Fishing in the Myriad Heavens - ตอนที่ 467
ในสายตาคนปกติอาจจะมองไม่เห็นอะไร แต่สำหรับเป่ยเฟิง ตั้งแต่มีพลังระดับเซียนเทียนขึ้นมาเขาก็มีความรู้สึกไวต่อฉีมากขึ้น
สิ่งที่แตกต่างจากผู้ฝึกฝนระดับเซียนเทียนปกติก็คือเป่ยเฟิงเป็นผู้อยู่จุดสูงสุดของโลกของพวกเขาในตอนนั้น มันจึงไม่แปลกที่เขาจะแข็งแกร่งและมีความรู้สึกไวต่อหลายอย่างมากกว่าคนปกติ
นอกจากนี้อีกฝ่ายก็ไม่ได้พยายามปกปิดการปรากฏตัวของเขาแม้แต่น้อย ฉีของเขาจึงเหมือนกองไฟในที่มืดสำหรับเป่ยเฟิง
“ฟิ้ว !”
เป่ยเฟิงก้าวกระโดดก่อนจะทะยานขึ้นไปบนฟ้า !
แรงกดดันค่อย ๆ ปลดปล่อยออกมาจากร่างของเขา มันแผ่กระจายไปทุกทิศทางทำให้เมฆที่อยู่รอบ ๆ กระจายออกไป
“กร๊าซ !”
ไกลออกไป มังกรสีม่วง-ดำยาวหลายพันเมตรที่อยู่บนฟ้าลืมตาขึ้น มันรู้สึกได้ถึงการท้าทายที่กำลังมุ่งหน้ามาหามัน มันจึงคำรามไปทิศทางเป่ยเฟิงโดยเสียงคำรามนั้นไม่มีทางที่คนปกติจะได้ยิน
แม้ว่าเสียงคำรามจะดังไปไกลกว่า 10 กิโลเมตรแต่พวกเขาก็รู้สึกได้แค่ร่างกายสั่นสะท้าน จากนั้นมันก็หายไปในพริบตา
“น่าสนใจ ราชาผู้นี้คิดว่าโลกใบนี้ได้จบสิ้นแล้วแต่ใครจะไปคิดกันว่ายังคงมีผู้เชี่ยวชาญหลงเหลืออยู่”
หวังวูหยูเงยหน้าพร้อมกับรอยยิ้มจาง ๆ บนหน้าของเขา เขารู้สึกได้ถึงแรงกดดันที่กำลังพุ่งมาหา แต่เขาไม่พบว่าแรงกดดันนั้นจะเต็มไปด้วยจิตสังหารใด ๆ มันเป็นเพียงแรงกดดันที่เหมือนการท้าทายเท่านั้น
หลังจากนั้นความทรงจำของสาวน้อยที่โชคร้ายคนหนึ่งก็ถูกจัดเรียงใหม่โดยหวังวูหยู
แน่นอนว่าเขาเลือกเฉพาะความทรงจำที่สำคัญเท่านั้น ส่วนความทรงจำอื่น ๆ เขาคร้านจะสนใจ
ตอนนี้เขาเข้าใจถึงสภาพในยุคปัจจุบันแล้ว
หลังจากเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว แม้ว่าเขาจะไม่ใช่ราชาที่อ่อนแอ แต่เขาทำได้เพียงถอนหายใจเพราะเขาไม่ได้อยากตื่นขึ้นมาเจอกับสถานการณ์ของโลกในปัจจุบัน
นี่คือยุคที่ราชาทุกคนอยากจะเห็น แต่ทว่ายุคนี้คำพูดของราชาไม่มีน้ำหนักมากพอที่จะทำให้ทุกคนทำตาม
หลังจากเข้าใจถึงความแข็งแกร่งของโลกใบนี้ หวังวูหยูก็ไม่ได้กังวลเรื่องอื่นเลยยกเว้นเพียงอาวุธนิวเคลียร์ อาวุธนิวเคลียร์มันมีพลังที่จะทำลายโลกได้ พลังที่น่าสะพรึงกลัวและระยะการโจมตีที่กว้างเกินไป อย่างน้อยมันไม่ใช่สิ่งที่ผู้ฝึกตนธรรมดา ๆ จะต้านทานได้แน่นอน
หวังวูหยูส่ายหัวเบา ๆ และเรียกสติกลับมา เขาได้ละทิ้งทุกอย่างไว้ให้กับราชวงศ์วู่ แต่สุดท้ายก็ต้องล่วงหล่นลงไป ถึงจะน่าเสียดายแต่เขาก็ไม่สามารถตำหนิคนรุ่นหลังที่ไร้ประโยชน์ได้ มันผ่านมาหลายพันปีแล้ว แม้ว่าลูกหลานวงศ์ตระกูลวู่จะหลงเหลือจนมาถึงปัจจุบัน เขาก็ไม่สนใจที่จะตามหาพวกเขาอีกต่อไป
มันได้ผ่านมานานหลายพันปี แม้กระทั่งมหาสมุทรยังเปลี่ยนเป็นทะเลใบหม่อนได้เลย กับมนุษย์เองก็เช่นกัน พวกเขาต้องมีหลายสิ่งหลายอย่างเปลี่ยนไปเหมือนกัน
มันมีคำพูดว่าไม่ใช่ทุกสิ่งที่เปลี่ยนไปตามเวลา แต่คน (บางคน) ไม่ใช่ หากว่าท่านผู้นำของพวกเขาตายลง มันใช่ว่าสมาชิกวงตระกูลของพวกเขาจะมีชีวิตรอดต่อไปได้เสมอไป ทุกสิ่งมันขึ้นอยู่กับเส้นทางที่ลูกหลานของพวกเขาได้เลือกเดิน
“ดูเหมือนประวัติศาสตร์และบันทึกต่าง ๆ จะไม่มีสิ่งที่เกี่ยวกับอาณาจักรวู่ของข้าอยู่เลย” หวังวูหยูพึมพำและถอนหายใจ ทั้งหมดสุดท้ายก็กลายเป็นอดีต
หลังจากนั้นเขาก็เลิกให้ความสนใจทุกอย่างในหัวและบินไปยังทิศที่แรงกดดันที่ท้าทายพุ่งออกมา
“แม่ ลุงคนนั้นบินได้ !”
บนถนน เด็กหญิงตัวน้อยที่ใบหน้าซ่อนอยู่หลังอมยิ้มขนาดใหญ่พอ ๆ กับใบหน้าชี้ไปบนฟ้าและพูดขึ้น
“กระต่ายน้อยของแม่ ไม่มีอะไรอยู่บนฟ้าเลย แม่บอกแล้วว่าอย่าดูการ์ตูนมาก ทำไมไม่ฟัง”
แม่ของเด็กน้อยเงยหน้าไปบนฟ้าและไม่เห็นว่ามีอะไร เธอจึงก้มลงและบีบแก้มลูกของเธอเบา ๆ
แต่สิ่งที่เธอพลาดมันเป็นสิ่งที่มีหลายคนเห็นมัน หวังวูหยูไม่ได้บินด้วยความเร็วที่มากนัก แต่เขาบินช้ามากจนมีคนมองเห็นเขาได้อย่างชัดเจน !
แม้ว่าหลายคนจะสาบานว่ามีคนบินอยู่และโพสต์รูปภาพออนไลน์ลงไป แต่คนส่วนใหญ่ในประเทศไม่เชื่อและอ้างว่ารูปภาพทั้งหมดถูกตัดต่อ
สุดท้ายมันก็จบลงด้วยสงครามคีบอร์ด
“น่าสนใจ คน ๆ นี้ฝึกฝนเคล็ดการหายใจด้วยแสงดาว”
หวังวูหยูหัวเราะเบา ๆ ความสนใจของเขาเพิ่มขึ้นมาก
เป่ยเฟิงคิดไว้แล้วว่าต้องเป็นแบบนี้ ตอนที่เขาระเบิดแรงกดดันออกมาก็เพื่อให้ราชานักสู้หันมาสนใจเขา ด้วยความช่วยเหลือของระบบ เป่ยเฟิงสามารถปกปิดแรงกดดันของตัวเองได้อย่างสมบูรณ์แบบและเขาสามารถทำให้หวังวูหยูไม่รู้สึกถึงตัวเขาได้
เป่ยเฟิงเริ่มเตรียมอาหารด้วยท่าทางสบาย ๆ เขาไม่กังวลเลยแม้แต่น้อย เพราะเขายังมีอาวุธสังหารที่สามารถใช้ได้ครั้งเดียวแต่มีพลังทำลายล้างมหาศาลที่เขาไม่เคยใช้มาก่อนอยู่
“หืม ? นี้มัน มีเส้นเลือดหยินอยู่ใต้ดินแห่งนี้ ! นอกจากนี้มันยังใหญ่มาก !”
เมื่อเท้าของหวังวูหยูแตะลงกับพื้นภูเขาจิตวิญญาณสีฟ้า เขารู้สึกได้ถึงความพิเศษของสถานที่นี้
“ดูเหมือนมีสัตว์อสูรที่ทรงพลังอยู่ใต้ดินนี้ ! น่าสนใจ นอกจากข้าแล้วยังมีบางคนทำแบบเดียวกับข้าด้วย “
หวังวูหยูฝั่งตัวอยู่กับเส้นเลือดมังกรและเส้นเลือดหยินมานานหลายพันปี ดังนั้นเขาจึงไวต่อเส้นเลือดหยินมาก การค้นพบเส้นเลือดหยินนี้มันเกิดกว่าที่เขาเคยคิดเอาไว้ซะอีก
‘ดูเหมือนมันเพิ่งจะผ่านไปพันปีเองใช่หรือไม่ ?’ หวังวูหยูคิดด้วยความสนใจ ใครกันที่อยู่ในเส้นหลอดหยินนั้น วิธีของเขาดูเหมือนจะเตรียมการได้ยอดเยี่ยมกว่าเขาไม่น้อยเพราะเขาพึ่งพาเส้นเลือดหยินในการใช้ชีวิต !
หวังวูหยิค้นพบเส้นเลือดดำและเส้นเลือดมังกรมาหลายครั้ง ซึ้งเส้นเลือดทั้ง 2 มันคล้ายกันมากโดยเฉพาะพลังที่ยิ่งใหญ่ของมัน โดยเส้นเลือดมังกรจะมีพลังในการรักษาจิตวิญญาณ ส่วนเส้นเลือดหยินมีพลังงานชั่วร้ายเพื่อใช้เพิ่มพลังให้กับร่างกาย แน่นอนว่าเขาไม่ใช่เลือดเส้นเลือดที่มีพลังมหาศาลได้มากนักเพราะเพียงแค่แก่นแท้เลือดของผู้ฝึกตนกว่า 10 ล้านชีวิตก็เพียงพอที่จะทำให้เขาสูญเสียความคิดและกลายเป็นเครื่องจักรสังหารกระหายเลือด
มีหลายสถานที่ที่มีเส้นเลือดขัดแย้งกันไปมาและส่วนมากมันไม่เหมาะที่จะเอามาใช้เนื่องจากเส้นเลือดหนึ่งมันดันมีพลังมากกว่าอีกเส้นมันจะทำให้เกิดผลลัพธ์ยากจะคาดเดาได้
ตัวอย่างเช่นหากเส้นเลือดของมังกรแข็งแกร่งเกินไป วิญญาณของหวังวูหยูก็จะถูกครอบงำโดยมังกรและไม่สามารถกลับมาเกิดใหม่ได้
หากเส้นเลือดหยินแข็งแกร่งกว่าเส้นเลือดของมังกร เขาก็จะตื่นมาไวกว่าเดิมและจะกลายเป็นเครื่องจักรสังหารกระหายเลือด
หวังวูหยูรู้สึกได้ว่าคนที่อยู่ใต้ดินมันบ้ามาก เขาถึงกับใช้เส้นเลือดหยินในการมีชีวิตอยู่ จริงอยู่ที่ว่าผู้เชี่ยวชาญที่แข็งแกร่งสามารถฝั่งจิตวิญญาณไปพร้อมกับจิตใจจากนั้นรอเวลากลับมาเกิดใหม่พร้อมกับจิตวิญญาณและจิตใจที่กลับมาพร้อมกันได้ แต่การใช้เส้นเลือดหยินในการมีชีวิตอยู่แบบนี้มันก็เกินไป ….
‘ยังอีกนานกว่าเขาจะฟื้นคืนชีพขึ้นมาได้ แต่มันดูน่าสนุกจริง ๆ หึหึ’ หวังวูหยูพึมพำกับตัวเอง แต่เมื่อคิดถึงพลังของคนที่อยู่ด้านล่างมันทำให้เขารู้สึกหดหู่ใจ
เขาเป็นผู้ที่ปล้นโชคแห่งสวรรค์เพื่อใช้ในการฟื้นคืนชีพขึ้นมา ดังนั้นจึงถือว่าเขาแข็งแกร่งกว่าเผ่าพันธุ์เดียวกันอย่างมาก และแน่นอนว่าสิ่งที่ตามมานอกจากความแข็งแกร่งแล้วเขายังมีความหยั่งรู้เล็กน้อย แต่เพียงแค่รู้เล็กน้อยก็เพียงพอที่จะทำให้เขาหดหู่แล้ว
“ราชาอย่างข้าละอยากรู้จริง ๆ ว่าตอนเขายังมีชีวิตอยู่เขาแข็งแกร่งขนาดไหนกัน” หวังวูหยูพึมพำกับตัวเอง ตอนนี้เขามีพลังระดับหลุดพ้น แต่เมื่อเทียบกับคนที่อยู่ใต้ดิน เขารู้สึกราวกับตัวเองเป็นเด็กน้อยที่ท้าสู้กับผู้ใหญ่ !
หากเปรียบเทียบจริง ๆ มันควรจะเป็นมดกับภูเขา แม้ว่ามดจะรู้จักศิลปะการต่อสู้ แต่เพียงหินขนาดเล็กที่หล่นลงมาจากภูเขาก็เพียงพอจะทำให้มันตายได้ !
ในขณะที่เขาเดินไปบนถนนที่เพิ่งสร้าง หวังวูหยูก็รู้สึกได้ถึงพลังของเส้นเลือดที่อยู่ด้านล่างได้มากยิ่งขึ้น มันดูเหมือนพลังนี้มันกระจายไปทุกทิศทุกทาง
‘เส้นเลือดหยินนี้มันน่าตกใจจริง ๆ ไม่น่าเชื่อเลยว่าดาวเคราะห์ดวงนี้จะมีสิ่งนี้อยู่ด้วย’
หวังวูหยูเดินผ่านต้นท้อไปสบาย ๆ ราวกับคนธรรมดา ๆ ไม่มีแรงกดดันใด ๆ ปลดปล่อยออกมาจากร่างของเขาแม้แต่น้อย
“หืม ? แกเป็นใคร ?”
เคอร์เบอรอสวิ่งอยู่ในป่า เมื่อมันเห็นหวังวูหยูมันก็กระโดดตีลังกาอย่างรวดเร็ว
“แข็งแกร่งมาก ! แต่เป็นไปไม่ได้ ! ดาวดวงนี้น่าจะไม่มีใครที่สามารถทำให้นายท่านหมาผู้นี้รู้สึกได้ถึงความตายได้ มันเป็นใครกันแน่ ?”
แน่นหัวหนังตากระตุก หลังจากผ่านมานานหลายปีมันรู้อยู่แล้วว่าไม่ได้อยู่บนดาวดวงเดิม และหลังจากผ่านมานานหลายปีคนที่แข็งแกร่งที่สุดที่มันเคยเห็นคือเป่ยเฟิง แต่ถึงแม้เป่ยเฟิงจะแข็งแกร่งแต่เขาก็ไม่ได้ปลดปล่อยความรู้สึกที่อันตรายออกมามากขนาดนี้
เมื่อมองคนตรงหน้า มันรู้สึกได้ถึงร่างกายที่กำลังสั่นสะท้าน มันราวกับคนตรงหน้าแข็งแกร่งจนมันเหมือนมดที่เผชิญหน้ากับยักษ์
แม้ว่ามันจะเคยพ่ายแพ้ให้กับเป่ยเฟิง แต่นั่นไม่ใช่เพราะมันใช้ทุกสิ่งทุกอย่าง ยังไงซะเป่ยเฟิงก็ไม่ใช่คนที่เพียงพริบตาก็ฆ่ามันได้
“โอ้ ? ที่นี่มีหมาน้อยอยู่ด้วย”
หวังวูหยูยิ้มจาง ๆ จนทำให้เส้นขนบนร่างของเคอร์เบอรอสลุกซู่
สิ่งที่แน่นหัวเกลียดที่สุดคือการที่มนุษย์เรียกมันว่าหมาน้อย แต่ทว่าในเวลานี้มันไม่สามารถเถียงอีกฝ่ายได้
พลังจิตของหวังวูหยูกระจายออกไปรอบ ๆ กว้างกว่า 10 กิโลเมตร จากนั้นเขาก็รู้สึกได้ถึงเป่ยเฟิงและลึกลับที่ 1 ที่กำลังพักผ่อนสบาย ๆ อยู่
ส่วนคนที่อยู่ใต้ดิน เขาไม่กล้าที่จะตรวจสอบเพราะกลัวว่าจะไปดึงดูดความสนใจของคนข้างในเข้า
หวังวูหยูไม่ได้โง่ แม้ว่าเขาจะอยู่ในสภาพหลับ แต่หากเขาบังเอิญตื่นขึ้นมาและทำเพียงจามเบา ๆ มันก็ทำให้เขาตายได้แล้ว
ในขณะเดียวกัน ตอนที่อยู่ในเมืองเขาไม่ค้นพบผู้ฝึกตนเลยแม้แต่คนเดียว แต่ทว่านอกเหนือจากเจ้าหมาน้อยตัวนี้แล้วเขารู้สึกได้ถึงแรงกดดันอีกแรงที่ไม่ได้อ่อนแอ แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่จะนำมาเทียบกับเขาได้ แต่พลังนี้มันก็ถือว่าใช้ได้ในยุคปัจจุบันแบบนี้
“แน่นหัว กลับมา นั่นเป็นแขก”
เสียงของเป่ยเฟิงดังออกมาจากไกล ๆ แน่นหัวถอนหายใจอย่างโล่งอกก่อนจะหันหลังและวิ่งหนีไป
“เชิญ”
เป่ยเฟิงปรากฏตัวตรงหน้าหวังวูหยูก่อนจะเชื้อเชิญเขา ทั้ง 2 ทำราวกับเป็นเพื่อนที่รู้จักกันมากำลังเดินสบาย ๆ ไปบนภูเขา
“ทำได้ยังไง บอกราชาอย่างข้าได้หรือไม่ว่าเจ้าฝึกเคล็ดการหายใจด้วยแสงดาวได้อย่างไร ?”
หวังวูหยูและเป่ยเฟิงนั่งหันหน้าเจอกัน ชาสีเขียว 2 ถ้วยเต็มไปด้วยหมอกสีเขียวหนา ๆ ลอยออกมา ใบชายังคงเป็นใบชาหยาบแบบเดียวกับภูเขาชิงหลิง แต่น้ำเป็นน้ำพิเศษที่เป่ยเฟิงได้มาจากการเอาหินวิญญาณระดับสูงไปฝั่งเข้ากับน้ำพุ
“อยากรู้จริง ๆ งั้นรึ ?”
หวังวูหยูมองเป่ยเฟิงด้วยความสับสน
“จริง ๆ แล้วข้ารู้สึกได้ถึงการมีตัวตนของท่านเมื่อหลายปีก่อน และข้าก็ได้เคล็ดการหายใจด้วยแสงดาวมาจากโลงศพของท่าน” เป่ยเฟิงเปิดเผยตรง ๆ โดยไม่ได้ปิดบังอะไร
หวังวูหยูยิ้มและพูดอย่างโอ้อวด “เฮ้อ … นั่นเป็นสิ่งที่ข้าตั้งใจทิ้งเอาไว้เพื่อมอบให้กับคนที่โชคดีที่มาเจอมัน แต่หากเอาเคล็ดการหายใจด้วยแสงดาวไปแล้วแต่ยังมีหน้าไปยืนอยู่ตรงนั้น มันจะเป็นการรบกวนข้า และนั่นจะทำให้ข้าทนไม่ไหวจนต้องตื่นขึ้นมาสังหารคน ๆ นั้นซะ”