Endless Path : Infinite Cosmos, อนันตวิถีจักรวาล - ตอนที่ 90
พอวาห์นได้รับสกิลแฝงอันใหม่มา ขุมพลังของเขาเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดอีกครั้ง
แม้ว่าคูลดาวน์ของมันจะยาวนานมาก แต่วาห์นเชื่อว่าเมื่อระดับของสกิลและความเข้าใจของเขาเพิ่มมากขึ้น เวลาตรงส่วนนี้ก็จะลดลงไปด้วย
วาห์นเผยรอยยิ้มขนาดใหญ่บนใบหน้าขณะมองไปทางฟาฟเนียร์ที่เพิ่งจะแปลงร่างเสร็จ
ตอนนี้ฟาฟเนียร์มีความยาวประมาณ 6 เมตรและเกล็ดสีชมพูของมันนั้นได้แปรเปลี่ยนมาเป็นสีดำโดยภายใต้เกล็ดเผยให้เห็นเฉดสีม่วงเล็กน้อย
ดวงตาของมันกลายเป็นสีเขียวซีดน่ากลัว และยังมีตราประทับเวทย์มนตร์แปลกๆ อยู่ตรงส่วนหน้าอก
แทนที่สันหลังจะค่อมแบบก่อนหน้านี้ ตอนนี้มันยืนหลังตรงอย่างน่าเกรงพร้อมกับขาหน้าที่งอกออกมาใหม่
(TL: ก็คือ มีทั้งแขน ขา และปีกครบชุด~! ไวเวิร์นนั้นจะมีแค่ขากับปีกเท่านั้น)
คุณสมบัติที่ดูโดดเด่นที่สุดก็คือเขาสีดำสี่ข้างที่อยู่รอบใบหน้า
สองข้างแรกชี้ขึ้นไปบนท้องฟ้าในขณะที่สองข้างแทงออกในแนวราบและดูราวกับกำลังปกป้องดวงตาของมันเอาไว้
เขานั่นทำให้มันดูดุร้ายมากและมองผ่านๆ อาจดูคล้ายกับกำลังสวมมงกุฎอยู่
ร่างทั้งหมดของมันดูเฉียบคมขึ้นและมีเกล็ดบางส่วนที่ยื่นออกมาคล้ายหนามแหลม
วาห์นรู้สึกว่ามันดูเท่มาก แต่ถ้าถามคนที่มองมันว่าเห็นแล้วนึกถึงอะไรเป็นอย่างแรก เก้าในสิบคนคงจะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ‘มังกรปีศาจ’
ตอนแรกเขาคิดว่าจะลองปล่อยให้มันเคลียร์ส่วนต่างๆ ของดันเจี้ยนด้วยตัวเองขณะที่เขาพักผ่อนในเวลากลางคืน
แต่ก็ไม่มีทางเลยที่กลุ่มนักผจญภัยจะไม่โจมตีฟาฟเนียร์เมื่อเห็นร่างของมันในตอนนี้
พวกเขาคงคิดว่ามันเป็นสายพันธุ์พิเศษและโจมตีมันอย่างโหดเหี้ยม
เนื่องจากวาห์นไม่มีทางสั่งให้มันทนถูกโจมตีอยู่ฝ่ายเดียว พวกเขาก็คงต้องตายอย่างแน่นอน
นอกจากนี้ยังมีโอกาสที่พวกแฟมิเลียเก่งๆ จะปรากฏตัวขึ้นและถ้าเป็นแบบนั้นวาห์นก็คงต้องสูญเสียสหาย ‘มีชื่อ’ ตัวแรกของเขาไป
—
วาห์นตรวจสอบร่างใหม่ของฟาฟเนียร์และดูเหมือนว่ามันจะเปล่งประกายด้วยความภาคภูมิขณะแสดงรูปร่างของตัวเองให้เจ้านายดู
วาห์นพบว่าเกล็ดบนร่างของฟาฟเนียร์นั้นแข็งกว่าแผ่นหินยักษ์ในดันเจี้ยนซะอีก
ซึ่งก็หมายความว่านอกจากมันจะต้านทานเวทมนตร์ได้อย่างสมบูรณ์แล้ว มันยังมีความต้านทานต่อการโจมตีทางกายภาพที่สูงมากอีกด้วย
สำหรับพลังโจมตีของมันนั้น ตอนนี้ฟาฟเนียร์ ‘สื่อสาร’ กับวาห์นและบอกว่ามันไม่ได้มีสกิลใดๆ อยู่เลยซึ่งรวมถึงการพ่นไฟด้วย
อย่างไรก็ตาม ตอนนี้มันมีทั้งความแข็งแกร่งทางกายภาพและความเร็วสูงซึ่งมากพอที่จะทำให้เกิดหลุ่มขนาดใหญ่ด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว
มันยังสามารถบินได้โดยไม่ต้องพึ่งการกระพือปีกเลยด้วยซ้ำ
เมื่อใช้พลังเขตแดนเข้าตรวจสอบ วาห์นจึงสัมผัสได้ว่ามีพลังงานก่อตัวขึ้นตรงส่วนหลังของปีกนั่น
วาห์นทดลองใช้สกิล [โพรมีธีอุส] กับฟาฟเนียร์แต่ปรากฏว่าทำไม่ได้เนื่องจากตอนนี้ฟาฟเนียร์นั้นมีเลเวลและศักยภาพที่สูงกว่าเขา
ในฐานะที่เป็น ‘มังกร’ และแม้จะมีดวงวิญญาณแค่ระดับหนึ่ง 1 แต่ค่าสถานะของมันนั้นสูงจนน่าเหลือเชื่อ
เมื่อวาห์นลองให้มันสู้กับแบทเทิลบอร์ซึ่งเป็นมอนสเตอร์ที่เขาสู้ลำบากกว่าตัวอื่น ฟาฟเนียร์กลับล้มมันลงได้ด้วยหมัดเดียว
วาห์นพบว่าแม้แบทเทิลบอร์จะเป็นมอนสเตอร์ที่แข็งแกร่งที่สุดในชั้นนี้ แต่เขาก็ได้ OP มาเพียง 2 แต้มเท่านั้นหลังจากที่ฟาฟเนียร์ล้มมัน
นั่นทำให้วาห์นสรุปได้ว่าเขาจะได้รับเอ็กซีเลียและ OP น้อยลงหากการต่อสู้นั้นง่ายเกินไปหรือว่าคู่ต่อสู้เป็นมอนสเตอร์ที่อ่อนแอเกินไป
มันเกือบจะคล้ายกับการที่นักผจญภัยแทบจะไม่ได้เอ็กซีเลียจากการล่ามอนสเตอร์ที่อ่อนแอกว่า
หากวาห์นต้องการใช้ประโยชน์จากพลังอันน่าทึ่งของฟาฟเนียร์ เขาจะต้องเข้าไปในดันเจี้ยนชั้นที่ลึกกว่าเดิม…
เหตุผลที่วาห์นยังไม่อยากทำแบบนั้นก็เพราะเรื่องของโอซิริสแฟมิเลียเช่นเดียวและเรื่องที่ตอนนี้เขาอ่อนแอกว่าฟาฟเนียร์มาก
หากเขาพึ่งพามันมากเกินไป มันก็จะทำให้การเติบโตของเขาช้าลง
เรื่องนี้ไม่ได้เลวร้ายไปซะมหดเพราะอย่างน้อยวาห์นก็ได้บินไปรอบๆ เป็นครั้งแรกขณะนั่งอยู่บนหลังของฟาฟเนียร์
แม้ว่าตอนแรกมุมบินจะแปลกไปนิดหน่อย แต่ดูเหมือนฟาฟเนียร์จะสามารถเปลี่ยนโครงสร้างของเกล็ดและสร้างพื้นที่ให้วาห์นนั่งได้อย่างสบาย
หากมีคนดูอยู่แถวนั้น พวกเขาก็จะได้เห็น ‘มนุษย์เสือปีศาจ’ หัวเราะเสียงดังขณะที่ขี่หลัง ‘มังกรปีศาจ’ ไปรอบๆ
—
วาห์นยังคงเดินทางต่อไปกับฟาฟเนียร์ขณะที่พวกเขากำจัดมอนสเตอร์ทุกตัวที่อยู่บนพื้นได้ได้อย่างง่ายดาย
ในฐานะที่เป็นมังกรเลเวล 3 ฟาฟเนียร์นั้นแกร่งกว่าทุกอย่างที่อยู่ในชั้น 16
เมื่อวาห์นเห็นมันสู้กับมิโนทอร์กลุ่มใหญ่ เขารู้สึกประหลาดใจที่เห็นฟาฟเนียร์เพียงแค่ตวัดหางใส่คอของพวกมันทีละครั้งก็เป็นอันจบเกมแล้ว
และพอพวกมันพยายามเข้ามาล้อมกรอบ ฟาฟเนียร์ก็ขยายเกล็ดแหลมออกไปรอบทิศทางเพื่อโจมตีใส่พวกมัน
วาห์นเองก็ไม่แน่ใจว่าเขาจะสามารถหลบการโจมตีแบบนั้นได้พ้นหรือเปล่า
การดูกลุ่มมิโนทอร์จำนวนเก้าตัวถูกเกล็ดทิ่มจนพรุนนั้นทำให้วาห์นรู้สึกกลัวขึ้นมาเล็กน้อย
ในที่สุดเวลาของวันนี้ก็หมดลงและวาห์นก็เริ่มมุ่งหน้ากลับไปที่ริวีร่าและเขาไม่ต้องคอยกระโดดลงหลุมเพื่อเข้าสู่ชั้นที่ 17 อีกแล้ว
ตอนนี้เขาสามารถขี่หลังของฟาฟเนียร์และร่อนลงมาได้อย่างรวดเร็ว
ทั้งสองเดินทางผ่านชั้นที่ 17 ก่อนที่จะพบปัญหาบางอย่าง
ฟาฟเนียร์นั้นตัวใหญ่เกินกว่าจะลอดผ่านพื้นที่บางส่วนไปได้
แม้แต่วาห์นที่ค่อนข้างตัวเล็กก็ยังเจออุปสรรคในบางครั้งเช่นกัน
ในฐานะที่เป็นมังกรขนาดตัวยาว 6 เมตรและมีน้ำหนักหลายตัน ฟาฟเนียร์นั้นไม่สามารถไปต่อได้อีก
วาห์นต้องทำให้ฟาฟเนียร์กลับเข้าสู่สถานะปิดใช้งานเพราะการปล่อยมันทิ้งไว้แถวนี้นั้นดูเสี่ยงเกินไป
ข้อดีของการที่กลับไปเป็นแบบคริสตัลก็คือวาห์นสามารถเก็บมันไว้ในช่องเก็บของได้อย่างง่ายดาย
โดยทั่วไปแล้วสิ่งมีชีวิตทางชีวภาพหรืออะไรก็ตามที่มีชีวิตนั้นไม่สามารถใส่ในลงไปในช่องเก็บของได้และการทำแบบนี้ได้จึงถือว่าสะดวกสบายมาก
เมื่อมองไปที่คริสตัลสีดำขนาดใหญ่และดูสวยงาม วาห์นก็รู้สึกทึ่งๆ ว่าสิ่งนี้คือที่เก็บมังกรอันแสนจะทรงพลัง
เขายังแอบคิดภายในส่วนที่ลึกมากๆ ว่าจะเป็นยังไง… หากเขาลองบีบมันให้แตกคามือ…
วาห์นส่ายหัวให้กับความคิดนั้นและมุ่งหน้าต่อไปยังริวีร่าขณะที่คอยสังหารมอนสเตอร์ไปตลอดทาง
นับเป็นอีกครั้งที่ชั้นนี้มีศัตรูน้อยกว่าชั้นอื่น ทำให้วาห์นเดินทางผ่านไปได้อย่างไม่ยากเย็นนัก
ถึงกระนั้นเขาก็ต้องใช้เวลาเกือบสองชั่วโมงกว่าจะถึง ‘กำแพงแห่งความเศร้าโศก’
เมื่อมองไปที่กำแพงขนาดใหญ่ วาห์นก็จ้องมองมันอย่างเหม่อลอย
เขาเห็นได้ว่าเงานั้นมีขนาดใหญ่กว่าเดิมและพี่สาวก็เริ่มคำนวณเวลาใหม่อีกครั้ง
แทนที่จะเป็นเวลาอีก 70 – 75 ชั่วโมงอย่างที่คิดไว้ตอนแรก การวิเคราะห์ของเธอระบุว่ามันจะเกิดขึ้นมาในอีกยี่สิบชั่วโมงข้างหน้า
รอบนี้วาห์นอยู่ในดันเจี้ยนมา 14 ชั่วโมงแล้ว แต่ในช่วงเวลานั้นเวลาเกิดของมันกลับลงลงไปถึง 40 ชั่วโมง
(*เวลาเกิดของราชันมอนสเตอร์นั้นจะได้รับอิทธิพลจากนักผจญภัยคล้ายกับกรณีของจักเกอร์นอต บทสรุปบอกเอาไว้ว่าสาเหตุหลักที่มีคนเสียชีวิตจากราชันมอนสเตอร์ก็เพราะพวกเขาคำนวณเวลาเกิดของมันคลาดเคลื่อนไป การที่เธอล่ามอนสเตอร์หลายร้อยตัวกับฟาฟเนียร์น่าจะส่งผลกับเวลาเช่นกัน นอกจากนี้ยังมีนักผจญภัยคนอื่นในดันเจี้ยนซึ่งทำให้เวลาลดลงไปอีก*)
วาห์นคิดว่ามันสมเหตุสมผลเพราะราชันมอนสเตอร์นั้นก็ถือว่าเป็นผู้พิทักษ์ของดันเจี้ยนอีกแบบหนึ่ง
หากผู้คนเข้ามาก่อความวุ่นวายมากขึ้น ดันเจี้ยนก็จะพยายามต่อต้านและทำให้เวลาเกิดของมอนสเตอร์เร็วกว่าเดิม
ปัญหาที่วาห์นกำลังเผชิญอยู่ก็คือเวลาที่มันเกิดออกมาแล้วนี่แหละ
เขาต้องการท้าทายมันด้วยตัวคนเดียว วาห์นจึงอยากขึ้นเป็นเลเวล 3 ก่อนจะถึงเวลานั้น
เพราะเขาปล่อยให้ฟาฟเนียร์ล่ามอนสเตอร์ส่วนใหญ่ไป วาห์นจึงไม่ก้าวหน้าเท่าที่ควรนับตั้งแต่ช่วงเช้า
เขานั่งพิงผนังขณะจ้องไปที่ ‘กำแพงแห่งความเศร้าโศก’ และเงามืดที่อยู่ภายใน
เขารู้ว่าทันทีที่เงามืดขยายจนเต็ม โกไลแอธก็จะโผล่ออกมาและเริ่มโจมตีทุกอย่างที่อยู่ภายในอาณาเขตของมัน
วาห์นตัดสินใจที่จะรอจนกว่ามันจะเกิดเพราะหากเขาออกไปทำอย่างอื่นในตอนนี้ก็จะไม่สามารถรู้ได้เลยว่ามันจะออกมาเมื่อไหร่
แม้จะมีความเป็นไปได้ที่มันจะยังอยู่เมื่อเขากลับมาแล้ว แต่เนื่องจากนี่เป็นจุดที่นักผจญภัยจำนวนมากเดินผ่านเพื่อเดินทางต่อไปยังริวีร่า จึงมีโอกาสสูงที่มันจะตายอย่างรวดเร็ว
แม้อาจดูเสี่ยงไปหน่อย แต่วาห์นก็มั่นใจว่าจะสามารถสู้กับมันได้อย่างสูสี
แม้แต่กลุ่มของนักผจญภัยเลเวล 2 ที่ประสานงานกันอย่างดีและได้รับความช่วยเหลือเล็กน้อยจากนักผจญภัยเลเวล 3 หรือสูงกว่านั้นยังสามารถเอาชนะมันได้เลย
มอนสเตอร์ตัวนี้มีคุณสมบัติในการฟื้นฟูตัวเองและพลังโจมตีทางกายภาพที่สูงมาก แต่ความเร็วของมันนั้นกลับกันโดยสิ้นเชิง
การมีร่างกายขนาดใหญ่ทำให้มันเสียเปรียบปาร์ตี้ที่เตรียมตัวมาอย่างดี
เนื่องจากวาห์นสามารถต่อกรกับกลุ่มนักผจญภัยเลเวล 2 หรือแม้กระทั่งเอาชนะนักผจญภัยเลเวล 3 บางคนได้ เขาจึงรู้สึกว่าการล้มโกไลแอธก็คงไม่ยากเกินความสามารถ
ในกรณีที่เลวร้ายที่สุด เขาก็แค่นำฟาฟเนียร์ออกมาตรึงมันไว้เท่านั้นเอง
โกไลแอธทั่วไปนั้นมีความสูงประมาณ 7 เมตร ซึ่งไม่ได้ใหญ่ไปกว่าฟาฟเนียร์มาก
เมื่อพิจารณาดูแล้ว ฟาฟเนียร์น่าจะมีน้ำหนักตัวมากกว่ามันด้วยซ้ำ
วาห์นกำลังรู้สึกขัดแย้งด้วยเหตุผลเดียวเรื่องที่จะนำฟาฟเนียร์ลงไปในดันเจี้ยนชั้นล่าง
มันมีพละกำลังมากพอที่จะสู้ได้ด้วยตัวเองซึ่งทำให้วาห์นมองศัตรูต่างไปจากเดิม
เขาพบว่าการรวมฟาฟเนียร์เข้าไปในแผนหรือสถานการณ์ต่างๆ ด้วยนั้นทำให้ทุกอย่างดูง่ายไปหมด
หากยังคงคิดแบบนี้ไปเรื่อยๆ เขาจะกลายเป็นพึ่งพามังกรตัวนี้มากเกินไปจนทำอะไรเองไม่ได้หากว่ามีเรื่องเลวร้ายเกิดขึ้นกับมัน
วาห์นถอนหายใจออกมาขณะเอนตัวพิงผนังและตัดสินใจงีบเล็กน้อย
คนส่วนใหญ่คงจะบอกเขาว่าบ้าที่มานั่งหลับตรงนี้ แต่เพราะมีพลังเขตแดน วาห์นจึงไม่กังวลเรื่องถูกลอบโจมตีซะเท่าไหร่
วาห์นใช้เวลาก่อนนอนเพื่อตรวจสอบค่าสถานะและของดรอปของวันนี้อย่างที่ทำอยู่บ่อยๆ
หลังจากต่อสู้มาสิบสี่ชั่วโมงรวด เขาได้รับ OP มาทั้งหมด 24,318 OP ซึ่งเป็นจำนวนเก็บเกี่ยวต่อวันที่มากที่สุดในขณะนี้
ตอนนี้เขามี OP รวมทั้งหมด 258,559 OP แล้ว
————————————————————————-
[[สถานะ]]
ชื่อ: [วาห์น เมสัน]
อายุ: 14
เผ่าพันธุ์: มนุษย์, *ถูกผนึก*
ค่าสถานะ: [ดันมาจิ: 1-4]
-เลเวล:2(+)(2)
-พละกำลัง: 1001+(B760)->(B778)
-ความอดทน: 1108+(SS1019)->(SS1025)
-ความแม่นยำ: 887+(B737)->(B750)
-ความว่องไว: 940+(A822)->(A828)
-พลังเวท: 1611+(SSS1114)->(SSS1198)
ค่าสถานะรวมทั้งหมด: 5547+(4452)->(4579) (TL: วาห์นหน้าจะไปหาเวย์โปรตีนมาทานเพิ่ม เพราะรอบนี้ขึ้นน้อยมาก)
ความแข็งแกร่งของดวงวิญญาณ: ระดับ 2 (วิญญาณวีรชน)
[กรรม]: 1,473
[OP]: 258,559
[วาลิส]: 171,630
————————————————————————-
วาห์นไม่ค่อยพอใจกับการเติบโตในวันนี้เท่าไหร่แต่พอนึกถึงเรื่องที่ได้มังกรซื่อสัตย์และดูเท่มาเป็นลูกน้อง เขาจึงไม่ค่อยติดใจอะไรมาก
หนึ่งในสิ่งที่เขาต้องการทำหลังออกจากดันเจี้ยนก็คือขึ้นขี่ฟาฟเนียร์และบินไปบนท้องฟ้าอันกว้างใหญ่
เขารู้ว่าทวีปนี้ถูกล้อมรอบไปด้วยมหาสมุทรและดูจากความเร็วของฟาฟเนียร์แล้ว สักวันคงต้องได้ไปเห็นกับตาแน่นอน
ขณะที่เขาล่องลอยไปในความฝัน วาห์นก็ฝันถึงการบินไปบนท้องฟ้าด้วยตัวเอง…
มันไม่ใช่การอยู่บนหลังของฟาฟเนียร์แต่เป็นการบินด้วยพลังของตัวเอง
เขาจินตนาการว่ามันจะต้องเป็นประสบการณ์ที่ ‘ดูเป็นอิสระ’ มากและหมายมั่นว่าสักวันหนึ่งต้องทำให้จงได้
—
หลายชั่วโมงหลังจากวาห์นหลับไปก็มีกลุ่มคนกำลังเดินทางไปที่ ‘กำแพงแห่งความเศร้าโศก’
ในฐานะกลุ่มที่ล่ามันมาหลายครั้งแล้ว พวกเขาจึงรู้เวลาเกิดของมันเป็นอย่างดี
มีแนวโน้มว่ามันจะเกิดขึ้นมาในอีก 10 – 20 ชั่วโมงข้างหน้าและพวกเขาต้องการที่จะไปเฝ้าและกันไม่ให้มีคนมาตัดหน้าไปซะก่อน
พวกเขามีอยู่ด้วยกันแปดคนและออกเดินขึ้นบันไดไปอย่างไม่เร่งรีบนัก
บางคนถึงกับหัวเราะเล่นกัน ขณะที่คนอื่นๆ มีท่าทางสงบเงียบ
หนึ่งในนั้นดูมีสีหน้าพออกพอใจมากขณะที่คนข้างๆ ก็ดูเพลิดเพลินไปกับช่วงเวลานี้