Fishing in the Myriad Heavens - ตอนที่ 533
ด้วยระดับพลังปัจจุบันของเป่ยเฟิง อย่าว่าแต่นอนทั้งวันทั้งคืนเพียงวันเดียว แม้ว่าจะไม่ได้นอนเลยทั้งเดือนเขาก็ไม่มีปัญหา แต่หากเขาใช้พลังจิตจนหมดนั่นจะเป็นอีกเรื่องทันที
พลังจิตที่ถูกใช้ออกไปจนหมดก็เหมือนกับจิตวิญญาณที่สูญเสียเกราะป้องกัน เมื่อจิตวิญญาณอ่อนไหวก็จะทำให้ตัวเขาเองอ่อนแอ
ไม่มีใครมาคอยรบกวนเป่ยเฟิงเลยซักคน ผู้คุ้มกันของเขาคอยทำหน้าที่ยืนเฝ้าอยู่หน้าห้องหินของเขา
ในเวลาเดียวกันเนื้อสัตว์อสูรและสมุนไพรจิตวิญญาณอันล้ำค่าจำนวนมากจะถูกนำมาทำเป็นยาแล้วเมื่อเป่ยเฟิงตื่นขึ้นมาก็จะกินมันได้ในทันที
“ฮู้ !”
เช้าวันต่อมา เป่ยเฟิงค่อย ๆ คลานออกมาจากเตียง พลังจิตของเขาฟื้นกลับมาบ้างแล้ว
“ดูเหมือนข้าจะไม่ได้นอนหลับดี ๆ แบบนี้มานานแล้ว” เป่ยเฟิงกล่าวพร้อมกับถอนหายใจเบา ๆ
โลกก็เหมือนถังย้อมสีขนาดใหญ่และชีวิตก็เหมือนผ้าผืนหนึ่ง มันจะมีสีตกใส่ผ้าโดยหลีกเลี่ยงไม่ได้ตราบใดที่ยังอาศัยอยู่ในโลก
นับจากวินาทีที่เป่ยเฟิงก้าวเข้ามาในโลกนี้ เขาก็รู้ตัวว่าไม่สามารถกลับไปโลกเดิมได้อีกต่อไป เขาทำได้เพียงมาเป็นตัวตนนี้เท่านั้น
เขาในปัจจุบันทำได้เพียงค่อย ๆ พัฒนาและค่อย ๆ ก้าวไปยังจุดสูงสุดทีละขั้น !
ย้อนกลับไปที่โลกเดิม ผู้เชี่ยวชาญขั้นสวรรค์นั้นคือว่าเป็นตำนาน แต่ที่นี่ผู้ที่มีพลังขั้นสวรรค์กลับเป็นเพียงตัวตนระดับต่ำเท่านั้น
แน่นอนว่าหากใช้ชีวิตปกตินั้นเพียงพอแล้ว แต่หากเกิดความขัดแย้งกันคนอื่น ๆ ที่ทรงพลังกว่านั้นแน่นอนว่าพวกเขาทำได้เพียงเป็นแค่อาหารให้รอกินเท่านั้น
เว้นเสียแต่ว่าจะมีใครสามารถกระโดดออกมาจากถังย้อมสีขนาดใหญ่นี้ได้ อย่างไรก็ตามมันต้องใช้ความแข็งแกร่งมหาศาลอย่างมาก
และแน่นอนว่าความแข็งแกร่งปัจจุบันของเป่ยเฟิงนั้นยังอยู่ห่างไกลมาก
“การใช้แก่นแท้นี้มันยากอย่างที่ข้าคิดเอาไว้แต่แรก”
เป่ยเฟิงยิ้มจาง ๆ ในขณะที่มองดาบที่ลอยออกมาจากฝ่ามือของเขา
“ในที่สุดข้าก็เข้าใจว่าทำไมแร่นี้ถึงจำเป็นต้องหลอมเข้ากับร่างกายโดนสมบูรณ์ นั้นก็เพราะเมื่อมันหลอมเข้ากับร่างกายแล้วมันจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายที่ไม่แตกต่างอะไรจากร่างของข้า แต่ว่ามันจะทำให้อาวุธที่ข้าสร้างขึ้นนั้นไม่เป็นอันตรายต่อตัวเอง !”
เป่ยเฟิงรู้สึกราวกับได้สมบัติชั้นยอด ในขณะที่เขาพูดกับตัวเอง ดาบก็ก่อตัวจนสมบูรณ์
ดาบมีสีดำสนิทและไม่สะท้อนแสงใด ๆ มันราวกับมันดูดกลืนแสงที่ส่องมาหามัน
“ถึงแม้ว่าข้าจะรู้ความลับของมัน แต่ข้าต้องทดสอบด้วยตัวเองก่อนว่าดาบนี้แข็งแกร่งขนาดไหนกัน”
เป่ยเฟิงถือดาบและยิ้ม เขาไม่รู้สึกถึงความเย็นหรือคมใด ๆ จากดาบ มันราวกับมันคือส่วนที่ต่อออกมาจากแขนของเขา
ดาบสีดำสนิทและดูธรรมดามาก มันไม่มีออร่าคมใด ๆ ปลดปล่อยออกมาแม้แต่น้อย มันดูไม่ต่างกับดาบขยะทั่วไปที่หาได้ตามท้องถนน
เป่ยเฟิงหยิบอาวุธอีก 2 อันออกมาจากแหวนของเขา อย่างแรกคืออาวุธที่สร้างขึ้นจำนวนมากเพื่อผู้ฝึกตนระดับสูงสุดของร้อยปีใช้ อีกอันคืออาวุธสีแดงเลือดที่มาจากที่เดียวกับอาวุธของหลี่ปู้
“แก๊ง !”
เป่ยเฟิงหยิบอาวุธสีแดงเลือดแล้วเหวี่ยงมันไปยังอาวุธธรรมดา แสงสว่างจ้าจากนั้นอาวุธของผู้เชี่ยวชาญขั้นสูงสุดของร้อยปีก็แตกหักพร้อมกับเสียงที่ดังชัด !
“กระบี่ดี”
เป่ยเฟิงพยักหน้าด้วยความพอใจ ดินแดนลับเป็นเพียงมิติฝึกฝนของสำนักจี้เต๋า เพียงแค่พื้นที่ฝึกฝนก็บอกได้แล้วว่าสำนักนี้ทรงพลังแค่ไหน แม้แต่อาวุธที่ใช้เป็นรางวัลให้กับศิษย์ของพวกเขาก็เป็นสิ่งที่แม้แต่ผู้เชี่ยวชาญขั้นราชาพันปีอยากได้
หลังจากปล้นแหวนมิติของผู้ฝึกตนทั้งหมด นอกจากอาวุธทั้งหลายของพวกเขาแล้วเป่ยเฟิยงยังได้อาวุธทั้ง 10 ชิ้นจากมิติฝึกฝนอีกด้วย อาวุธทั้งหมดในตอนนี้อยู่ในมือเป่ยเฟิงแล้ว ยกเว้นแค่ง้าวสวรรค์ของหลี่ปู้
กระบี่มีสีแดงเลือดขนาดใหญ่ ด้ามจับของมันมีความอบอุ่นเล็กน้อย
ผู้ฝึกตนที่ฝึกฝนเกี่ยวกับวิชาหยางนั้นสามารถดึงพลังของมันออกมากกว่า 30-50 % หากใช้อาวุธชิ้นนี้ หากเทียบมูลค่าของมันก็ต้องไม่น้อยกว่า 1000 ล้าน HCD ! เป่ยเฟิงสรุปมัน
ตระกูลหลี่ใช้เวลาสิบปีในการทำธุรกิจต่าง ๆ แต่พวกเขาไม่กล้าขยายตัวเพราะมันมีใบมีดห้อยอยู่เหนือหัวของพวกเขา เป่ยเฟิงสรุปรายได้ทั้งหมดที่เขาได้และนำมาเทียบกับทั้งหมดของตระกูลหลี่ ดูเหมือนว่าเขาจะได้มามากกว่ารายได้หลายเดือนของตระกูลหลี่เลยทีเดียว
นี่คือพลังของการหาเงินของผู้ฝึกตนระดับสูง เพียงแค่การฆ่าสัตว์อสูรระดับสูงสุดของขั้นราชาพันปีไปซักตัว มันก็เทียบกับได้เงินมามากกว่าหลายร้อยไปแล้ว
เป่ยเฟิงไม่คิดอะไรมาก เขายกดาบสีดำขึ้นมาแล้วฟันมันไปที่กระบี่สีแดงขนาดใหญ่ !
“แก๊ง !”
“แกร๊ก ฉึบ !”
เสียงแตกหักดังขึ้นและเป่ยเฟิงก็ตกใจจะต้องลุกขึ้นยืน
กระบี่สีแดงขนาดใหญ่ที่ดูแข็งแกร่งไม่น้อย ได้แยกออกเป็น 2 ส่วนและหล่นลงบนพื้น
เป่ยเฟิงตกตะลึงจนปากของเขาเปิดอ้าเล็กน้อย นี่มันคือว่าการตบหน้าตัวเองหรือไม่ ?
เมื่อไม่นานมานี้เขายังคิดกับตัวเองเลยว่ากระบี่สีแดงนี้ดีขนาดไหน แต่ใครจะไปคิดกันว่าดาบสีดำธรรมดา ๆ ของเขากับผ่ามันออกเป็น 2 ส่วนได้อย่างง่ายดาย
เมื่อดาบฟันลงมา เป่ยเฟิงไม่รู้สึกถึงแรงต้านใด ๆ มันราวกับการตัดเนยด้วยมีดร้อน ๆ มันราบรื่นมากจนไม่รู้สึกใด ๆ
“ถึงแม้ข้าจะคาดหวังกับสมบัติจันทราระดับ 9 แต่ใครจะไปคิดกันว่ามันจะน่ากลัวมากขนาดนี้ นี้คงไม่ใช่ว่าที่แสดงออกมาในตอนนี้คือพลังเล็กน้อยของมันหรอกนะ ?”
รอยยิ้มบนหน้าของเป่ยเฟิงไม่ได้จางหายไป ตรงจุดตัดของกระบี่สีแดงนั้นเรียบเนียนมาก และตัวดาบสีแดงเองก็ไม่มีร่องรอยใด ๆ แม้แต่น้อย
“อาวุธที่ทำมาจากแร่นี้ดูเหมือนจะไม่มีคุณสมบัติพิเศษ แต่แค่ความคมและความทนทานของมันก็ไม่มีใครเทียบได้แล้ว ! ไม่สิ มันควรจะเป็นความคมและทนทานของมันคือคุณสมบัติของมันที่ไม่เหมือนแร่ใด ๆ !” เป่ยเฟิงพึมพำกับตัวเอง
แก่นแท้ของแร่ที่อยู่ในร่างของเขานั้นมันไม่ใช่ตัวดาบ ความจริงแล้วมันสามารถเป็นอะไรก็ได้ที่เป่ยเฟิงต้องการ มันสามารถกลายเป็นอาวุธใด ๆ ก็ได้ที่เขาอยากให้มันเป็น !
“ในเมื่อมันสามารถเปลี่ยนรูปร่างได้ตามต้องการ งั้นข้าจะเรียกแกว่าพันรูปร่าง” เป่ยเฟิงตั้งชื่อแร่ที่หลอมเข้ากับเขาเป็นชื่อใหม่ของมัน
หลังจากได้พันรูปร่างมา มันทำให้ความสามารถในการต่อสู้ของเป่ยเฟิงนั้นเพิ่มขึ้นมาก อาวุธที่ทรงพลังและคมขนาดนี้แน่นอนว่าทำให้พลังต่อสู้ของเขาทวีคูณได้สูงมาก !
ในเวลาเดียวกัน เป่ยเฟิงก็นึกถึงวิชาการต่อสู้ที่ไร้ยางอายต่าง ๆ เขาสามารถใช้พันรูปร่างเพื่อสร้างเป็นเกราะที่น่าเกรงขามเพื่อใช้ปกป้องตัวเองได้ ด้วยวิธีนี้ถึงแม้จะเอาชนะอีกฝ่ายไม่ได้แต่อีกฝ่ายก็เอาชนะเขาไม่ได้เช่นกัน
เป่ยเฟิงลูบคางและคิดว่ามันเป็นความคิดที่ดี แต่เขาจะต้องลองมันก่อน
หากเขาคิดจะทำแบบนั้นจริง ๆ พันรูปร่างมันจะต้องต้านทานพลังโจมตีในระดับหนึ่งได้
ไม่อย่างนั้นหากพันรูปร่างไม่สามารถต้านพลังโจมตีของอีกฝ่ายและตัดผ่านมันมาได้ละก็ ถึงมันจะครอบคลุมร่างของเขาเอาไว้มันก็ไร้ประโยชน์
ท้ายที่สุดทักษะต่อสู้ต่าง ๆ นั้นเป็นสิ่งที่ผู้ฝึกตนทุกคนรู้ มันทำให้เป่ยเฟิงคาดหวังน้อยลงกว่าเดิม แต่คิดไปคิดมาเขาไม่จำเป็นต้องครอบคลุมร่างกายทั้งหมดก็ได้ ตราบใดที่พันรูปร่างสามารถป้องกันการโจมตีบางส่วนได้ก็พอแล้ว
“หลี่ปู้ ! ” เป่ยเฟิงตะโกนออกไป
“ข้าน้อยอยู่นี่แล้ว !” เมื่อได้ยินเป่ยเฟิงเรียก หลี่ปู้ก็วางงานที่ทำอยู่แล้วมาเข้าไปหาทันที
“เข้ามา” เป่ยเฟิงพูดด้วยน้ำเสียงสงบ
“แกร๊กก !”
ประตูหินถูกผนักออกมาจนเกิดเสียงดังและหลี่ปู้ก็ก้าวเข้ามาอย่างรวดเร็ว “ท่านหัวหน้าตระกูลมีอะไรให้รับใช้ ?”
เป่ยเฟิงถือโล่สีดำในมือของเขา เมื่อหลี่ปู้เดินเข้ามาเขาก็ยกโล่ขึ้นมาแล้วพูดขึ้น “ลองโจมตีเข้ามา”
“ครับท่าน !”
หลี่ปู้ไม่ได้คิดอะไรมาก เขาควบคุมความแข็งแกร่งของเขาแล้วต่อยไปที่โล่ทันที
“ปัง !”
เสียงหมัดดังขึ้นอย่างแผ่วเบา หมัดนี้ดูเหมือนไม่มีอะไรเลยราวกับคนหิวโหยที่ต่อยโดยไม่มีแรง ในขณะเดียวกันโล่เองก็ไม่มีความเสียหายใด ๆ เลย
“เฮ้อ “
เป่ยเฟิงถอนหายใจเบา ๆ และส่ายหัว ดูเหมือนเขาจะหวังมากเกินไป พันรูปร่างนั้นมันเหมาะที่จะใช้เป็นอาวุธไร้ยางอายมากกว่าใช้ป้องกัน
เมื่อหมัดของหลี่ปู้เข้ามา มันมีพลังส่วนหนึ่งทะลุผ่านโล่เข้ามา
บางทีชุดเกราะพันรูปร่างอาจมีความสามารถในการป้องกันบางอย่างสำหรับแรงภายนอก แต่หากฝ่ายต้องข้ามใช้พลังภายในโจมตีมันก็ไม่สามารถป้องกันใด ๆ ได้
“ท่านหัวหน้าตระกูล ?”
หลี่ปู้มองดูเป่ยเฟิงด้วยความสับสน
“ไม่ต้องกังวล ไปนำอาหารมา”
เป่ยเฟิงส่ายหัวของเขา ดูเหมือนเขาจะโลภเกินไป
“ครับท่าน”
หลี่ปู้จากไปพร้อมกับเกาหัว เขาอยากรู้ว่าหัวหน้าตระกูลให้เขาเข้ามาเพื่อต่อยโล่แค่นั้นรึ ?
แต่นั้นก็เป็นข้อดีสำหรับหลี่ปู้นั้นคือแม้เขาจะไม่เข้าใจแต่เขาก็จะทำตามและไม่ถามใด ๆ ไม่ว่าจะเป็นคำสั่งใดเขาก็จะทำมันให้ดีที่สุด
รอคอยไม่นานอาหารจำนวนมากก็ถูกนำเข้ามาในห้องหิน เป่ยเฟิงราวกับลำธารไร้จุดสิ้นสุด เขาหิวมากจนกินทุกอย่างทั้งหมดอย่างมีความสุข
เนื้อสัตว์อสูรที่พลังงานจำนวนมากถูกกลืนเข้าไปในท้องของเขาเพื่อย่อยกลายเป็นพลังงาน
หลังจากกินอาหารเสร็จแล้วเป่ยเฟิงก็ออกจากห้องหิน กลุ่มผู้คุ้มกันของเขาทุกคนมีพลังขั้นสี่ของร้อยปีหมดแล้ว แม้ว่าพวกเขาจะดูเหมือนแข็งแกร่งแต่ความจริงแล้วยังคงอ่อนแออยู่ แต่อย่างน้อยพวกเขาก็เป็นคนของตระกูลหลี่และทั้ง 10 คนก็เป็นผู้ที่ภักดีกับตระกูลหลี่ขนาดที่เรียกได้ว่าเป็นนักรบแห่งความตาย [ตายเพื่อตระกูลได้]
ผู้ฝึกตนขั้นสี่ของร้อยปีของตระกูลหลี่เหล่านี้ถูกทำพันธะสัญญากับตระกูลเอาไว้ โดยไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับตระกูลหลี่พวกเขาก็จะมีส่วนเกี่ยวข้องไปด้วย
แต่ตราบใดที่ตระกูลหลี่ไม่ล้มลง คนเหล่านี้ก็จะสามารถใช้ชีวิตต่อไปได้สบาย ๆ
เป่ยเฟิงลูบคางและรำพึงในใจ ‘ข้าละอยากรู้จริง ๆ ว่ามันจะเป็นยังไงถ้าข้าเอาเคล็ดการฝึกฝนของโลกเดิมมาให้คนโลกนี้ ?’
ลืมมันไปะธ ทักษะต่อสู้มันสามารถสืบทอดได้ แต่เคล็ดการฝึกฝนมันส่งให้กันง่าย ๆ ไม่ได้
เป่ยเฟิงส่ายหัวของเขา มันไม่มีใครรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากโลกใบนี้ได้รับมรดกที่ไม่สมควรมี
นอกจากนี้มรดกที่เขามีนั้นมันสูงสุดแค่ขั้นว่างเปล่าเท่านั้น หากเทียบกันกับโลกใบนี้ก็คือขั้นสี่ของร้อยปีเท่านั้น
ผู้คุ้มกันเหล่านี้มีพลังขั้นสี่ของร้อยปี การให้พวกเขาฝึกฝนเคล็ดการฝึกตนของโลกของเขามันก็เหมือนการปฏิเสธสิ่งที่อยู่ใกล้แค่เอื้อมและออกไปค้นหาสิ่งที่อยู่ไกลออกไป
‘แต่ว่าการสร้างกองกำลังด้วยคนเพียง 10 คนนั้นย่อมไม่เพียงพอ หลังจากที่ตระกูลหลี่ย้ายมาที่เมืองเทียนฮวงข้าก็จะรวบรวมคนที่มีความสามารถบางคนได้ ในตอนนั้นเคล็ดการฝึกฝนของโลกน่าจะมีประโยชน์อยู่ มันน่าจะเพียงพอที่ใช้สร้างรากฐานที่มั่นคงแล้ว’ เป่ยเฟิงคิดอย่างจริงจัง เมื่อเทียบกับเคล็ดการฝึกฝนของดาวเทียบมู่แล้ว เขารู้สึกว่าเคล็ดการฝึกฝนของเขาที่มีในโลกเดิมนั้นเหนือกว่า
ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้วว่าขั้นร้อยปีทั้งหมดนั้นเสมือนการสร้างรากฐาน มีเพียงขั้นราชาพันปีเท่านั้นที่ถือว่าเป็นประตูแห่งการฝึกฝนที่แท้จริง !
ทันใดนั้นความเข้าใจนี้ก็ปรากฏขึ้นในใจของเขาพร้อมกับตัวเขาที่แข็งทื่อ เวลาดูเหมือนจะหยุดลงราวกับตัวเขาได้บรรลุบางอย่าง