวลานานและนำมันไปส่งให้กับทางกิลด์แทนโดยต้องจ่ายค่าธรรมเนียมเพิ่มไปอีก
ค่าธรรมเนียมนั้นจะทำให้คนที่อยู่ที่นี่มีชีวิตที่สะดวกสบายมากขึ้น และยังทำให้พวกเขามีเงินไปซื้อไอเท็มในตลาดริวีร่าซึ่งของที่อยู่ในนั้นไม่ใช่ถูกๆ เลย
ส่วนนักผจญภัยที่จ่ายค่าไอเท็มบวกกับค่าธรรมเนียมไปแล้วนั้นก็จะนำไอเท็มไปแลกเปลี่ยนกับทางกิลด์ที่ชั้นหนึ่งเพื่อรับรางวัลต่างๆ ตามที่ภารกิจระบุไว้
นี่เป็นวิธีการที่นักผจญภัยเลเวลต่ำใช้เพื่อสำเร็จภารกิจระดับสูง
ทว่าการปรากฏตัวของคนจำพวกนี้นั้นกลับเป็นอุปสรรคสำหรับวาห์น เพราะแม้เขาจะไม่ได้ทิ้งข้อมูลอะไรไว้ แต่การปรากฏตัวของเขาก็จะถูกบันทึกลงไปอยู่ดี
พวกเขามักจะนำข้อมูลเหล่านี้ไปขายอีกต่อหนึ่งและเครือข่ายนี้โหญ่โตไม่ใช่เล่นๆ เลย
พวกเขารู้ถึงขนาดที่ว่ามีใครกำลังสำรวจดันเจี้ยนชั้นส่วนล่างอยู่บ้างแบบละเอียดยิบ
วาห์นสังเกตเห็นว่าพวกเขาได้ตั้งบอร์ดพนันไว้ในร้านเหล้าต่างๆ และเขาสามารถไปหาซื้อข้อมูลเกี่ยวกับทุกคนที่อยู่ชั้นล่างๆ ได้จากผู้จัดการบอร์ด
ราคาของข้อมูลนั้นสูงมาก แต่วาห์นไม่แปลกใจเลยถ้าโอซิริสแฟมิเลียจะยินดีจ่ายเงินเพื่อซื้อข้อมูลของเขา
แม้กระทั่งตอนนี้เองก็มีข้อมูลที่ชื่อ ‘วัลแคน’ แปะติดไว้บนผนังอยู่ด้วย
หลังจากซื้อสิ่งของจำเป็นครบหมดแล้ว วาห์นก็ขึ้นไปชั้นที่ 17 เพื่อเริ่มออกล่า
บันไดของชั้นที่ 17 นั้นแตกต่างไปจากชั้นอื่นๆ โดยแบ่งออกเป็นสองส่วน
ส่วนแรกคือบันไดที่เชื่อมกับสิบหกชั้นแรกและส่วนที่สองคือบันไดที่เชื่อมกับชั้น 18
หากวาห์นอยากจะกลับไปที่ชั้นบน (ชั้น 1 – 16) เขาจะต้องเดินผ่านชั้นที่ 17 แบบปกติเพื่อไปให้ถึงบันใดส่วนแรก
อีกตัวเลือกหนึ่งก็คือหารูปีนขึ้นไปชั้นบนซึ่งวาห์นคิดว่ามันดูน่าสนุกดีเหมือนกัน
เมื่อออกจากห้องที่เชื่อมต่อกับบันได วาห์นก็ได้พบกับ ‘กำแพงแห่งความเศร้าโศก’ อีกครั้ง
โครงสร้างผลึกที่แฝงได้ด้วยเฉดสีรุ้งยังคงมีสภาพแบบเดิม แต่ตอนนี้เงามืดที่อยู่ข้างในนั้นมีขนาดใหญ่กว่าเดิมมาก
วาห์นให้พี่สาวคำนวณอัตราการขยายตัวนับจากที่เขาเจอมันเมื่อครั้งก่อนเพื่อกะเวลาที่โกไลแอธจะปรากฏตัวขึ้น
หลังจากนั้นไม่กี่นาทีเขาก็ได้รับแจ้งว่ามันจะเกิดในอีกประมาณ 70 – 75 ชั่วโมงซึ่งทำให้วาห์นมีเวลาเตรียมตัวเกือบสามวัน
หากเขาสามารถไปถึงเลเวล 3 ได้ก่อน การต่อสู้กับโกไลแอธก็จะง่ายขึ้นมาก
วาห์นเดินผ่านชั้น 17 และเหมือนกับเมื่อวันก่อนซึ่งมีมอนสเตอร์ตามทางไม่มากเท่าไหร่
ดูเหมือนว่าชั้นนี้จะเน้นไปที่การซุ่มโจมตีบวกกับภูมิประเทศที่เป็นอุปสรรคและทัศนวิสัยต่ำ
เพราะปัจจัยเหล่านี้ไม่มีผลกับวาห์นแม้แต่น้อย เขาจึงสามารถผ่านชั้นนี้ได้ง่ายกว่าคนส่วนใหญ่
หลังผ่านไปสักพัก เพราะเขาไม่ได้รับ OP มามากเท่าที่ควร วาห์นจึงตัดสินใจทำตามสิ่งที่คิดเอาไว้ในทีแรก
เขาเดินตามพิกัดบนแผนที่และพบกับสิ่งที่กำลังมองหาอย่างรวดเร็ว
บนเพดานของห้องๆ หนึ่งนั้นมีรูขนาดยักษ์ที่เป็นทางไปสู่ดันเจี้ยนชั้นบน
วาห์นดีดตัวจากกำแพงและใช้กรงเล็บของเขาจิกไปที่ผนังในโพรง
พอทรงตัวได้แล้วเขาก็กระโดดขึ้นและทำแบบเดิมไปเรื่อยๆ จนขึ้นมาถึงชั้นที่ 16
เมื่อคิดว่าเขาเป็นคนเดียวที่สามารถใช้วิธีนี้ได้ วาห์นก็เผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อย
เมื่อมาถึงชั้นที่ 16 วาห์นก็เริ่มโครงการกวาดล้างเผ่าพันธุ์มิโนทอร์ทันที
หากเขาอยู่ที่นี่จนภารกิจสำเร็จ คำพูดที่ว่าวาห์นอาจเป็นผู้สังหารมิโนทอร์ที่เก่งที่สุดในประวัติศาสตร์อาจจะไม่ใช่คำพูดเกินจริงสักเท่าไหร่
กว่าจะจบภารกิจได้นั้นเขาจะต้องสังหารพวกมันอย่างน้อยหลายพันตัวรวมไปถึงสายพันธุ์พิเศษอีกจำนวนหนึ่งด้วย
ในขณะที่กำลังจัดการกับมิโนทอร์อยู่นั้น วาห์นก็พยายามสำรวจพื้นที่ทั้งหมดไปด้วย
แม้ว่าเขาจะมี ‘แผนที่’ แต่โครงสร้างของดันเจี้ยนก็จะเปลี่ยนไปเป็นครั้งคราวและทำให้เกิดความคลาดเคลื่อนในตัวแผนที่
ทางกิลด์ยังมีภารกิจแบบทำซ้ำได้ซึ่งกำหนดให้เหล่านักผจญภัยคอยส่งข้อมูลการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้กลับไปที่กิลด์
ในระหว่างการสำรวจนี้เองที่ทำให้วาห์นได้พบกับมอนสเตอร์หน้าใหม่
สิ่งที่ยืนอยู่ตรงกลางห้องและมองไปรอบๆ อย่างเกียจคร้านก็คือไวเวิร์นสีชมพูตัวยักษ์ที่มีขนาดตัวยาวประมาณ 4 เมตร
ตอนนี้มันยังไม่ทันรู้ตัวเพราะเขาได้ใช้สกิลอำพรางตัวเองเอาไว้
วาห์นเคยสังหารเพอร์เพิลไวเวิร์นมาก่อนแล้ว ดังนั้นเจ้าตัวสายพันธุ์ธรรมดาจึงไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาแน่นอน แต่เขาก็ยังอยากสู้โดยที่ไม่ต้องมีใครมาเบี่ยงเบนความสนใจของมันไว้
วาห์นปิดสกิลที่ใช้อำพรางตัวและเพ่งพลังเขตแดนไปที่ไวเวิร์น
ในขณะที่เขาทำเช่นนั้น ร่างของไวเวิร์นก็เริ่มตื่นตัวและมองมาทาวาห์นด้วยสายตาก้าวร้าวและยังแฝงไปด้วยความกลัวเล็กน้อย
วาห์นสงสัยในปฏิกิริยาของมันและเริ่มให้ความสนใจกับเจ้าไวเวิร์นตัวนี้
วาห์นไม่ได้นำอาวุธใดๆ ออกมาและเริ่มตั้งท่าลงต่ำที่เขาพัฒนาขึ้นเองหลังจากใช้ร่างพยัคฆ์ขาวไปหลายครั้ง
มันเป็นท่าต่อสู้ที่ทำให้เขาเข้าสู่ความเร็วสูงสุดได้ในทันทีไม่ว่าจะเคลื่อนไปทางทิศไหนก็ตาม
ไวเวิร์นคำรามและพุ่งเข้าหาศัตรูที่ทำให้มันรู้สึกถึงแรงกดดันตามสัญชาตญาณ
มันไม่เคยพบสิ่งที่มี ‘ออร่า’ คล้ายกับวาห์นมาก่อนเลยจนทำให้ไวเวิร์นรู้สึกหวั่นใจกับการต่อสู้ที่กำลังจะมาถึง
มันพยายามที่จะต้านทานแรงกดดันและพุ่งเข้าหาเหยื่อตัวเล็กๆ ก่อนจะพ่นไฟปริมาณมหาศาลออกมา
เปลวเพลิงกระทบเข้ากับเป้าหมายแบบจังๆ และทำไวเวิร์นรู้สึกโล่งอกไปครู่หนึ่ง
เมื่อเห็นเปลวเพลิงใกล้เข้ามา วาห์นก็หลับตาลงและถอดอุปกรณ์สวมใส่ออกไปหลายชิ้น
เขาสูญเสียเสื้อผ้าทนไฟไปในตอนเปลี่ยนเป็นร่างนกไฟและเขาก็ไม่อยากเสียอุปกรณ์อีกชุดไปด้วยลักษณะคล้ายๆ กันอีกแล้ว
หลังจากยื่นนิ่งๆ อยู่ท่ามกลางเปลวเพลิงไปประมาณสองวินาที วาห์นก็พุ่งตัวออกไปข้างหน้า
ไวเวิร์นเริ่มรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติและแม้ว่ามันจะโจมตีถูกศัตรูด้วยการโจมตีที่แข็งแกร่งที่สุดของมันไปแล้ว แต่สัญชาตญาณเอาตัวรอดก็ยังดังขึ้นมาไม่หยุดจนมันเริ่มรู้สึกหวาดกลัวอีกครั้ง
ขณะที่ความคิดนั้นผ่านเข้ามาในหัว ปากของมันก็ถูกกระแทกอย่างแรงจนร่างที่หนักราว 10,000 กิโลกรัมถึงกับกระเด็นไปข้างหลัง
ไวเวิร์นรู้สึกถึงคลื่นกระแทกที่ทรงพลังผ่านมาถึงร่างกายและเข้าไปกดดันการไหลเวียนของมานาที่แกนหลักของมันโดยตรง
มันรู้สึกเหมือนถูกจับมัดโดยพลังงานบางอย่างที่ยังคงสะท้อนอยู่ภายในร่างกายและไม่มีทีท่าว่าจะลดลงเลย
วาห์นเล็งเห็นว่าไวเวิร์นได้ลดการป้องกันตัวลงหลังจากที่มันพ่นไฟออกมา เขาจึงใช้ช่องว่างดังกล่าวเพื่อรวมพลังและเตะเข้าไปที่ส่วนปากของมัน
ปากของไวเวิร์นปิดลงทันทีและร่างกายของมันก็กระเด็นกลับหลังไปหลายเมตร
สิ่งที่น่าสนใจก็คือแทนที่จะโจมตีสวนเข้ามาใหม่ เจ้าไวเวิร์นกลับดูนิ่งงันและลังเล
วาห์นมองเห็นความกลัวในแววตาของมันได้แจ่มชัดยิ่งกว่าตอนแรก
เพื่อเป็นการทดสอบทฤษฎีของเขา วาห์นค่อยๆ เดินไปหาไวเวิร์นขณะยังเพ่งจิตใส่มันเรื่อยๆ
ไวเวิร์นรู้สึกได้ถึงแรงกดดันภายในร่างกายที่เพิ่มขึ้นในแต่ละก้าวที่ร่างนั่นเดินเข้ามาใกล้
มันสัมผัสได้ลางๆ ว่าระยะห่างนั้นมีค่าเท่ากับชีวิตที่เหลืออยู่ของมันนั่นเอง
ความท้อแท้อย่างที่สุดเริ่มผุดขึ้นมาใน ‘หัวใจ’ ของมอนสเตอร์ตัวนี้
พอร่างนั่นอยู่ห่างออกไปในระยะ 1 เมตรจากตัวมัน เจ้าไวเวิร์นไม่สามารถทนต่อแรงกดดันได้อีกและทรุดตัวลงกับไปที่พื้น
มันจ้องมองเด็กหนุ่มด้วยดวงตาที่เหนื่อยล้าและ ‘ถอนหายใจ’ ออกมาพร้อมกับมีกลุ่มควันขนาดเล็กลอยออกมาจากจมูก
เมื่อไวเวิร์นทรุดลงกับพื้น วาห์นก็รู้สึกถึงเดจาวูเป็นครั้งแรกในชีวิตของเขา
(TL: อันนี้ผู้แปลขออธิบายแบบพอสังเขปนะครับ เดจาวูคือการที่เรามีความรู้สึกว่าเหตุการณ์ที่กำลังดำเนินอยู่นั้นได้เคยเกิดขึ้นมาก่อนหน้านี้แล้วครับ)
มันเหมือนกับในอดีตตอนที่เจ้าโคโบลด์ยอม ‘ศิโรราบ’ ให้กับเขา
ตอนนี้ไวเวิร์นก็กำลังวางหัวไว้กับพื้นและมองขึ้นมาหาวาห์น
เขาเห็นว่ามันไม่มีความต้องการที่จะสู้ต่อและรู้สึกว่าถ้าเขาใช้ [จิตแห่งราชัน] ก็จะสามารถทำให้มันยอมจำนนได้
วาห์นเอื้อมมือออกไปวางบนจมูกของเจ้าไวเวิร์นและมันไม่ได้มีท่าทีต่อต้านเลยแม้แต่นิดเดียว
ขณะที่วาห์นยังคงเพิ่งจิตใส่มันก่อนจะถามขึ้น
“อยากติดตามฉันไปหรือเปล่า?”
วาห์นพูดอย่างช้าๆ แต่แฝงไปด้วยพลังบางอย่าง
ไวเวิร์นได้ยินทุกคำอย่างชัดเจนและร่างของมันก็สั่นเล็กน้อยก่อนที่จะปิดตาลง
หลังจากผ่านไปไม่ถึงห้าวินาทีก็มีการแจ้งเตือนดังขึ้นในหัวของวาห์น
//(ไร้นาม) ประสงค์ที่จะเป็นลูกน้องของคุณ: ตกลง/ปฏิเสธ//