Fishing in the Myriad Heavens - ตอนที่ 515
แม้ว่าชายมีหนวดจะดูง่าย ๆ และเป็นคนใจแคบ แต่จริง ๆ แล้วเขาเป็นคนเจ้าเล่ห์และฉลาดมาก ผู้นำส่วนใหญ่ก่อนหน้านี้เป็นคนขาดสมองและพาตัวเองและลูกทีมไปตายซึ้งแตกต่างจากเขา
เขาเป็นนักรบที่แท้จริงที่รู้ว่าควรทำอะไร แม้ว่าจะต้องเผชิญหน้ากับสัตว์อสูรบ่อย ๆ แต่ทว่าสิ่งที่เขาระวังมากที่สุดก็คือมนุษย์คนอื่น ๆ ที่คอยติดตามเขา
นี่เป็นครั้งแรกที่ชายมีหนวดรู้สึกสับสน เขาไม่แน่ใจว่าทั้งสองคนเป็นคนประเภทใด จากรูปลักษณ์มันเหมือนกับคนคุ้มกันกับนายน้อยที่อ่อนแอ การฝึกฝนของคนคุ้มกันนั้นอยู่ที่ขั้นสี่ของร้อยปีเท่านั้น
“ข้าน้อยทราบแล้ว” เมื่อหลี่ปู้ได้ยินคำพูดของเป่ยเฟิง เขาก็พยักหน้าและเดินต่อไปเงียบ ๆ คนเหล่านี้ถูกหมายหัวโดยท่านหัวหน้าตระกูลเรียบร้อย หากพวกเขาพิสูจน์ว่าตัวเองมีประโยชน์พวกเขาก็จะมีชีวิตต่อไปได้อีกเล็กน้อย แต่หากไม่ใช่ วันตายของพวกเขาก็จะถูกเลื่อนเข้ามา
ทั้งเหมืองเงียบสงัด มีเพียงเสียงการก้าวเดินของพวกเขาเท่านั้น
หากไม่มีความจำเป็นก็ไม่มีใครกล้าเดินเข้ามาในภูเขาร้อยทำลาย เนื่องจากมันมีสัตว์อสูรแปลก ๆ จำนวนมากที่นี่ พวกมันแต่ละตัวมีความสามารถพิเศษแตกต่างกันออกไป
การบินขึ้นไปในอากาศในพื้นที่ที่ไม่รู้ว่ามีอันตรายอะไรรออยู่จะเป็นเพียงการแสวงหาความตาย นอกจากจะมีอะไรบางอย่างรออยู่แล้วมันอาจจะดึงดูดการโจมตีของสัตว์อสูรที่บินได้อีกด้วย
ดังนั้นจึงไม่มีใครบิน พวกเขาเลือกที่จะเดินลึกเข้าไปในเหมืองแทน ทุกก้าวที่พวกเขาก้าวออกไปนั้นไกลหลายร้อยเมตร ทุกคนจะเหลือที่ว่างไว้ด้านหน้าและรอบ ๆ ตัวเอาไว้เพื่อป้องกันเหตุไม่คาดคิด
“กีกี”
แมงมุมหลากสีวิ่งมาหากลุ่มอย่างรวดเร็ว แรงกดดันของมันทรงพลังมาก ความแข็งแกร่งของมันอยู่ที่ขั้นสี่ของร้อยปีขั้นสูงสุด !
แมงมุมมีขนาดใหญ่เท่ากับรถม้า ขาทั้ง 8 ของมันวิ่งอยู่ในอุโมงค์เร็วมาก
ใบหน้าของชายมีหนวดเปลี่ยนไปเมื่อเห็นแมงมุมหลากสีพุ่งมาหาเขา !
“กีกี !”
หยดน้ำลายเหนียว ๆ ไหลออกมาจากปากของมัน ทันทีที่มันสัมผัสกับพื้นมันก็กลายเป็นหลุมขนาดเล็ก
แมงมุมพวกนี้เคลื่อนไหวได้เงียบเชียบและว่องไวมาก ขาทั้ง 3 ของมันแทงเข้าไปที่ชายมีหนวด ความเร็วของมันเร็วจนเกิดคลื่นเสียง !
“เขวี้ยงช้าง !”
ชายมีหนวดไม่ได้หลบ ร่างของเขาเอียงเล็กน้อยจากนั้นมือก็เอียงลงจนเหมือนขาที่ 3 หลังจากนั้นร่างของเขาก็ขยายเป็น 2 เท่า กล้ามเนื้อของเขาโป่งพองจากนั้นก็เขวี้ยงแมงมุมไปทางเป่ยเฟิง !
แมงมุมค่อนข้างงุนงงจากการเปลี่ยนทิศทางกระทันหัน แต่มันก็ยังคงกางขาแล้วแทงไปที่ร่างสีขาวนั้น !
“ปีศาจ !”
เป่ยเฟิงถอยหลังครึ่งก้าวราวกับเขากำลังกลัว หลี่ปู้ผู้ที่อยู่ด้านข้างเขาคำรามด้วยความโกรธจากนั้นก็ชักดาบออกมา !
“แกร๊ก !”
เสียงเหมือนโลหะสองก้อนปะทะกันพร้อมกับประกายไฟ
ชายคนหนึ่งและสัตว์อสูรปะทะกัน ดาบยาวในมือของหลี่ปู้เต้นไปมาอย่างสวยงามในขณะที่ป้องกันการโจมตีของแมงมุม
ทั้งสองฝ่ายปะทะกันหลายสิบครั้ง จากนั้นหลี่ปู้ก็สามารถตัดขาทั้งหมดของแมงมุมได้แล้วจึงตัดหัวมัน
“แฮ่ก แฮ่ก!”
หลี่ปู้หอบอย่างหนักจนดูเหมือนเขาใช้แรงไปเยอะมาก
“กิกิ แกนอสูรตัวนี้ไม่เลว ขาทั้ง 8 ของมันก็เป็นอาวุธตามธรรมชาติ มันน่าจะเอาไปขายได้ราคาพอสมควร”
ผู้ฝึกตน 2 คนวิ่งเข้ามาฉีกร่างของสัตว์อสูรโดยเลือกที่จะเอาส่วนที่มีค่าน้อยที่สุดออกไป
“นี้มันหมายความว่ายังไง !” หลี่ปู้โกรธจนตัวสั่นเล็กน้อยในขณะที่หันไปทางชายมีหนวด
“มันคือความผิดของข้าเอง แย่จริง ๆ … สำหรับสัตว์อสูรตัวนี้ถือซะว่ามันเป็นค่าธรรมเนียมที่แกควรจะจ่ายเรา เราไม่สามารถปกป้องพวกแกได้โดยปราศจากค่าธรรมเนียม รู้ใช่ไหม ?”
ชายมีหนวดยิ้มจาง ๆ พร้อมกับล้อเลียน
“ว่ายังงั้นไหม นายน้อย … ?” ชายมีหนวดหันไปมองเป่ยเฟิงและเสียงของเขาก็เต็มไปด้วยการบังคับ
เป่ยเฟิงราวกับเพิ่งตื่นจากการตกใจ เขาตอบกลับอย่างรวดเร็ว
“ใช่ ใช่ เจ้าพูดถูก ปล่อยสัตว์อสูรตัวนี้ให้เขา”
‘ดูเหมือนว่าความแข็งแกร่งที่พวกมันบอกจะเป็นแบบนั้นจริง ๆ โดยเฉพาะคนคุ้มกันนั้นดูเหมือนว่าจะแข็งแกร่งเล็กน้อย ถึงอย่างนั้นก็ยังอ่อนแอกว่าข้าอยู่ดี’ ชายมีหนวดคิดกับตัวเองเงียบ ๆ
ทั้งกลุ่มเดินต่อไป เส้นทางตรงหน้าพวกเขาค่อย ๆ กว้างขึ้นเรื่อย ๆ
หลังจากนั้นไม่นานแสงไฟก็ปรากฏด้านหน้าจนพวกเขาต้องเงยหน้าขึ้นไปมอง
“สวรรค์ ! เกิดอะไรขึ้น ?”
“เราไม่ได้อยู่ใต้ดินงั้นรึ ? ทำไมถึงมีดวงอาทิตย์ที่นี่ !”
“พระราชวังนิรันดร์ ? อ่าช่างน่ามหัศจรรย์จริง ๆ !”
ทั้งกลุ่มตื่นเต้นจนตะโกนเสียงดังออกมา
ทันใดนั้นทางเดินก็สว่างขึ้นเหมือนเป็นการเปิดเส้นทางเข้าไปในดินแดนแฟนตาซี ภูเขาศักดิ์สิทธิ์ 3 ลูกตั้งตระหง่าอยู่ไม่ไกล ฝูนนกกระเรียนขาวบินข้ามท้องฟ้า
ทั้งกลุ่มตะตกลึง ไม่มีใครคาดคิดว่าจะมีโลกอีกใบอยู่ในเหมืองนี้ …
“นี่คือโลกมิติที่แยกออกมา ! ดูเหมือนว่ามันจะเป็นของนิกายหนึ่ง !” ชายมีหนวดอุทานออกมาด้วยความตกใจ ดวงตาของเขาก็เริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดง
“มิตินี้น่าจะเพิ่งปรากฏออกมาไม่นาน ไม่อย่างนั้นมันคงถูกยึดครองไปนานแล้ว !”
ทั้งกลุ่มคุยกันอย่างกระตือรือร้น
หลังจากนั้นพวกเขาก็เดินเข้าไปโดยไม่ลังเล พื้นที่ในมิติแห่งนี้ราวกับของจริง แต่ทันทีที่พวกเขาก้าวเข้าไปทิศทรรย์รอบ ๆ ก็เปลี่ยนแปลง
พื้นที่มิติแห่งนี้เต็มไปด้วยออร่าแห้งแล้ง พืชพรรณจำนวนมากแห้งเหี่ยว มีเพียงภูเขาขนาดใหญ่ 3 ลูกจากระยะไกลเท่านั้นที่เต็มไปด้วยสีเขียวขจี
“ดูเหมือนมิตินี้จะได้รับความเสียหายอย่างหนักมา เมื่อเราพบมันมันก็ใกล้จะพังทลายแล้ว ดูเหมือนโชคดีของเราจะไม่มีอีกแล้ว”
ชายมีหนวดสงบจิตใจลง ความคิดแรกของเขาเมื่อเข้ามาในมิติแห่งนี้คือฆ่าคนนอกทั้งสองทิ้ง แต่หลังจากคิดไปคิดมาเขาก็ทิ้งความคิดนั้นไป มันไม่มีอะไรรู้ว่าอันตรายอะไรรออยู่ในที่แห่งนี้ เมื่อมันเกิดขึ้นจะต้องเป็นเจ้าสองคนนั้นที่รับหน้าที่
‘ไม่น่าแปลกใจเลยที่กระต่ายนักเลงจะเติบโตได้ผิดปกติ กลับกลายเป็นว่าพวกมันครอบครองพื้นมิติของนิกายบางแห่งเอาไว้ พระเจ้า ท่านมอบสิ่งที่ดีมาให้ข้าแต่สุดท้ายก็ถูกพวกมันทำลายทิ้งไป !’ ยิ่งเขาคิดมากเท่าไหร่เขาก็ยิ่งเจ็บปวดมากขึ้น
หากมีทรัพยากรเพียงพอนั้นไม่ได้หมายความว่าเขาอาจจะพัฒนาจนไปถึงระดับราชาพันปีเลยหรือยังไงกัน ?
“นี่เป็นโอกาสที่ยอดเยี่ยมจริง ๆ ! อ๊า นายน้อย เสียใจด้วยที่ไม่มีสิ่งดี ๆ ให้นายสำหรับการเดินทางครั้งนี้” ชายมีหนวดยิ้มในขณะมองเป่ยเฟิงโดยไม่กังวลแม้แต่น้อย หลังจากนั้นเขาก็โบกมือแล้วล้อมเป่ยเฟิงและหลี่ปู้เอาไว้ราวกับกลัวว่าเขาจะหนีไป
‘ภูเขาไหนกันที่ต้นไผ่จักรพรรดิสวรรค์อยู่’ เป่ยเฟิงขมวดคิ้ว เขาไม่สนใจว่าเกิดอะไรขึ้น สิ่งเดียวที่เขากังวัลคือต้นไผ่จักรพรรดิสวรรค์
เมื่อเห็นการเคลื่อนไหวแปลก ๆ ของชายมีหนวด เป่ยเฟิงไม่สนใจแม้แต่น้อย ความแข็งแกร่งของคนเหล่านี้ไร้ประโยชน์ มันไม่ยากเลยที่จะฆ่าพวกเขา เขาสามารถฆ่าทุกคนได้เมื่อไหร่ก็ได้ที่ต้องการ
เงาของคนจำนวนมากพุ่งเข้าไปในเส้นทางที่ไปยังภูเขาทั้งสาม
เมื่อมาถึงตีนเขา เป่ยเฟิงรู้สึกกดดันเล็กน้อยราวกับเลือดและฉีทั้งหมดในร่างของเขาถูกผนึกเอาไว้
“มีบางอย่างแปลก ๆ พลังของข้าถูกผนึกเอาไว้ 1 ใน 10 !”
“นี้มันค่ายกล !”
“ดูเหมือนว่ามันจะไม่ใช่เรื่องง่ายซะแล้ว”
ทุกคนตะโกนออกมาด้วยความตกใจ
มีคนกว่า 100 คนยืนอยู่ที่ตีนเขา คนกลุ่มนั้นปลดปล่อยแรงกดดันที่น่ากลัวออกมา
คนกลุ่มนั้นคือชุยหยุนเทียนและนักรบชุดดำของเขา พวกเขายืนเงียบ ๆ ราวกับคนตายที่ไร้เสียงใด ๆ
“นี่คือมิติฝึกฝนของนิกายจี้เต๋า ภูเขาแห่งนี้มีไว้เพื่อทดสอบ ใครก็ตามที่ผ่านการทดสอบสามารถเลือกอาวุธแล้วจากไปได้ ที่แห่งนี้มีทั้งหมด 9 ระดับด้วยกัน แต่ละระดับจะจำกัดพลังเอาไว้ ซึ้งระดับสุดท้ายหมายถึงความแข็งแกร่งของคน ๆ นั้นจะถูกผนึกเอาไว้ทั้งหมด ” ชายชราพูดถึงสิ่งที่เขียนเอาไว้ในแท่นหินสูง 2 จาง
“นิกายจี้เต๋าเป็นแบบไหนกัน ?”
“ข้าก็ไม่เคยได้ยินมาก่อนเหมือนกัน แต่มันน่าจะเป็นนิกายใหญ่ใช่ไหม ?”
“ในอดีต มีนิกายใหญ่มากมายแต่ทำไมถึงไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน ? นิกายจี้เต๋า … ดูเหมือนมิติขนาดใหญ่แห่งนี้มีเอาไว้เพื่อฝึกฝนพวกศิษย์ของนิกาย”
ทุกคนคุยกันอย่างกระตือรือร้น แต่ไม่มีใครสามารถให้คำตอบได้ถึงต้นกำเนิดของนิกายจี้เต๋าได้ ไม่มีใครเคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน
เป่ยเฟิงส่ายหัว ดูเหมือนต้นไผ่จักรพรรดิสวรรค์จะไม่ได้อยู่บนภูเขาลูกนี้ เป่ยเฟิงหมดความสนใจในทันที
ชายชราเงยหน้าและพูดต่อ “ค่ายกลนี้ใช้ทรัพยากรจำนวนมากถึงสร้างขึ้นมาได้ หากใครอยากจะทดสอบนั้นหมายถึงต้องมีค่าธรรมเนียนด้วยเช่นกัน”
ผู้ฝึกตนคนหนึ่งพูดกับชายชราด้วยความตกใจ “ท่านปรมาจารย์ มันต้องใช้ทรัพยากรมากแค่ไหนกัน ?”
ชายชราคนนี้เป็นถึงปรมาจารย์ค่ายกลระดับ 2 พลังของเขาอยู่ที่ขั้นสี่ของร้อยปี สถานะของชายชราถือว่าสูงมาก
“จากการประเมินของข้า ข้าคิดว่าต้องใช้แกนสัตว์อสูรขั้นสี่ของร้อยปีเพื่อเติมพลังงาน แต่เพื่อเปิดใช้งานค่ายกลมันจำเป็นต้องมีวัตถุดิบอื่น ๆ ด้วยเช่นกัน ตาแก่คนนี้มีของพวกนี้อยู่กับตัว หากทุกคนต้องการชดเชยให้กับตาแก่คนนี้ละก็ข้าขอคิดเป็นแกนสัตว์อสูร 1,500 อันละกัน”
หลังจากชายชราพูดถึงวัตถุดิบทั้งหมดจบ ทุกคนก็นิ่งเงียบและมองอย่างเมินเฉย
‘ไอ้พวกโง่เอ้ย … การเปิดใช้ค่ายกลนี้ง่ายมาก แต่เพราะพวกแกไม่เต็มใจที่จะจ่ายเอง ในเมื่อโอกาสมาถึงแล้วงั้นข้าขอหน่อยละกัน’ ชายชราพึมพำในใจ
ค่ายกลนี้เห็นได้ชัดว่าไม่จำเป็นต้องใช้แกนสัตว์อสูรหลายพันเม็ด เพียงแค่ทำตราประทับไม่กี่ครั้งเท่านั้นก็พอ วิธีเปิดใช้งานมันก็ถูกจารึกเอาไว้ในแท่นหินนั้น
แต่ภาษาที่เขียนนั้นมันมีไว้ให้เขาอ่านคนเดียว แม้ว่าจะมีภาพประกอบแต่ก็ไม่มีใครเข้าใจมันได้อยู่ดี
ปรมาจารย์ค่ายกลนั้นมีอยู่น้อยมาก บางทีอาจมีเพียง 1 ในล้านที่มีความสามารถในการสร้างค่ายกล
แม้ว่าตอนนี้เขาจะเป็นเพียงปรมาจารย์ค่ายกลระดับ 2 แต่ตราบใดที่เขาพัฒนาจนไปถึงระดับ 3 ได้ ตำแหน่งของเขาก็จะไม่น้อยไปกว่าพวกราชาพันปีแน่นอน แม้แต่พันธมิตรนักสู้ก็พยายามต่อสู้แย่งชิงเขาเข้าเป็นพวกรวมไปถึงช่วยทำให้เขามีพลังไปถึงขั้นราชาพันปีด้วย
มีบางคนก้าวออกมาและพูดขึ้น “ในเมื่อค่ายกลนี้มันเปิดไม่ได้ งั้นก็หมายว่ามันไม่มีอันตรายรออยู่แน่นอน งั้นข้าจะขึ้นไปบนยอดเขาแล้วเอารางวัลมาเลยดีกว่า”
เขาพูดจบก็วิ่งขึ้นไปโดยไม่ลังเล
“บูม !”
“อ๊ากกก ! ไม่ …”
สายฟ้าขนาดเท่าต้นขาผู้ใหญ่พุ่งลงมายังผู้ฝึกตนเมื่อครู่ เขาล้มลงพร้อมกับร่างที่ไหม้เกรียม
“ไอ้โง่”
คนอื่น ๆ ไม่ได้สนใจแม้แต่น้อย ถ้ามันง่ายดายจริง ๆ พันธมิตรนักสู้คงไม่เสียทรัพยากรจำนวนมากเพื่อปั้นปรมาจารย์ค่ายกลมาซักคนหรอก
ปรมาจารย์ค่ายกลนั้นไม่ได้เพียงศึกษาค่ายกลของดาวเทียนมู่เท่านั้น แต่พวกเขายังศึกษามรดกที่ได้มาจากหอคอยเชื่อมสวรรค์อีกด้วย เนื่องจากมรดกเหล่านี้มีน้อย นั้นหมายความว่าการปั้นปรมาจารย์ค่ายกลขึ้นมาคนหนึ่งนั้นยากมากเช่นกัน
ทุกคนขมวดคิ้วด้วยความไม่เต็มใจ ดูเหมือนพวกเขาจะต้องจ่ายมัน อย่างไรก็ตามเพื่ออาวุธศักดิ์สิทธิ์ พวกเขาทนรับความเจ็บปวดนี้ได้
ผู้นำกลุ่มทั้งหมดรวมตัวกันเพื่อแบ่งปันแกนสัตว์อสูร
แกนสัตว์อสูร 1,500 อันและเป็นของสัตว์อสูรขั้นสี่ของร้อยปีนั้นมีมูลค่าหลายร้อยล้าน น่าแปลกที่กลุ่มชายชุดดำนั้นมีมากถึง 500 อัน
กลุ่มผู้นำคุยกันซักพัก ชายมีหนวดกลับมาพร้อมกับใบหน้าเคร่งเครียด เห็นได้ชัดว่าแกนสัตว์อสูรที่เขาให้ไปนั้นมากเกินไป
“ไอ้พวกบัดซบ ! พวกมันบอกให้ข้าจ่ายเพิ่มอีก 300 อัน !” ชายมีหนวดกัดฟันด้วยความเกลียดชัง ภาระเรื่องแกน 1,000 อันถูกกระจายไปยัง 5 กลุ่ม เขาถูกบังคับให้จ่ายถึง 300 เพียงคนเดียว แต่มันความผิดของเขาในเมื่อเขาอ่อนแอเอง ?
เมื่อเขาคิดเกี่ยวกับกลุ่มที่โชคร้ายที่ถูกให้จ่ายถึง 500 อัน เขาก็รู้สึกใจชื่นเล็กน้อย อย่างน้อยก็ไม่ใช่เขาที่เป็นผู้แพ้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
อีก 3 กลุ่มต้องจ่าย 200 อัน นั่นหมายถึงพวกเขาแข็งแกร่งพอตัว
เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ ชายมีหนวดก็ส่ายหัวไปมาจากนั้นก็เดินไปหาเป่ยเฟิงและหลี่ปู้