Endless Path : Infinite Cosmos, อนันตวิถีจักรวาล - ตอนที่ 91.1
วาห์นฝันว่ากำลังบินอยู่เหนือท้องฟ้าบนผืนโลกกว้างใหญ่
จากบนนั้น เขามองเห็นดวงดาวในขณะที่ทุกอย่างเบื้องล่างกลับดูเล็กและไม่สำคัญ
เมื่อเอื้อมมือออกไป เขารู้สึกราวกับสามารถยกภูเขาได้ทั้งลูกหรือแม้แต่ทำให้เกิดคลื่นยักษ์กลางมหาสมุทรด้วยการสะบัดมือเพียงเล็กน้อย…
ทันใดนั้นดวงตาของวาห์นก็เปิดออกพร้อมกับดีดตัวขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
เขาสัมผัสได้ว่ามีกลุ่มคนกำลังเข้ามาใกล้จากทางทิศของริวีร่า
เมื่อดูจากสถานการณ์ในตอนนี้ วาห์นสันนิษฐานว่าพวกเขาน่าจะกำลังมาที่ ‘กำแพงแห่งความเศร้าโศก’ เพื่อเดินทางออกจากดันเจี้ยนหรือไม่ก็เป็นกลุ่มคนดั้งเดิมที่ฆ่าโกไลแอธรอบที่แล้ว
ถ้าเป็นแบบแรก เขาก็คงจะไม่สนใจและปล่อยให้คนกลุ่มนั้นผ่านไป
แต่ถ้าเป็นอย่างหลัง เขาก็ต้องต้องเจรจากันให้ชัดเจนและอาจถึงขั้นลงไม้ลงมือ
หลังจากลังเลอยู่เล็กน้อย วาห์นก็นำคริสตัลของฟาฟเนียร์เก็บกลับเข้าไปในช่องเก็บของ
แม้เขาอยากจะเรียกมันออกมาเพื่อรักษาความสงบ แต่มันอาจส่งผลให้เกิดการต่อสู้แทนหากกลุ่มตรงข้ามแข็งแกร่งเกินไป
การข่มขู่ไม่ใช่วิธีที่ดีเมื่อต้องเจอกับคู่ต่อสู้หลายคน โดยเฉพาะหากเป็นนักผจญภัยเลเวลสูงด้วยยิ่งแล้วใหญ่
ในที่สุดคนกลุ่มนั้นก็เข้ามาในระยะที่มองเห็นได้ซึ่งพอวาห์นรู้ว่าพวกเขาเป็นใครก็ถึงกับเสียวสันหลังวาบ
หากเขาเรียกฟาฟเนียร์ออกมาจริงๆ สหายของเขาคงจะถูกสังหารแบบที่ยังไม่ทันได้อธิบายอะไรออกไปด้วยซ้ำ
ในบรรดาแปดคนนั้น เลเวลที่ต่ำที่สุดคือ 3 ส่วนคนที่เหลือนั้นแข็งแกร่งกว่ามาก
กลุ่มคนมาใหม่ก็คือโลกิแฟมิเลียนั่นเอง!
มีทั้งฟินน์ แกเร็ธ และริเวเรียที่อยู่ด้านหลัง ส่วนสมาชิกที่เหลือก็คือทีโอน่า ทีโอเน่ ไอส์ เบต และเลฟิย่า
เมื่อนึกขึ้นได้ว่าไอส์มีประสบการณ์ที่ไม่ดีกับ ‘มังกรดำ’ และหากวาห์นอธิบายเรื่องฟาฟเนียร์ไม่ทัน มันก็อาจถูกนักผจญภัยเลเวล 5 ผู้นี้สังหารด้วยคมดาบที่ไวดุจสายลม
โชคยังดีที่วาห์นเปลี่ยนใจก่อนจึงรอดพ้นจากหายนะดังกล่าวไปแบบฉิวเฉียด
วาห์นไม่ได้เป็นคนเดียวที่สังเกตเห็นสถานการณ์ในตอนนี้
ทันทีที่โลกิแฟมิเลียเข้ามาในห้องของ ‘กำแพงแห่งความเศร้าโศก’ พวกเขาต่างก็มองมาด้วยความระมัดระวัง
การที่มีมีคนอื่นตั้งอยู่ในพื้นที่นี้หมายความว่าพวกเขาต้องการล่าโกไลแอธเช่นเดียวกัน
เบตทำหน้าบอกบุญไม่รับขณะที่ฟินน์ขมวดคิ้วเล็กน้อย ทว่าไม่ใช่ว่าทุกคนที่จะรู้สึกกังวลกับเด็กหนุ่มที่อยู่ตรงหน้า
“ยะโฮ~! วาห์นนี่นา!”
ก่อนที่ฟินน์หรือเบตจะพูดอะไรออกมา ทีโอน่าก็ร้องเรียกและวิ่งมาหาวาห์นขณะโบกมือด้วยความตื่นเต้น
สีหน้าของฟินน์ดีขึ้นเล็กน้อยหลังรู้ว่าเขาเป็นคนรู้จักของทีโอน่า แต่พอนึกไปนึกมาแล้วกลับตระหนักว่านั่นอาจทำให้เกิดปัญหาใหญ่กว่าเดิม
ไอส์เองก็เริ่มเดินเข้ามาหาวาห์นพร้อมกับเลฟิย่าที่ตามมาแบบรักษาระยะห่าง
แกเร็ธและริเวเรียอธิบายเรื่องราวให้ฟินน์ฟังในขณะที่ทีโอเน่มองไปยังเด็กหนุ่มที่น้องสาวของเธอคลั่งไคล้ซะเหลือเกิน
บุคคลเพียงคนเดียวที่ยังคงทำหน้าตึงเครียดคือชายหนุ่มมนุษย์หมาป่าผมขาวที่มองไปทางวาห์นด้วยสีหน้าแบบไม่เป็นมิตร
วาห์นโบกมือตอบทีโอน่าขณะที่เธอเข้ามาแทบจะชิดตัวเขาและเดินวนไปรอบๆ
เขาสับสนกับการกระทำของเธอมาก แต่ไอส์ที่เพิ่งเข้ามาถึงได้เริ่มพูดด้วยก่อนที่เขาจะถามทีโอน่า
“มาคนเดียว…?”
วาห์นเห็นว่าไอส์กำลังมองไปรอบๆ บริเวณนั้นราวกับจะหาปาร์ตี้ของเขา
วาห์นยิ้มให้และพยักหน้ารับ
ดวงตาของไอส์เบิกกว้างขึ้นมาเล็กน้อยแต่หลังจากนั้นไม่นานทั้งเธอและโอน่าที่สำรวจตัวตัวเขาเสร็จแล้วต่างก็ยิ้มออกมา
แม้แต่เลฟิย่าที่ยืนอยู่ทางด้านขวาของไอส์ก็ดูเหมือนจะค่อนข้างประทับใจกับการที่วาห์นสามารถลงมาที่ชั้น 18 ได้ด้วยตัวคนเดียว เพราะว่าเธอผู้เป็นถึงนักผจญภัยเลเวล 3 นั้นไม่อาจทำแบบเดียวกันได้
บรรยากาศในตอนนี้ดูครึกครื้นแต่แล้วเสียงตะโกนดังมาจากระยะไกล
“เอ๋!? เจ้าจิ๋วนี้เป็นใครกันเนี่ย? อย่าบอกนะว่าหมอนี่หลงทางและพลัดหลงมาจากกลุ่ม!?”
ต้นเสียงก็คือชายผมขาวที่มีสีหน้าดุดันนั่นเอง
วาห์นเห็นว่าคนๆ นั้นมีท่าทางเหมือนกับนักล่า แต่ก็สังเกตว่าออน่าของเขากำลังถูกแบ่งครึ่งระหว่างสีม่วงและสีเขียว
มันออกจะดูสับสนและเป็นครั้งแรกสำหรับวาห์นที่ต้องมาเจอกับออร่าที่มีทั้งความกลัว ความกังวลใจ และความอิจฉาในตัวคนๆ เดียว
เมื่อได้ยินเสียงราวกับจะข่มขู่ ไอส์ก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยขณะที่ทีโอน่าหันไปทางเบตอารมณ์ขุ่นเคือง
“พอได้แล้วน่า เบต! นี่คือวาห์น ‘วัลแคน’ และเขาก็เก่งพอจะมาถึงที่นี่ได้ด้วยตัวเองนะ”
เบตจ้องมองทีโอน่าที่พูดขึ้นเหมือนกับจะตำหนิเขา
ตาของเขากระตุกเล็กน้อยและดูเหมือนเขาจะยิ่งหัวร้อนหนักกว่าเดิม
“หา!? เจ้าเตี้ยนี่คือวัลแคนคนนั้นน่ะเหรอ? ใช่คนที่ชอบคิดว่าตัวเองเป็นฮีโร่ใช่ไหม? ฮื่ม ดูเหมือนเด็กที่ชอบเล่นเป็นฮีโร่จริงๆ ซะด้วยสิ!”
เมื่อเห็นว่าเบตกำลังเย้ยหยันเขาด้วยสายตาดูหมิ่น คิ้วของวาห์นเริ่มขมวดขึ้นแต่ก็ยังไม่ได้คิดจะทำอะไร
ทุกคนในกลุ่มรวมไปถึงเลฟิย่ากำลังทำให้สัญชาตญาณของวาห์นดังแบบต่อเนื่อง
แม้แต่ในกลุ่มนักผจญภัยที่มีระดับใกล้เคียงกัน สมาชิกของโลกิแฟมิเลียนั้นถือได้ว่าเป็นที่สุดของที่สุด
ถึงเบตจะดูเย่อหยิ่ง แต่เขาก็สามารถแสดงมันออกมาได้เนื่องจากตอนนี้เขาเป็นนักผจญภัยเลเวล 5 ขณะที่วาห์นยังเป็นแค่เลเวล 2
ทีโอน่าและเบตจ้องตากันเหมือนแมวกับสุนัขที่ใกล้จะขย้ำกันแล้ว
ความตึงเครียดเริ่มก่อตัวขึ้นเล็กน้อยก่อนที่ฟินน์และคนอื่นๆ จะเข้ามาหา
ฟินน์มีสีหน้าที่ไม่ค่อยดีนักขณะมองไปทางเบตและพูดขึ้น
“เบต วาห์นเป็นลูกศิษย์โดยตรงของทั้งเฮเฟสตัสและสึบากินะ ในฐานะหนึ่งในผู้นำของโลกิแฟมิเลีย นายไม่ควรจะทำให้เทพธิดาของเราต้องเสียหน้า”
พอเบตได้ยินที่ฟินน์พูดก็ทำเสียงไม่พอใจและเบือนหน้าหนี
เขาหันข้างไปมองวาห์นก่อนจะเอามือล้วงกระเป๋าและเดินออกไปพิงผนังใกล้เคียง
วาห์นมองตามร่างนั่นไปชั่วครู่ก่อนจะหันไปหาฟินน์
ในฐานะเผ่าพลูม ฟินน์มีขนาดตัวที่เล็กกว่าวาห์นและสูงเพียง 119 ซม. เท่านั้น
เขามีผมสีบลอนด์และดวงตาสีฟ้าพร้อมกับสีหน้าที่ดูใจเย็น
ออร่าของเขาเป็นสีเหลืองแบบนิ่งๆ และมีสีฟ้าตามขอบซึ่งทำให้วาห์นเชื่อว่าเขาเป็นคนใจดีและน่าเชื่อถือ
ฟินน์ยิ้มให้กับวาห์นหลังจากที่เบตเดินออกไป
“ขอโทษด้วยนะวาห์น แกเร็ธกับริเวเรียได้เล่าให้ฉันฟังหมดแล้ว ฉันประหลาดใจมากที่เธอมาถึงตรงนี้ได้… นี่เธอลงมาคนเดียวจริงใช่ไหม?”
ฟินน์แสดงสีหน้าสนใจอย่างมากขณะมองไปที่วาห์น
เขามักมองหาผู้มีความสามารถและชวนให้เข้ามาอยู่กับโลกิแฟมิเลียอยู่บ่อยครั้ง
วาห์นยิ้มตอบหลังจากพยักหน้าไปทางริเวเรียและแกเร็ธ
“ใช่แล้ว หลังจากที่แพ้ทีโอน่ากับไอส์ ผมก็เลยอยากเข้ามาฝึกฝนในดันเจี้ยนเพิ่ม ถึงตอนแรกยังไม่ได้คิดว่าจะมาถึงตรงนี้ แต่ผมก็ทำได้ดีขึ้นเรื่อยๆ จนมันง่ายกว่าที่เคยคิดไว้มาก ที่อยากจะบอกก็คือใช่ ผมมาที่นี่ด้วยตัวเอง…”
ขณะที่เขากำลังพูด วาห์นก็มองไปที่ทีโอน่าและไอส์
ทีโอน่าเผยรอยยิ้มกว้างบนหน้าหลังจากได้ยินเหตุผลที่เขาเข้ามาดันเจี้ยน ขณะที่ไอส์ยังคงทำหน้านิ่งเหมือนเดิมแต่มีรอยยิ้มที่แทบจะมองไม่ออกปรากฏอยู่บนใบหน้าของเธอ
เมื่อได้ยินว่าวาห์นรู้สึกอับอายที่แพ้ให้กับไอส์และทีโอน่า แกเร็ธกับริเวเรียต่างก็พยักหน้าให้อย่างชื่นชมในคำตอบที่จริงใจ
ขณะที่ฟินน์ยิ่งดูสนใจมากกว่าเดิมหลังได้ยินวาห์นบอกเหตุผลออกมาแบบตรงๆ
“บอกฉันได้ไหมวาห์น ว่าเธอมานี่เพื่อรอสู้กับโกไลแอธอยู่หรือเปล่า? แล้วหน่วยสนับสนุนของเธอล่ะ?”
ตั้งแต่วินาทีที่พวกเขามาถึงฟินน์ก็ไม่เห็นใครอยู่ด้วยเลย นั่นทำให้เขาสับสนกับสิ่งที่วาห์นบอก
หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง วาห์นจึงตัดสินใจอธิบายออกไปว่าเขามีสกิลที่สามารถทำให้มอนสเตอร์เชื่องและกลายมาเป็นพรรคพวกพร้อมกับเก็บพวกมันในรูปแบบของคริสตัลได้ด้วย
ริเวเรียแสดงท่าทางสนอกสนใจมากในระหว่างที่เขาอธิบาย ส่วนคนที่เหลือดูสับสนและแสดงสีหน้าไม่อยากเชื่อออกมา
พออธิบายจนจบ วาห์นก็ขอให้ทั้งกลุ่มถอยออกไปและให้พวกเขาสัญญาว่าจะไม่โจมตีมอนสเตอร์ของเขา
ฟินน์พยักหน้าและให้ทั้งกลุ่มยืนห่างออกไปอีกห้าหกเมตร
ทั้งแกเร็ธกับริเวเรียต่างขยับเข้ามาใกล้ไอส์ในขณะที่ทีโอน่าและทีโอเน่มีสีหน้าคาดหวังเล็กน้อย
คนๆ เดียวที่ดูเหมือนจะไม่สนใจเลยก็คือเบต แต่วาห์นก็ยังเห็นว่าเขามองมาแบบนานๆ ครั้ง
หลังจากที่ทุกคนถอยออกไปในระยะที่เหมาะสมแล้ว วาห์นก็ถอนหายใจและสวดภาวนาพร้อมกับผสานพลังงานของเขาเข้าไปในคริสตัลของฟาฟเนียร์
ทุกคนเฝ้าสังเกตด้วยความประหลาดใจขณะมองดูกลุ่มพลังงานเข้ารวมตัวกันเป็นรูปร่างขนาดยักษ์ที่มีความยาวประมาณ 6 เมตร
ริเวเรียซึ่งมักจะแสดงสีหน้าเงียบขรึมอยู่ตลอดกลับมีรอยย่นที่คิ้วพร้อมกับสีหน้าที่ดูจริงจังอย่างไม่น่าเชื่อขณะที่คอยสังเกตดูอย่างใจจดใจจ่อ
เมื่อมวลของพลังงานเริ่มก่อตัวเป็นรูปเป็นร่าง ทั้งเธอและแกเร็ธต่างก็รู้แล้วว่าอะไรกำลังจะออกมาและรีบเข้าสกัด–
ก่อนที่พวกเขาจะตอบสนองได้ทัน ไอส์ก็ถีบตัวออกไปหาฟาฟเนียร์ด้วยสีหน้าที่แสดงถึงความเกลียดชังแบบสุดๆ เมื่อเห็นมังกรดำมาอยู่ตรงหน้า
แม้ว่าเธอจะให้สัญญาแล้วว่าจะไม่โจมตี แต่สิ่งเดียวที่ไอส์นึกออกก็คือผู้เป็นแม่และมังกรที่มาทำลายความสุขของเธอจนป่นปี้
เธออยากจะฉีกมันให้เป็นชิ้นๆ และทวงคืนสิ่งที่เธอสูญเสียไปเมื่อนานมาแล้วกลับคืนมา
แม้ว่าวาห์นจะรู้สึกเหนื่อยจากการสูญเสียพลัง แต่เขาก็คาดไว้แล้วว่าจะเกิดสถานการณ์แบบนี้จึงรีบทำให้มันกลับเข้าไปอยู่ในสถานะปิดใช้งานทันที
ไอส์ผู้ที่ห่อหุ้มร่างตัวเองด้วยพลังเวทสีเขียวเพิ่งจะพุ่งผ่านส่วนที่หัวของฟาฟเนียร์เคยอยู่ไป
ดูจากความรุนแรงของการโจมตีเมื่อกี้ หากวาห์นช้ากว่านี้อีกนิดเดียว ฟาฟเนียร์คงจะกลายเป็นมอนสเตอร์หัวกุดไปแล้ว
วาห์นมองไปทางไอส์แบบเคืองๆ ก่อนจะหันกลับไปจ้องฟินน์
ฟินน์มองกลับด้วยสีหน้าเชิงขอโทษขณะที่เขาและคนอื่นๆ จากโลกิแฟมิเลียรีบเข้าไปยับยั้งไอส์ที่กำลังหายใจหอบๆ
ถึงฟาฟเนียร์จะหายไปแล้วแต่อาการของเธอก็ยังดูไม่ปกติและเหมือนจะไม่รู้ตัวเลยว่าได้ทำอะไรลงไป
“อย่าโกรธเธอเลยนะ วาห์น …”
จากด้านขวาของเขา วาห์นได้ยินเสียงสลดและหันไปหาทีโอน่าที่มีสีหน้าอึดอัดและเสียใจ
พอเห็นเด็กสาวที่มีชีวิตชีวาอยู่ตลอดมาทำหน้าเศร้า วาห์นจึงขมวดคิ้วก่อนจะถอนหายใจออกมา
เพราะเขาเองก็รู้มาก่อนว่าไอส์มีบาดแผลฝังใจที่เกี่ยวกับมังกร เขาจึงโทษเธอได้ไม่เต็มปากนัก
“ช่างเถอะ ฉันแค่รู้สึกตกใจที่เห็นพรรคพวกเกือบโดนเชือด แต่ฉันแน่ใจว่าไอส์คงมีเหตุผลของเธอเอง ดังนั้นรอบนี้รอบนี้ฉันไม่ถือสาหรอก”
วาห์นพยายามยิ้มให้กับทีโอน่าที่พอเห็นว่าเขา ‘เข้าใจ’ แล้วก็ยิ้มกลับมาอย่างสดใส
ก่อนที่เขาจะได้โต้ตอบอะไรต่อ ทีโอน่าก็โอบแขนของเธอไว้รอบคอของเขาและหัวเราะอย่างมีความสุข
“ฮ่าฮ่าฮ่า~! รู้อยู่แล้วว่าฮีโร่ต้องไม่คิดอะไรแบบคนทั่วไปแน่ๆ~!”
เมื่อได้ยินเสียงหัวเราะของทีโอน่า ความตึงเครียดที่เกิดขึ้นก็ดูเหมือนจะจางลงก่อนที่จะหายไป
ทุกคนมีทีสีหน้าอึดอัดเล็กน้อย รวมไปถึงไอส์ที่ฟื้นสติกลับมาแล้วด้วย
เธอรู้สึกผิดหวังกับตัวเองมากที่โจมตีใส่มอนสเตอร์ของวาห์นแม้ว่ามันยังไม่ได้ทำอะไรเธอเลยก็ตาม
เมื่อสติของเธอกลับมาและได้ยินวาห์นบอกว่าเขาจะไม่ติดใจอะไร ตอนนี้เธอจึงรู้สึกสับสนและทำตัวไม่ถูก
เมื่อเห็นทีโอน่าห้อยต่องแต่งอยู่บนร่างเล็กๆ ของวาห์น เธอสังเกตเห็นว่าร่างนั่นดูมั่นคงและราวกับจะทนแบกรับได้ทุกอย่าง
ไอส์เดินออกมาจากวงล้อมของพรรคพวกและเข้ามาหาวาห์นอย่างช้าๆ
เธอดูเศร้าและอยากอธิบายให้วาห์นเข้าใจว่าทำไมเธอถึงทำแบบนั้น
พอวาห์นเห็นเธอเดินเข้ามาก็ส่ายหัวและยิ้มให้
“ไม่เป็นไรหรอกไอส์ ฉันจะไม่โทษเธอและเชื่อว่าเธอคงมีเหตุผลที่ดี เธอไม่ต้องฝืนตัวเองเพื่ออธิบายทุกอย่างในตอนนี้หรอก”
วาห์นรู้ว่าเธอมีเหตุผลจริงๆ แต่ก็ไม่อยากทำให้บรรยากาศอึดอัดไปมากกว่านี้
วาห์นชี้ไปที่ ‘กำแพงแห่งความเศร้าโศก’ และสายตาของทุกคนก็มองตามนิ้วของเขา
พวกเขาสังเกตเห็นว่าเงามืดใกล้ถึงจุดสำคัญแล้ว และโกไลแอธน่าจะออกมาภายในกี่ชั่วโมงข้างหน้า
ฟินน์ขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะวิเคราะห์สถานการณ์และถามขึ้น
“วาห์น เธอตั้งใจจะต่อสู้กับโกไลแอธใช่ไหม? เมื่อกี้ฉันยังไม่ได้คำตอบเลยนะ…”
เมื่อเห็นวาห์นพยักหน้าให้ ฟินน์ก็ถอนหายใจออกมา
แม้ว่าพวกเขาจะสามารถแย่งสิทธิ์ในการสู้ก่อนมาจากวาห์นก็ได้เพราะโกไลแอธเองก็ยังไม่ออกมา แต่การทำแบบนั้นหลังจากสิ่งที่ไอส์ทำไว้ช่างดูแย่เอามากๆ เลย
ในขณะที่ฟินน์กำลังคิด ริเวเนียก็เดินเข้ามาหาวาห์นและถามขึ้นก่อน
“เรื่องมังกรตัวนั้น… ฉันอยากจะสอบถามต่อทีหลัง… แต่สำหรับตอนนี้ เธออยากให้เราช่วยสู้กับโกไลแอธด้วยไหม?”
ริเวเรียสังเกตว่าฟินน์ยังลังเลอยู่
ในฐานะรองกัปตัน เธอจึงตัดสินใจเข้ามาเจรจาและทำให้ทุกอย่างง่ายขึ้น
เมื่อได้ยินที่ริเวเรียพูด เบตก็ทำตัวราวกับมีใครไปเหยียบหางเข้า
“ล้อกันเล่นหรือเปล่าเนี่ย!? เราจะให้เด็กน้อยนี่มาขโมยราชันมอนสเตอร์ต่อหน้าต่อตาเราได้ยังไงกัน! นี่มันเป็นการดูถูกโลกิแฟมิเลียชัดๆ เลย!!!”
เบตรีบเดินเข้ามาหาวาห์นและริเวเรียด้วยสายตาที่ดุร้ายมาก
ดูเหมือนว่าเขาต้องการจะทำร้ายวาห์น หรืออย่างน้อยก็อยากบังคับให้วาห์นเลิกคิดเรื่องนี้
ฟินน์เห็นท่าทางของเขาและตะโกนเรียก
“เบต!! หยุดก่อน! วาห์นมีสิทธิ์ล่าราชันมอนสเตอร์เหมือนกับคนอื่นๆ นะ แม้ว่ามันจะยังไม่เกิดออกมาแต่เขาก็มาถึงที่นี่ก่อนหน้าเรา ตอนนี่เขามีสิทธิ์ได้สู้กับมันก่อน”
ถัดจากฟินน์นั้นทีโอเน่เองก็พูดออกมาด้วยน้ำเสียงไพเราะ
“ฮึ่ม เจ้าสุนัขนี่เอาแต่พูดเรื่องโดนดูถูก แต่กลับมาทำตัวเป็นอันธพาลแล้วไปรังแกคนอื่นเสียเอง”
“เมื่อกี้พูดว่าไงนะ ยัยบ้า!” เบตมองไปทางทีโอเน่และตะโกนออกมา
ตั้งแต่ที่เธอกับทีโอน่าขึ้นมาถึงเลเวล 5 พวกเธอก็ทำตัวกร่างกว่าเดิมเยอะ
ในฐานะรุ่นพี่ มันทำให้เขาเคืองมากที่เห็นพวกเธอเป็นแบบนี้
ทีโอเน่หันไปทางเบตและจ้องเขาอย่างดูถูก
“เห่าหอนเก่งดีนี่”
เบตกัดฟันแน่นและเตรียมเข้าโหมดต่อสู้ แต่ก็ต้องหยุดลงหลังจากเห็นสายตาของทุกคนที่มองเขาอย่างเย็นชา
แม้แต่ฟินน์เองก็ยังเผยสีหน้าผิดหวังขณะจ้องมองเบต
เบตรู้สึกแปลกๆ ตรงหน้าอกขณะที่ค่อยๆ ผ่อนคลายมือและนำมันไปถูหน้าผากแทน
“ช่างเถอะ! ยังไงหมอนี่ก็สู้ด้วยตัวเองไม่ได้อยู่ดี! เสียเวลาชะมัด…”
เบตยอมถอยราวกับสุนัขที่ถูกเจ้าของเตะพร้อมกลับไปยืนพิงที่เดิมและหลับตาลงด้วยความไม่พอใจ
ฟินน์ถอนหายใจและมองไปที่วาห์น
“ดูเหมือนว่าเธอจะได้สู้ก่อนนะ แต่ถ้าต้องการให้ช่วยก็เรียกพวกเราได้เลยเพราะยังไงซะ การมีชีวิตรอดก็ถือเป็นเรื่องสำคัญที่สุด”
วาห์นพยักหน้าให้กับความกังวลของฟินน์ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกแปลกๆ
หลังจากได้ฟังคำพูดของฟินน์ ในฐานะคนที่ได้ใช้ชีวิตเป็นครั้งที่สองนั้นวาห์นพบว่าคำพูดนั้นดูไม่ค่อยส่งผลกับตัวเองสักเท่าไหร่