Fishing in the Myriad Heavens - ตอนที่ 572
เมื่อได้ยินคำพูดของหลี่ปู้ ทุกคนก็หันไปมองทิศทางนั้นด้วยความประหลาดใจ
“ซู๊ดด ตระกูลเจิ้งดูเหมือนจะกลายเป็นหินที่ตระกูลหลี่ใช้เหยียบเพื่อก้าวขึ้นไป”
“คนของตระกูลเจิ้งที่มาในครั้งนี้มีแต่คนแข็งแกร่งของพวกเขา นั้นหมายความว่าตอนนี้ตระกูลเจิ้งน่าจะเสียหายอย่างใหญ่หลวงเลยสิ”
“ดูเหมือนความบาดหมางของพวกเขามันจะเกิดขึ้นเพราะลูกชายของหัวหน้าตระกูลเจิ้งนะ”
คนที่อยู่รอบ ๆ หลายคนถอนหายใจ พวกเขาตระหนักได้ดีว่าเมืองซานชวนกำลังจะเผชิญหน้ากับเหตุการณ์ที่จะเปลี่ยนแปลงเมืองไป อย่างไรก็ตามไม่มีใครรู้สึกตกใจอะไรมากนักเพราะพวกเขารู้ดีว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นมันเกี่ยวกับเรื่องตำแหน่งเจ้าเมือง ซึ้งมันไม่ได้มีผลกระทบกับพวกเขามากนัก
ไม่มีกฎห้ามสังหารคนในดวงดาวเทียนมู่ ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ความแข็งแกร่งคือด้านบนสุดของห่วงโซ่อาหาร ส่วนเจ้าเมืองนั้นก็คือคนที่ใช้เส้นทางแห่งการสังหารเพื่อไต่เต้ามันขึ้นไป
รัฐบาลและพันธมิตรนักสู้มีพลังที่สามารถออกกฎห้ามทุกอย่าง แต่พวกเขาเลือกที่จะมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาหอเชื่อมสวรรค์ของพวกเขา ส่วนเรื่องของเมืองแต่ละเมืองก็ปล่อยให้พวกเขาจัดการกันเอง
ผู้คนพูดคุยกันพร้อมกับหันไปมองยังทิศทางที่หลี่ปู้มองอยู่
“หรือว่าเขาจะมีจิตสัมผัสพิเศษ ?”
มีคนถามด้วยความอยากรู้
“น่าจะอย่างนั้นนะ”
“ดูเหมือนพวกเราจะถูกพบแล้ว”
“ไม่มีเหตุผลให้ซ่อนตัวอีกแล้ว ออกไปพบตระกูลหลี่กันเถอะ”
ชายวัยกลางคนโบกมือ จากนั้นค่ายกลที่ซ่อนพวกเขาเอาไว้ก็หายไปพร้อมกับเกิดระลอกคลื่นและเผยให้เห็นพวกเขา
ฮันตั๋วและคนของเขาเดินไปหาเป่ยเฟิง เขาเริ่มสนใจตระกูลหลี่มากขึ้นหลังจากเฝ้ามองเหตุการณ์ทั้งหมด
“ซู๊ด ! ค่ายกล !”
“คนพวกนี้มาจากไหนกัน ? ทำไมข้าถึงไม่เคยเห็นพวกเขามาก่อน ?”
ผู้คนจำนวนมากถึงกับตกตะลึงเมื่อเห็นกลุ่มบุคคลปรากฎตัวออกมาจากทุ่งโล่ง ๆ
เป่ยเฟิงมองพวกเขาก่อนจะถาม “พวกเจ้าเป็นใคร ?”
นอกเหนือจากฮันตั๋วที่มีพลังร้อยปีแล้วเป่ยเฟิงไม่สามารถวัดพลังคนอื่น ๆ ได้
“ผมคือเพื่อนร่วมชั้นของบู่ฮุย ผมได้ยินเรื่องที่ตระกูลหลี่ของคุณกำลังเผชิญ เลยตัดสินใจที่จะมาดูและคอยช่วยเหลือ”
ถึงแม้ว่าจะถูกจับได้ แต่ฮันตั๋วก็ยังคงยิ้มและมองหลี่บู่ฮุยด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความรัก
“เจ้าคิดจริง ๆ หรอว่าพวกเราจะเชื่อ ? ข้าไม่สนหรอกนะว่าพวกเจ้าต้องการจะทำอะไร แต่ถ้าพวกเจ้ากล้าขวางทาง อย่าโทษข้าที่ทำลายเท้าที่เจ้ายืนขวาง” เป่ยเฟิงหรี่ตามองฮันตั๋ว
ใบหน้าของฮันตั๋วเปลี่ยนไปเพราะเขาคิดว่าเป่ยเฟิงนี้ช่างไม่รู้อะไรเลยจริง ๆ จากนั้นชายคนหนึ่งก็ปะทุเลือดฉีพร้อมกับก้าวออกมาจากด้านหลังฮันตั๋วและตะโกนใส่เป่ยเฟิง “สามห้าว ! แกกล้าขู่นายน้อยของเรารึ !”
“ราชาพันปีอีกคน !” คนที่อยู่รอบ ๆ อุทานออกมาด้วยความตื่นเต้นก่อนจะถอยออกไปไกล
“เมืองซานชวนเล็ก ๆ เมืองนี้ เมื่อไรกันที่มันเต็มไปด้วยผู้มีพลังระดับราชาพันปี ?”
“ฮึ่ม !
หลี่ปู้ก้าวออกไปโดยไม่เกรงกลัวใด ๆ รอยแตกขนาดใหญ่ปรากฎบนพื้นทุกครั้งที่เขาก้าวออกไปทีละก้าว
“เป็นไปได้ยังไงกัน !”
สายตาของคนที่ท้าทายเต็มไปด้วยความตกใจ เขาผู้มีพลังระดับราชาพันปีขั้นสามและรู้ว่าอีกฝ่ายมีพลังเพียงขั้นต้นเท่านั้น แต่เขากลับไม่มั่นใจเลยว่าจะเอาชนะหลี่ปู้ได้ !
ชายชราสวมชุดดำก้าวออกไปข้างหน้าและพูดอย่างเยือกเย็น “มีเพียงราชาพันปีเท่านั้นที่จะทำแบบนั้นกับนายน้อยของเราได้ !”
“ว๊าก !”
เสียงกรีดร้องดังขึ้นจากนั้นกระต่ายสูงสองเมตรก็ยืนขึ้น เลือดฉีค่อย ๆ ปรากฎออกมารอบ ๆ ตัวมันจนทำให้อากาศรอบ ๆ กระเพื่อมพร้อมกับท้องฟ้าที่เริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดง
“สัตว์อสูรระดับราชาพันปีขั้นสาม !”
เมื่อมองเห็นสัตว์อสูรตัวนั้น ฮันตั๋วรู้สึกได้ถึงอันตรายจากมัน
“จงเต๋า ท่านมีความมั่นใจมากแค่ไหนในการเอาชนะมัน ?” ฮันตั๋วถามชายชราที่สูงสองเมตรครึ่งด้วยความสุภาพ
จงเต๋าส่ายหัวและตอบกลับ “สัตว์อสูรตัวนี้แข็งแกร่งมาก ข้าเกรงว่าโอกาสชนะมีเพียง 50% เท่านั้น นี้คือกรณีที่ข้าใช้ทุกอย่างที่มี”
“กลับกันเถอะ ในเมื่อตระกูลหลี่ไม่ได้ตกอยู่ในอันตรายอีกต่อไป ดูเหมือนพวกเราก็ไม่มีเหตุให้อยู่อีกต่อไป” ฮันตั๋วถอนหายใจก่อนจะบอกกลับคนของเขา
ฮันตั๋วเข้าใจดีว่ามันมีความเสี่ยงสูงมากหากต้องปะทะกับอีกฝ่าย แม้แต่จงเต๋าที่มีพลังระดับราชาพันปีเหมือนกันยังไม่มั่นใจว่าจะเอาชนะได้ มันจึงยากที่จะบอกว่าตระกูลหลี่ซ่อนอะไรไว้อีก
ฮันตั๋วและคนของเขาหันหลังและเดินจากไปด้วยความระมัดระวัง
เป่ยเฟิงหันไปมองบู่ฮุยและถามขึ้น “บู่ฮุย เจ้าพวกนั้นเป็นใครกัน ?”
หลี่บู่ฮุยยังคงรู้สึกงุนงงเพราะเธอไม่ได้คาดคิดเลยว่าตระกูลของเธอจะแข็งแกร่งขนาดนี้ เมื่อเป่ยเฟิงพูดถึงมันก็ช่วยทำให้เธอกลับมามีสติอีกครั้งและจึงตอบกลับ “ท่านปู่ เขาเพิ่งย้ายมาที่โรงเรียนของหนู แต่หนูไม่มั่นใจนักในเรื่องภูมิหลังของเขา”
“ข้ารู้ เขาคือนายน้อยของตระกูลฮันจากเมืองซีเป่ย เขามีพรสวรรค์ไม่เลว แต่ตระกูลฮันมีชื่อเสียงไม่ดีเพราะพวกเขาใช้หยินฉีของผู้หญิงในการฝึกฝน” ถังหลี่เป็นฝ่ายตอบแทน แต่เธอสงสัยมากว่าตระกูลหลี่แข็งแกร่งขนาดไหนกัน ทำไมพวกเขาถึงมีราชาพันปีถึงสองคน !
แม้ว่าเธอจะไม่แน่ใจมากนัก แต่เธอคิดว่าทุกอย่างต้องเกี่ยวข้องกับผู้ชายตรงหน้าเธอ ตระกูลหลี่แข็งแกร่งมากขึ้นนับตั้งแต่ที่ชายคนนี้กลับมา !
“ฮึ่ม มันก็แค่คนของตระกูลฮันที่ถูกใจบู่ฮุยเท่านั้น” เป่ยเฟิงพูดด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด เขาได้แต่โทษตัวเองที่ยังไม่แข็งแกร่งพอจะทำลายตระกูลฮันได้ เป่ยเฟิงสาบานในใจว่าเขาจะจัดการเรื่องนี้ในอนาคต
“บู่ฮุย หลานไม่ต้องกังวลเรื่องทรัพยากรอีกต่อไป ตอนนี้ไปมุ่งเน้นที่เตรียมตัวในการสอบก็พอ” เป่ยเฟิงสั่งจากนั้นก็หันไปมองทิศทางคฤหาสน์ตระกูลเจิ้ง “หลี่ปู้ !”
“ข้าน้อยอยู่นี่แล้ว !”
เป่ยเฟิงเรียกหลี่ปู้และหลี่ปู้ก็ก้าวไปข้างหน้าราวพร้อมกับจะทำสงคราม
“กำจัดผู้มีพลังระดับร้อยปีของตระกูลเจิ้งทั้งหมด ส่วนเจ้าผู้นำตระกูลนั่น หากมันอยู่เฉย ๆ ก็ปล่อยมันไป แต่หากมันอยากจะลองดีก็ฆ่ามันซะ !”
เสียงของเป่ยเฟิงเย็นชา ในเมื่อเขาตัดสินใจไปแล้วเขาก็ต้องทำให้แน่ใจว่าตระกูลเจิ้งจะไม่มีโอกาสได้แก้แค้นเขาในอนาคต
“ขอรับ !” หลี่ปู้พยักหน้าจากนั้นก็เลือกคนไปพร้อมกับเขา ในไม่ช้าผู้คุ้มกันคนอื่น ๆ และสัตว์อสูรสองตัวคือฮานกุยและเจ้าตัวนิ่มก็ไปกับเขา
“ท้องฟ้ากำลังเปลี่ยนไป” ผู้ชมคนหนึ่งถอนหายใจ
ไม่มีใครคิดเลยว่าตระกูลหลี่จะแข็งแกร่งขนาดนี้ ดูเหมือนหากข่าวนี้แพร่กระจายออกไป คนที่ยึดครองส่วนหนึ่งในธุรกิจของตระกูลหลี่จะกลัวว่ามีผลกระทบตามมาหาพวกเขาแน่ ๆ
“นี่มันกับดักอะไรกัน ทำไมคนของตระกูลหลี่ถึงแข็งแกร่งขนาดนี้ ทำไมแกไม่บอกให้เร็วกว่านี้ ? เราจะทำยังไงกันดี”
“ทำไมแกเพิ่งมาบอกเอาป่านนี้ฮะ ? ทำไม ?”
หัวหน้าครอบครัวหลายคนได้แต่อาลัยอาวอนเพราะพวกเขากังวลว่าจะต้องได้รับบทลงโทษของตระกูลหลี่
ในขณะเดียวกันคนที่ไม่แน่ใจว่าได้ทำผิดอะไรกับตระกูลหลี่หรือเปล่าก็เริ่มรู้สึกปวดใจเล็กน้อย พวกเขากำลังกังวลว่าพวกเขายังปลอดภัยอยู่หรือไม่
มีบางคนถึงกับหนีออกจากเมืองอย่างเร่งรีบเพราะกลัวว่าตระกูลหลี่จะแก้แค้นพวกเขา
ภายในวันเดียว เมืองแห่งนี้ก็เปลี่ยนไปมาก ระลอกคลื่นยักษ์เริ่มก่อตัวขึ้นบนน้ำที่นิ่งสงบ มันราวกับจระเข้เพิ่งจะก้าวเข้าไปในบ่อน้ำ !
ผ่านไปครึ่งชั่วโมง หลี่ปู้และคนของเขาก็มาถึงประตูคฤหาสน์ตระกูลเจิ้ง ประตูที่หลี่ปู้ทำลายไปครั้งก่อนถูกซ่อมเรียบร้อยแล้ว
“จงฟัง สมาชิกของตระกูลเจิ้งทุกคน คนที่มีพลังร้อยปีจะต้องทำลายพลังของตัวเองหรือไม่ก็ตายไปซะ !” หลี่ปู้ประกาศเสียงดังราวกับเสือดุร้าย คลื่นเสียงของเขากระจายเป็นวงกว้างล้อมรอบคฤหาสน์ตระกูลเจิ้ง
“ตู้ม !”
“เพล้ง !”
แจกันและเครื่องประตูรวมถึงจอทีวีทั้งหมดแตกกระจายเมื่อคลื่นเสียงมาถึงตัวคฤหาสน์
“ไอ้บัดซบที่ไหนมันบังอาจ !”
คฤหาสน์ตระกูลเจิ้งที่เงียบสงบในตอนแรก ทันใดนั้นก็เต็มไปด้วยเสียงกรีดร้องของผู้มีพลังระดับร้อยปี พวกเขาลอยขึ้นไปบนฟ้าพร้อมกับปะทุฉีจนท้องฟ้าต้องเปลี่ยนสี
เจิ้งซานฉิงเป็นคนแรกที่พุ่งออกมาก่อนจะตามาด้วยผู้อาวุโสและสมาชิกของตระกูล !
เจิ้งซานฉิงใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีดำ ใครจะไปคิดกันว่าตอนนี้ตระกูลของเขากำลังถูกท้าทายอีกครั้ง นอกจากตระกูลหลี่ที่กล้าต่อต้านพวกเขาแล้วยังมีคนอื่นมาท้าทายพวกเขาในตอนนี้ !
“จับเจ้านั่นมา ไม่ต้องเมตตามันทั้งนั้น !” หลังจากได้ยินคำสบประมาทของหลี่ปู้ เจิ้งซานฉิงก็เต็มไปด้วยความโกรธจากนั้นก็สั่งคนของเขาให้จัดการหลี่ปู้ เจิ้งซานฉิงเชื่อว่าสาเหตุที่คนจำนวนมากกล้าหอเรื่องตระกูลของเขานั้นก็เพราะพวกเขาไม่ได้แสดงตัวมานาน ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจใช้โอกาสนี้เพื่อเตือนให้รู้ว่าพวกเขายังคงเป็นอันดับหนึ่งของเมือง
“ขอรับ !”
เสียงของคนรอบ ๆ เต็มไปด้วยจิตสังหาร ! การฆ่าสัตว์อสูรจำนวนมากมันไม่เหมือนกับการฆ่ามนุษย์ เพราะการฆ่ามนุษย์มันจะทำให้พวกเขาได้รับรางวัลเพิ่มขึ้น !
ราวกับฝูงหมาป่าที่หิวโหย ผู้มีพลังขั้นสี่ของร้อยปีกว่าสิบคนรีบพุ่งเข้าหาหลี่ปู้และคนของเขา
ผู้ที่อยู่ด้านหลังได้แต่จ้องมองสหายของพวกเขาด้วยความเสียใจเพราะพวกเขาตอบสนองช้าเกินไปจนพุ่งเข้าไปไม่ทัน
“รนหาที่ตาย !” หลี่ปู้ตะโกนขึ้นเมื่อเห็นคนของตระกูลเจิ้งพุ่งมาหาเขา ในไม่ช้าง้าวสวรรค์ก็ปรากฎในมือข้างหนึ่งของเขา จากนั้นเขาก็เหวี่ยงมันใส่คนที่พุ่งเข้ามา
“ฟุ้บ !”
“ฉัวะ !”
มันเป็นเสียงที่ผู้ฝึกตนคุ้นเคยกันอย่างมาก พวกเขารู้ดีว่าเสียงนั้นคือเสียงที่อาวุธมีคมได้แทงทะลุเนื้อมนุษย์ ! ในไม่ช้าหลังจากแสงของง้าวหายไป ผู้ฝึกตน 7 คนก็ถูกผ่าครึ่งแล้วนอนกองที่พื้นอย่างไร้ชีวิต หอคอยที่อยู่ไกลออกไปกว่าร้อยเมตรถูกตัดเป็นสองส่วนจากนั้นก็ค่อย ๆ เลื่อนพังทลายลงมากับพื้นพร้อมกับฝุ่นจำนวนมากที่ฝุ่งกระจาย !