Flash Marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน - ตอนที่ 1018
บทที่ 1018 ลู่เซิ่นเมามาย
มือที่นวดอยู่ตรงขมับของลู่เซิ่นหยุดชะงัก ก่อนจะหันไปมองหน้าจอ “เธอเป็นห่วงฉันอย่างนั้นเหรอ”
ฉินซีพูดไม่ออกเล็กน้อยกับประเด็นที่แปลกประหลาดของเขา “ปวดหัวเหรอคะ ให้หลินหยังทำน้ำผึ้งผสมน้ำมาให้ หรือไม่ก็ลองไปดูที่ข้างในกระเป๋าเดินทางของคุณ ว่าพ่อบ้านได้เตรียมยาแก้แฮงค์เอาไว้ให้หรือเปล่า”
แต่ลู่เซิ่นกลับนั่งนิ่ง มองไปที่กล้องอย่างไร้ยางอาย แล้วพูดซ้ำออกมาอีกครั้งว่า “เธอเป็นห่วงฉันอย่างนั้นเหรอ”
เธอแน่ใจแล้วว่าเขาดื่มไปมากจริง ๆ จึงพูดเหมือนกำลังหยอกล้อพวกเด็ก ๆ ซ้ำอีกครั้งหนึ่ง “ค่ะ ฉันเป็นห่วงคุณ อย่าลืมให้หลินหยังต้มน้ำแกงแก้แฮงค์ให้ด้วยนะคะ”
นี่ก็ต้องขอบคุณที่พ่อบ้านเคยบอกไว้ เธอจำได้ชัดเจนว่า หากลู่เซิ่นเมา วันถัดไปเขามักจะปวดหัวเอามาก ๆ เสมอ
ลู่เซิ่นตอบกลับไปอย่างไม่ใส่ใจว่า “อืม” ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าได้ยินหรือเปล่า
ฉินซีหันไปมองเวลา ตอนนี้ทางฝั่งของลู่เซิ่นก็น่าจะไม่เช้าแล้ว ถึงพูดออกมาว่า “คุณไปอาบน้ำแล้วรีบพักผ่อนเถอะค่ะ”
แต่ลู่เซิ่นกลับเอาแต่จ้องหน้าจอไม่ยอมขยับ ทั้งยังไม่ตอบอะไรกลับมาทั้งนั้น
“ลู่เซิ่นคะ” ฉินซีเรียกเขาอีกครั้ง “สัญญาณทางฝั่งคุณค้างอย่างนั้นเหรอ”
แต่ทันใดนั้นลู่เซิ่นก็พูดออกมาว่า “ฉินซี เธอคิดถึงฉันไหม”
“อะไรนะคะ” ฉินซีคิดไม่ถึงจริง ๆ ว่าอยู่ๆเขาจะถามคำถามแบบนี้ออกมา
ทางฝั่งของเธอยังเป็นช่วงเวลาเช้าตรู่ แสงอาทิตย์ลอดผ่านหน้าต่างส่องกระทบลงบนร่างของเธอ อยู่ ๆ ต้องมาพูดเรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ อะไรแบบนี้ ฉินซีจึงรู้สึกกระอักกระอ่วนอยู่เล็กน้อย
“ว่ายังไง” แต่ลู่เซิ่นกลับดึงดันไม่ยอมปล่อย อยากจะเอาคำตอบให้ได้
“อืม” ฉินซีหลุบตาลง ไม่มองไปที่หน้าจอโทรศัพท์อีก ก่อนจะตอบออกมาอย่างลวก ๆ คิดจะจัดการกับลู่เซิ่นที่กลายเป็นผีขี้เมาให้พ้น ๆ ไป
ลู่เซิ่นกับยิ้มขึ้นมาเบา ๆ “ฉันเองก็เหมือนกัน”
พูดจบเขาก็วางสายไป
ทิ้งฉินซีให้มองหน้าจอสีดำของโทรศัพท์ที่อยู่ในมือด้วยความตกตะลึงคนเดียว
คิดไม่ถึงเลยว่าพอลู่เซิ่นเมาแล้วจะมีสภาพแบบนี้…
เห็นชัด ๆ เลยว่าตอนแรกที่โทรไปก็เพราะอยากจะพูดเรื่องสำคัญ แล้วทำไมอยู่ๆถึงกลายมาเป็นเรื่องแบบนี้ได้…
ฉินซีจงใจเมินใบหูที่ร้อนผ่าวราวของตัวเอง ราวกับไม่ยอมรับว่าตนเองกำลังเขินอยู่ เธอไม่ได้เขินจริง ๆ นะอย่างไรอย่างนั้น
หลังจากใช้เวลาในห้องอยู่นาน แค่พริบตาเดียวก็ใกล้จะเที่ยงวันแล้ว
ฉินซีเริ่มกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ของจ้าวจิ้งทว่าในที่สุดด้านนอกก็มีการเคลื่อนไหว
เธอจึงลุกขึ้นยืนแล้วเปิดประตูเดินออกไปข้างนอก
จ้าวจิ้งกับเสี่ยวหลี่กลับมาแล้วจริง ๆ
ใบหน้าของจ้าวจิ้งปรากฏร่องรอยความเหนื่อยล้าอยู่หลายส่วน
“โทรสั่งให้คนยกอาหารเที่ยงมา” ฉินซีสั่งเสี่ยวเฉิน จากนั้นก็หันไปมองจ้าวจิ้ง “สถานการณ์เมื่อตอนเช้าเป็นยังไงบ้าง”
จ้าวจิ้งโบกมือ “รอฉันดื่มน้ำเสร็จแล้วจะค่อย ๆ พูด”
เสี่ยวเฉินกับเสี่ยวหลี่กลับไปที่ห้องของตัวเองอย่างรู้งาน ฉินซีกับจ้าวจิ้งไม่ได้กลับเข้าไปในห้อง แต่นั่งอยู่ที่ห้องนั่งเล่นแทน
จ้าวจิ้งดื่มน้ำจนหมดแก้วในทีเดียว ยังรู้สึกเหมือนว่าถึงแม้เรื่องทั้งหมดจะผ่านไปด้วยดีแต่ว่าก็มีจุดสิ้นสุดที่ไม่น่าพอใจนัก “ข้าวต้มที่กินไปเมื่อเช้า…รสชาติพิลึกมากจริง ๆ ”
ฉินซีคิดไปถึงอาหารที่ตัวเองกินเมื่อตอนเช้าก็พยักหน้าอย่างเห็นด้วย
จ้าวจิ้งยกยิ้มเบา ๆ จากนั้นก็หยิบเอกสารออกมาจากกระเป๋า แล้วลดรอยยิ้มบนใบหน้าลง
“เรื่องเมื่อตอนเช้าก็ยังพอนับได้ว่าเป็นไปอย่างราบรื่น หลังจากที่ฉันลงชื่อขอเข้าเยี่ยม ฝ่ายตรงข้ามก็ตอบตกลงอย่างรวดเร็ว”
ขณะที่จ้าวจิ้งกำลังพูด เธอก็หยิบปากกาบันทึกเสียงออกมาจากกระเป๋า แล้ววางไว้บนโต๊ะน้ำชา “ส่วนที่ว่าพูดอะไรบ้างนั้น คุณก็ลองเอาไปฟังดูนะคะ”
ฉินซีรับปากกาบันทึกเสียงมา ราวกับคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ ทันใดนั้นจึงถามออกมาว่า “ตอนนี้เขา…สภาพจิตใจเป็นยังไงบ้าง”
จ้าวจิ้ง “ไม่นับว่าดีเท่าไหร่”
ฉินซีครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง จากนั้นก็กดปุ่มเล่นเสียง
หลังจากเงียบอยู่สักพัก เสียงผู้ชายที่ไม่คุ้นเคยก็ดังขึ้น น่าจะเป็นเสียงของเห้อเสียง “เธอเองเหรอที่อยากพบฉัน”
จ้าวจิ้งตอบกลับไปว่า “ใช่”
จากนั้นความเงียบก็กลับมาอีกครั้ง ราวกับว่าเห้อเสียงกำลังประเมินจ้าวจิ้งอยู่
แต่เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ได้ข้อสรุปใด ๆ “ฉันไม่รู้จักเธอ เธออยากจะพบฉันทำไม”
เสียงของจ้าวจิ้งเยือกเย็นเป็นอย่างมาก “ฉันเป็นทนายความที่ได้รับมอบหมายให้มาพบคุณ”
น้ำเสียงของเห้อเสียงเต็มไปด้วยความระมัดระวังตัว “ทนายความอย่างนั้นเหรอ”
จ้าวจิ้งยื่นมือไปกดปุ่มหยุดชั่วคราว จากนั้นก็หันไปมองฉินซี “พอถึงตรงนี้ หลังจากที่ฉันบอกสถานะของตัวเองให้เขาฟัง สีหน้าของเขาก็แย่ลงเป็นอย่างมาก ฉันสงสัยว่า…เขาน่าจะโดนทนายใส่ร้ายตอนที่ฟ้องร้องคดีเมื่อก่อนหน้านี้ ไม่รู้ว่ามีคนเข้ามาจัดการเรื่องนี้หรือเปล่า ต้องลองตรวจสอบดู”
ฉินซีพยักหน้า
จ้าวจิ้งจึงกดเล่นการบันทึกเสียงต่อ
“ใช่ค่ะ ฉันเป็นทนาย” น้ำเสียงของจ้าวจิ้งอ่อนโยนขึ้นเล็กน้อย “ลูกความของฉันต้องการทราบข้อมูลจากคุณ”
น้ำเสียงของเห้อเสียงยังคงแฝงไปด้วยความระมัดระวังเป็นอย่างมาก “ข้อมูลอะไร ฉันไม่รู้เรื่องอะไรทั้งนั้น!”
จ้าวจิ้งเพิ่มความอ่อนโยนในน้ำเสียงขึ้นอีกนิด “ฉันรู้ว่าคุณเปิดโรงแรมมาก่อน และข้อมูลที่ลูกความของฉันต้องการถามก็เกี่ยวข้องกับโรงแรมของคุณ”
จ้าวจิ้งกดปุ่มหยุดชั่วคราวอีกครั้ง
“หลังจากที่ฉันพูดถึงโรงแรมแล้ว สีหน้าของเห้อเสียงฉายแววตื่นตระหนกเล็กน้อย ฉันสรุปได้ทันทีว่าเขาน่าจะรู้อะไรบางอย่าง”
ฉินซีขมวดคิ้วเบา ๆ “ เป็นเรื่องของคนอื่นหรือเปล่า”
จ้าวจิ้งส่ายหน้า “คุณฟังต่อก็จะรู้เอง”
จากนั้นก็กดเปิดบันทึกอีกครั้ง
“โรงแรมอย่างนั้นเหรอ” เสียงของเห้อเสียงแหบพร่าเล็กน้อย จากนั้นก็พูดออกมาอย่างเย้ยหยันว่า “ตอนนี้ฉันไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรกับโรงแรมนั่นอีกแล้ว เธออยากรู้อะไรก็ไม่ควรจะมาหาฉัน”
เสียงของจ้าวจิ้งฟังดูจริงใจมาก “ไม่ค่ะ เรื่องที่ลูกความของฉันอยากจะถามเป็นเรื่องที่เกิดก่อนเหตุการณ์ที่คุณจะขายโรงแรมทิ้ง เป็นช่วงเวลาเมื่อประมาณหนึ่งปีก่อน คุณน่าจะจำอะไรได้บ้าง”
บางทีอาจเป็นเพราะจ้าวจิ้งไม่ได้แสดงนิสัยที่ดุดันออกมา แล้วบอกเป็นนัยถึงความผิดของเห้อเสียง
เขาหัวเราะเบา ๆ “หนึ่งปีก่อนเหรอ หนึ่งปีก่อนเกิดเรื่องตั้งมากมาย สาวน้อย ดูเธอก็อายุไม่มากนะ ไม่ควรไปหาเรื่องกวนโมโหของคนที่ไม่ควรกวนเข้า และอย่าได้ถามคำถามที่ไม่ควรถาม”
จ้าวจิ้งไม่ได้โกรธกับคำพูดดูถูกของเขา น้ำเสียงของเธอก็ดูสงบนิ่งเป็นอย่างมาก “คนที่ไม่ควรกวนโมโหอย่างนั้นเหรอคะ คุณเลือกคนที่ฉันอยากจะถามเอาไว้ในใจแล้วสินะ”
เห้อเสียงคิดไม่ถึงว่าอยู่ ๆ จะถูกเธอจับพิรุธได้ น้ำเสียงจึงเปลี่ยนเป็นเกรี้ยวกราดขึ้นมาทันที “พูดอะไรของเธอน่ะ! หยุดพูดเองเออเองเดี๋ยวนี้นะ!”
เสียงเหมือนมีอะไรบางอย่างวางลงไปบนโต๊ะดังขึ้นมาจากปากกาบันทึกเสียง ก่อนจะตามมาด้วยเสียงของจ้าวจิ้ง “ถ้าคุณคิดจะพูดถึงเรื่องคนคนนี้ ฉันคิดว่าคุณลองอ่านข่าวนี้ดูก่อนก็ไม่เสียหาย”
จ้าวจิ้งหันไปมองฉินซีตอนที่การบันทึกเสียงมีช่องว่าง “ฉันเอาข่าววันนี้ของบริษัทฉินซื่อกรุ๊ปให้เขาอ่าน”
ฉินซีพยักหน้า
หลังจากเงียบไปเกือบนาที เสียงทุ้มต่ำของเห้อเสียงก็ดังขึ้นอีกครั้ง ครั้งนี้มีเสียงของความตื่นเต้นที่ควบคุมไม่ได้อยู่หลายส่วน “ที่เธอให้ฉันอ่านนี่เป็นความจริงอย่างนั้นเหรอ”
ดูเหมือนว่าจ้าวจิ้งกำลังเก็บโทรศัพท์กลับมา หลังจากผ่านไปสักพักก็ตอบกลับไปว่า “ฉันจะโกหกคุณให้ได้อะไร คุณลองไปถามผู้คุมเรือนจำก็จะได้รู้ว่าเป็นความจริง”
เสียงของเห้อเสียงสูงขึ้นอีกนิด “เธอเป็นตัวแทนของใครกันแน่”
จ้าวจิ้งตอบอย่างใจเย็น “ถ้าคุณยอมตกลงว่าจะนึกถึงเรื่องเมื่อหนึ่งปีก่อนออกมาให้ได้ ฉันก็สามารถบอกคุณได้”