Endless Path : Infinite Cosmos, อนันตวิถีจักรวาล - ตอนที่ 96
(คำเตือน ตอนนี้มีฉาก 18+)
วันที่วาห์นเข้าสู่ดันเจี้ยนได้กลายมาเป็นหนึ่งในความทรงจำที่ดีที่สุดในช่วงเวลาหลายร้อยล้านปีที่ผ่านมาของเฮเฟสตัส
การที่เด็กหนุ่มซึ่งเธอได้รู้จักกับเขาเพียงไม่กี่เดือนก่อนนั้นสามารถหาทางเข้ามาวิ่งเล่นในหัวใจของเธอได้ แถมยังรักษารอยแผลเป็นบนใบหน้าของเธอได้ด้วยนั้นเป็นอะไรที่ตราตรึงใจของเธอเป็นอย่างมาก
ในช่วงเวลาที่เหลือของวัน เธอได้แต่เหลือบมองโต๊ะทำงานอย่างเกียจคร้านและไม่อาจคิดอะไรได้อย่างชัดเจน
เฮเฟสตัสเอาแต่นอนมึนขณะจ้องมองเพดานด้วยดวงตาทั้งสองข้างของเธอ
ในมือของเธอนั้นถือกระจกขัดเงาซึ่งจะถูกนำขึ้นมาส่องเป็นครั้งคราวเพื่อเป็นการยืนยันว่ารอยแผลเป็นได้หายไปแล้วจริงๆ
ทุกครั้งที่เธอทำแบบนั้นก็จะทำให้เจ็บแปลบที่ทรวงอกและรู้สึกอยากจะร้องไห้
แต่พอนึกถึงใบหน้าของวาห์นขณะที่เขาจากไป เธอก็ระงับความรู้สึกนั้นเอาไว้ได้
เธอเข้าใจว่าตัวเองชอบวาห์นในแบบที่ต่างไปจากเด็กๆ คนอื่น แต่ก็ไม่สามารถเอาชนะการหักห้ามใจของตัวเองได้
พอนึกถึงวาห์น เฮเฟสตัสก็ก็หลับตาลงและผ่อนคลายร่างกายด้วยท่าทางเนือยๆ
เธอเริ่มย้อนรอยความทรงจำและประสบการณ์ทั้งหมดที่เธอมีกับเขาในขณะที่ฟังเสียงจังหวะการเต้นหัวใจของเขาที่ดูมั่นคงซะเหลือเกิน
เพราะช่วงนี้เธอเริ่มจะคุ้นชินกับมันแล้ว เฮเฟสตัสจึงใช้จังหวะดังกล่าวเป็นตัวทำให้จิตใจของเธอสงบ
เมื่อได้ยินเสียงหัวใจที่มั่นคง ทรงพลัง และเต้นอยู่ตลอดของวาห์น เฮเฟสตัสก็เริ่มรู้สึกผ่อนคลายและปล่อยให้เรื่องกังวลต่างๆ มลายหายไป
แน่นอนว่ามันไม่ได้เป็นแบบนี้อยู่ตลอดเพราะหลายชั่วโมงถัดมา เฮเฟสตัสก็สัมผัสได้ว่าหัวใจของเขาเต้นเร็วขึ้น
เธอรู้สึกถึงความตื่นเต้นที่ผุดขึ้นภายในตัวของวาห์นราวกับว่าเขากำลังสนุกสนานไปกับอะไรสักอย่าง
มันเป็นช่วงเวลานี้เองที่ทำให้เธอเครียดหนัก เนื่องจากเธอไม่สามารถมองเห็นหรือสัมผัสได้ว่าวาห์นกำลังทำอะไรอยู่
สิ่งเดียวที่เธอทำได้คือพยายามตีความเหตุการณ์จากเสียงหัวใจของเขา
เธอหวังว่า ณ ตอนนี้ เขาคงกำลังพยายามอย่างหนักเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งของตัวเอง
เมื่อนึกถึงสัญญาที่เขาให้ไว้ก่อนหน้านี้ เฮเฟสตัสก็เชื่ออย่างสนิทใจว่าเขากำลังทำแบบนั้นอยู่และพลอยตื่นเต้นไปด้วย
ราวกับว่าจะตอบสนองต่อหัวใจของเขา หัวใจของเฮเฟสตัสเองก็เริ่มเต้นเร็วขึ้นเช่นกัน
เธอจินตนาการถึงร่างอันห้าวหาญของวาห์นที่กำลังล้มมอนสเตอร์พร้อมรอยยิ้มบนใบหน้า
นั่นทำให้เธอยิ้มเช่นกันและหวังว่าสักวันคงได้เห็นภาพนั้นด้วยตาตัวเอง
โชคยังดีเพราะเมื่อกลางวันแปรเปลี่ยนเป็นกลางคืน หัวใจของวาห์นดูเหมือนจะสงบลงและทำให้เฮเฟสตัสกลับมาผ่อนคลายได้อีกครั้ง
จากสิ่งที่สัมผัสได้ เธอรู้สึกราวกับว่าเขาได้ต่อสู้มาเป็นเวลานานและดีใจที่เขาได้หยุดพักผ่อนบ้าง
เฮเฟสตัสดึงร่างอันหนักอึ้งของตัวเองไปที่โซฟาในห้องทำงานก่อนจะนอนคว่ำลงและพยายามนึกถึงกลิ่นของใครบางคนที่จางหายไปหมดแล้ว
มันรู้สึกเหมือนกับว่าหากมีสมาธิมากพอ เธอก็จะจำได้แม่นยำว่ากลิ่นที่ทำให้หัวใจของเธอต้องสั่นไหวนั้นเป็นกลิ่นแบบไหน
เมื่อจำ ‘กลิ่น’ นั้นได้หรืออย่างน้อยก็จินตนาการว่าจำมันได้ เฮเฟสตัสก็เริ่มอายจนตัวม้วน
พอมองไปที่ประตูและสังเกตว่ามันถูกล็อคอย่างแน่นหนาดีแล้ว เฮเฟสตัสก็ถอนหายใจอย่างเย้ายวนขณะปล่อยให้จินตนาการของเธอเตลิดไปเรื่อยๆ
วันนี้มีทั้งเรื่องดีกับไม่ดีปนๆ กันไป และร่างกายของเธอดูจะตึงเครียดมากโดยเฉพาะพลังจากที่วาห์นได้ฟื้นฟูใบหน้าให้กับเธอ
พออารมณ์เริ่มพลุ่งพล่านขึ้นมาอีกครั้ง เฮเฟสตัสก็เอื้อมมือลงไปเพื่อบรรเทาอาการปวดที่ฝังอยู่ในส่วนลึกของเธอ
เธอทอดกายบนโซฟาอย่างไร้กังวลขณะค่อยๆ ลดกางเกงลงและสอดใส่มือเข้าไปด้านในสุด
เธอรู้สึกถึงความร้อนและความเปียกชื้นที่กระจายอยู่ในเนื้อผ้าขณะที่เธอเริ่มปลดเปลื้องอารมณ์ที่กักเก็บเอาไว้ออกมา
แม้ว่าร่างปัจจุบันของเธอนั้นจะเป็นสาวบริสุทธิ์ แต่เฮเฟสตัสก็พอรู้เรื่องเพศสัมพันธ์และความสุขจากการทำให้ตัวเองอยู่บ้าง
เพราะเทพส่วนใหญ่ต่างพบว่าเธอดูไม่น่าสนใจ เธอจึงปรับตัวให้เข้ากับชีวิตของการอยู่คนเดียวและจัดการทุกอย่างด้วย ‘ตัวเอง’
แต่รอบนี้มันช่างต่างไปจากครั้งที่ผ่านๆ มาเหลือเกิน
ตอนนี้เฮเฟสตัสเริ่มสูญเสียความนึกคิดที่มีอยู่ไปหมด
เธอเริ่มหอบหายใจถี่ๆ และไม่ว่าจะสูดอากาศเท่าไหร่ก็เหมือนจะไม่พอต่อความต้องการ
ขณะที่มือซ้ายของเธอยังคงขยับอย่างต่อเนื่อง เธอก็ปลดกระดุมเสื้อและเริ่มใช้มือขวาให้เป็นประโยชน์
เธอบีบหน้าอกซ้ายของตัวเองและร้องออกมาจนเกือบจะเป็นชื่อของใครบางคน
ขณะที่ยังคอยปรนเปรอตัวเองต่อไปเรื่อยๆ เฮเฟสตัสก็พยายามเพ่งไปที่จังหวะการเต้นภายในดวงวิญญาณของเธอ
มันราวกับเป็นสัญญาณแสงที่คอยนำทางเธอผ่านพายุที่โหมกระหน่ำเข้ามาไม่หยุด
เธอพยายามเข้าไปใกล้เพื่อแสวงหาความอบอุ่นและความปลอดภัยจากแสงดังกล่าว
ยิ่งเธอปล่อยให้ตัวเองเข้าใกล้แสงสว่างมากเท่าไหร่ ความรู้สึกก็ยิ่งรุนแรงมากขึ้นจนเธออยากจะยึดเอาแสงสว่างนั่นไว้คนเดียว
คราวนี้เฮเฟสตัสไม่อาจหยุดเสียงของตัวเองได้ขณะร้องครวญครางเบาๆ ออกมา
“วาห์นนน…”
อาการปวดในร่างกายของเธอยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องและไม่ว่าเฮเฟสตัสจะพยายามขับไล่มันด้วยมือของเธอมากแค่ไหน เธอก็ไม่อาจหยุดยั้งคลื่นที่คอยซัดกระหน่ำเข้ามาได้หมด
เธอเริ่มเรียกชื่อนั้นซ้ำแล้วซ้ำอีกในใจขณะพยายามอย่างดีที่สุดเพื่อยับยั้งไม่ให้มีเสียงเล็ดลอดออกมา
ร่างกายของเธอโก่งไปข้างหน้าเพื่อน้อมรับความรู้สึกเสียวซ่านที่เพิ่มขึ้นในขณะที่ปอดของเธอก็เริ่มสั่งให้ร่างกายรับอากาศเข้ามามากขึ้นอีก
ทุกอย่างยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นจนกระทั่งมาถึงจุดวิกฤติจนเรือนร่างของเธอแทบจะแบกรับมันไว้ไม่ไหว
เฮเฟสตัสแอ่นตัวไปข้างหลังราวกับคันธนูพร้อมกับบิดตัวไปมาและปล่อยเสียงครางอันทรงพลังขณะที่ยังคงกัดฟันไว้แน่น
เธอสัมผัสได้ว่าความรู้สึกทั้งหมดในร่างกายกำลังพุ่งสูงขึ้นและระเบิดออกมาด้านนอกโดยไม่มีอะไรมาหยุดยั้งมันได้
คลื่นความรู้สึกสะท้อนออกไปอย่างต่อเนื่องสู่ความว่างเปล่าที่ผุดขึ้นมาหลังจากที่เฮเฟสตัสลงไปนอนอย่างไร้เรี่ยวแรงภายใต้อ้อมกอดของโซฟา
ในสภาพที่ยุ่งเหยิงนั้น เธอเอาแต่จับจ้องไปทางโต๊ะทำงานขณะที่ความรู้สึกโดดเดี่ยวเริ่มแผ่กระจายไปออกไปทั่วร่าง
ในความเงียบนั้นเองที่ทำให้เฮเฟสตัสรู้สึกว่ากำลังหลงทาง
แต่แล้วก็ได้ยินเสียงเต้นของหัวใจจากก้นบึ้งของดวงวิญญาณอีกครั้ง
เธอตั้งใจฟังแต่ละจังหวะอย่างใจจดใจจ่อขณะปล่อยให้ความรู้สึกที่มันนำพามาด้วยกระจายออกไป
มันค่อยๆ ขับไล่ความว่างเปล่าออกไปอย่างช้าๆ และมั่นคง
เฮเฟสตัสเริ่มห่อตัวเป็นลูกบอลและพยายามป้องกันไม่ให้ความรู้สึกเหล่านั้นรั่วไหลออกไปโดยทำราวกับจะให้ร่างของตนเป็นภาชนะที่ค่อยกักเก็บมันไว้
เธอค่อยๆ เข้าสู่การหลับใหลในสภาพนั้นและเป็นครั้งแรกในชีวิตที่ได้สัมผัสถึงความหวังซึ่งถูกจุดประกายขึ้นภายในหัวใจของเธอ