Flash Marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน - ตอนที่ 1062
บทที่ 1062 คิดถึงจนลืมไม่ลง
ทั้งสองคนก็เลยเดินอยู่ข้างหน้าคนและเดินอยู่ข้างคนและเดินออกไปจากห้องนอน
“คุณวางรูปไว้ที่ไหน?” ฉินซีถาม
บนหน้าลู่เซิ่นมีรอยยิ้มเผยออกมา:”คุณตามผมมาก็แล้วกันนะ”
ฉินซีก็พูดไม่ถูกว่าทำไมตัวเองถึงได้ตื่นเต้นกับผลงานชิ้นนี้นัก
น่าจะเป็นเพราะว่า………ในความทรงจำของเธอ เพียงแค่บันทึกผลงานชิ้นนี้ไว้อย่างเบลอๆ แต่ว่าแม้แต่ตัวเองถ่ายออกมาเป็นหน้าตายังไง เธอก็จำไม่ได้แล้ว
ตอนที่เธอออกมาจากบ้านตระกูลฉิน เพราะว่าย้ายออกมาอย่างเร่งรีบ และบ้านใหม่ก็เล็กอีกต่างหาก รูปที่ถ่ายไว้เยอะมากล้วนเก็บไว้ที่บ้านตระกูลฉินจึงไม่ทันได้นำออกไป
เพราะฉะนั้นสำหรับรูปถ่ายที่ฉินซีถ่ายไว้ในอดีต เธอประหลาดใจมาโดยตลอด
ครั้งนี้มีโอกาสได้เห็นรูปถ่ายรูปนึง จึงตื่นเต้นเป็นธรรมดา
ฉินซีคิดไปด้วยอย่างใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว และเดินตามฝีเท้าของลู่เซิ่นไปด้วยอย่างไม่รู้ตัว
ตอนที่ลู่เซิ่นหยุดนิ่ง เธอเงยหน้าขึ้นมาเห็นปุ๊บ ประหลาดใจมากเลยทีเดียว:”…………คุณถึงกับเก็บไว้ในห้องหนังสือเลยหรอ?”
บนหน้าของลู่เซิ่นมีรอยยิ้มจางๆ:”ก่อนหน้านี้ผมประหลาดใจมาโดยตลอด ทำไมคุณไม่มีปฏิกิริยาใดๆกับรูปนี้ ตอนนี้ผมเพิ่งจะรู้สาเหตุ”
เขาพูดไปด้วย และผลักประตูห้องหนังสือไปด้วย
จำนวนครั้งที่ฉินซีมาในห้องหนังสือลู่เซิ่นไม่มากนัก มาทุกครั้งน้อยมากที่จะสังเกตดูรอบๆ
นี่เป็นครั้งแรก หลังจากเข้ามาเเล้ว ได้สังเกตรอบๆแบบจริงๆจังๆ
แต่ว่าเธอหาไม่นานนัก ก็หารูปถ่ายที่ลู่เซิ่นพรรณนารูปไว้เจอแล้ว
แขวนอยู่ตรงข้ามของโต๊ะทำงาน ที่ที่โจ่งแจ้งมาก
ลู่เซิ่นถือว่ามีการวิจัยต่อผลงานศิลปะบ้าง ผลงานศิลปะที่ราคาแพงมหาศาลวางอยู่ในห้องหนังสือไม่น้อยเลยทีเดียว ทำไมฉินซีมองผลงานรูปถ่ายของตัวเองที่ยังละอ่อนถูกแขวนไว้ระหว่างของโบราณพวกนี้ แก้มถึงได้แดงก่ำแบบเขินอาย
แต่ว่าสีหน้าท่าทางของลู่เซิ่นกลับตรงไปตรงมา ผลักหลังของฉินซี:”อยากดูไม่ใช่หรอ? เดินเข้าไปดูสิ”
ก่อนที่ฉินซีจะเดินไปถึงรูปถ่ายรูปนั้นในไม่กี่ก้าว จึงหยุดนิ่ง
เมื่อก่อนเธอไม่เคยสังเกตรูปถ่ายรูปนี้เลย เป็นเพราะว่ามันไม่เป็นที่สะดุดตาจริงๆ
แต่ว่าคราวนี้รู้ว่าเป็นผลงานของตัวเองแล้ว กลับไปดูอีกครั้ง จู่ๆฉินซีก็รู้สึกว่า ในรูปถ่ายมีความรู้สึกอย่างนึงที่แตกต่างกัน
วิธีการถ่ายละอ่อนมาก การจัดการภายหลังก็ไม่ละเอียดพอ แต่ว่าฉินซีสามารถดูออก ตอนที่ตัวเองถ่ายรูปรูปนี้ ความรู้สึกในการถ่ายภาพ ต้องกระตือรือร้นแน่นอน
ลมเป็นฟองสบู่ที่เป่าออกมาจากมือของเด็กน้อย เป็นความรู้สึกที่กระปรี้กระเปร่า เป็นสีสันที่สวยสดงดงาม
ถ้าหากตอนนี้เปลี่ยนเป็นเธอมาถ่ายหัวข้อเรื่องนี้ องค์ประกอบอาจจะมีความเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น แต่ว่าหาความรู้สึกที่เหมือนกับดิ้นรนที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปแบบนั้นไม่เจออีกแล้ว
ตัวเองที่สามารถถ่ายผลงานแบบนี้ออกมา เป็นจริงอย่างที่ออกมาจากปากของลู่เซิ่น และเป็นตัวเองที่ช่วยเหลือคนอื่นก่อนคนนั้น
“คดีระเบิดหลังจากนั้นหล่ะ ตรวจสอบชัดเจนหรือยัง?” เธอดูผลงานตัวเองอยู่ จู่ๆก็เอ่ยปากถามขึ้นมา
ลู่เซิ่นคิดไม่ถึง แต่ก็ยังตอบคำถามที่ถามขึ้นมาอย่างกะทันหันของเธอ:”ตรวจสอบชัดเจนแล้ว เป็นคดีที่เตรียมการเอาไว้ล่วงหน้า เพียงแต่ว่าคดีนี้ความจริงได้ถูกพบล่วงหน้าแล้ว ระเบิดวางอยู่ที่ที่สำคัญในหอศิลป์ล้วนถูกแกะออกมาล่วงหน้า โคมไฟที่วางอยู่ในนิทรรศการชิ้นนั้น เป็นเพราะว่าไม่ดึงดูดสายตาคนเลยจริงๆ เพราะฉะนั้นจึงถูกมองข้ามไป”
“แต่ว่ามีเสียงปืนไม่ใช่หรอ?” ฉินซีหันหน้าไปมองลู่เซิ่น” เรื่องราวยังไงกันแน่?”
” คนที่วางแผนคดีนี้ได้เตรียมการเอาไว้ล่วงหน้า พบว่าระเบิดที่วางไว้ล่วงหน้าถูกแกะออกมาเรียบร้อยแล้ว จึงโมโหมากๆ ไม่สนใจอะไรทั้งสิ้นก็จะขนระเบิดมาติดตั้งใหม่อีกครั้ง ต่อสู้กับผู้รักษาความปลอดภัย ถึงได้มีการเคลื่อนไหว” ลู่เซิ่นตอบอย่างครบถ้วน
ฉินซีพยักหน้า:” ถ้างั้นเสียงระเบิดข้างนอกหล่ะ ก็เป็นพวกเขาทำขึ้นมาเองแหละ?”
ลู่เซิ่นพยักหน้า:” เพียงแต่ว่าการรักษาความปลอดภัยของหอศิลป์ยังถือว่าใช้ได้ทีเดียว ระเบิดที่พวกเขาจะทำการระเบิดอย่างใจจดใจจ่อและรีบร้อนนั้นไม่ได้ก่อให้เกิดความตายหรือได้รับบาดเจ็บอะไร การบาดเจ็บที่ก่อขึ้นมา กลับเป็นกระจกแก้วในนิทรรศการหลักที่กระเด็นออกมาจนทำให้ได้รับบาดเจ็บ คนพวกนั้นที่วางแผนคดีนี้ก็ถูกจับได้โดยเร็ว”
สายตาของฉินซีย้ายออกไปจากรูปถ่ายตัวเอง และหันไปทางลู่เซิ่น:” เพียงแต่ว่าน่าเสียดาย ฉันจำอะไรไม่ได้เลย สำหรับการสงสัยทุกอย่างที่คุณมีต่อฉัน ฉันก็ตอบคุณไม่ได้เช่นกัน”
ลู่เซิ่นเดินไปที่ข้างหลังของเธอ โอบกอดเธอไว้ในอ้อมกอดตัวเอง:” ไม่เป็นไร ผมรู้ว่าคุณเป็นคนดี ก็พอเเล้ว”
ฉินซีล้อเล่น:”ไม่แน่นะ ฉันอาจจะเป็นคนพวกเดียวกันกับคนพวกนั้นก็ได้
ลู่เซิ่นกลับส่ายหน้า:”ต่อให้ใช่ ก็ไม่เป็นไร”
ฉินซียักคิ้วปุ๊บ ดิ้นรนออกมาจากอ้อมกอดของเขา และหันหน้าไปทางเขา:” เราเคยเจอกันแค่ครั้งเดียว คุณก็คิดถึงฉันจนลืมไม่ลงขนาดนี้เชียว?”
ลู่เซิ่นหัวเราะเบาๆ:” ถ้าหากวันนั้นคุณบอกกับผม ว่าคุณชื่ออะไร ผมก็อาจจะไม่คิดถึงคุณอยู่เสมอหรอก”
ฉินซีหัวเราะตามด้วย:”ถ้างั้นก็ค่อยยังชั่ว ฉันไม่ได้บอกกับคุณ
…………..
หลินหยังทำงานเรียบร้อยมาก เช้าวันที่สอง ลู่เซิ่นอยู่ในห้องนอนของตัวเอง ก็ได้เห็นรูปถ่ายที่ห่อเอาไว้เรียบร้อย
ลู่เซิ่นพยักหน้าให้กับหลินหยัง ถามอย่างไม่ได้ตั้งใจว่า:”นายได้ถามรึเปล่า ช่างกล้องที่ถ่ายรูปรูปนี้เป็นคนไหน?”
หลินหยังฟังปุ๊บก็รู้เลยว่า ลู่เซิ่นมีจุดประสงค์อื่นๆ
แต่ว่าต่อให้เขาได้รู้ล่วงหน้าว่าลู่เซิ่นสนใจข้อมูลเอกสารของช่างกล้องก็ตาม กลับตรวจสอบอะไรที่มีประโยชน์ไม่ได้
เขาได้แต่ก้มหน้าลง และส่ายหน้า:” ผมได้ถามแล้วครับ ผู้จัดงานทางโน้นพูดว่า ผลงานชิ้นนี้เป็นของที่บริจาค รายได้ที่ได้มาจะให้กับมูลนิธิการกุศล เพราะฉะนั้นจึงติดต่อช่างกล้องไม่ได้ ผลงานผ่านการส่งจากไปรษณีย์เพื่อมาเข้าร่วมนิทรรศการ ผู้จัดงานทางโน้นก็มีวิธีการติดต่อกับช่างกล้องผ่านจากอีเมล์เท่านั้นเองครับ”
“ชื่อก็ไม่มี? “ลู่เซิ่นประหลาดใจ
หลินหยังพยักหน้า:” ไม่ได้บอกชื่อ”
” เอาหล่ะ ฉันรู้แล้ว”ลู่เซิ่นผายมือ หลินหยังออกไปจากห้องนอนอย่างรู้ตัว
ลู่เซิ่นเอาอีเมล์นั้นไว้ในมือ ลังเลอยู่สักพัก โทรศัพท์ไปให้กับหลินยี่
” หลินยี่ ฉันอยากให้คุณช่วยตรวจสอบคนคนนึง………”
………
ฉินซีจ้องตาโต:”ทำไมคุณไม่ให้คนที่บ้านช่วยตรวจสอบหล่ะ?”
ลู่เซิ่นยิ้มแย้ม:”คุณใจร้อนจนอยากให้พ่อแม่ผมรู้ตัวตนของคุณเร็วขนาดนี้เชียว?
ฉินซีหุบปากในทันทีทันใด
ลู่เซิ่นกลับไม่ปล่อยเธอ พูดต่อไปว่า:” ถ้าหากผมใช้อินเทอร์เน็ตที่บ้านตรวจสอบคุณ ไม่ถึงสิบนาที พ่อแม่ผมก็รู้ทันที ว่าผมกำลังหาข่าวคราวของผู้หญิงคนนึงอยู่ พ่อแม่ผมอาจจะหาคุณเจอเร็วกว่าผมเสียอีก ถือธนบัตรและแกว่งไปแกว่งมาสั่งให้คุณอยู่ห่างจากผมไกลๆ”
ฉินซีคิดถึงเหตุการณ์แบบนี้ อดที่จะหัวเราะตามด้วยไม่ได้:” คุณว่าแม่คุณแบบนี้ไม่ดีนะ”
ลู่เซิ่นยักไหล่:” แต่ว่า……ถ้าหากผมใช้อินเตอร์เน็ตที่บ้าน อาจจะหาคุณเจอตั้งนานแล้ว และเราได้รู้จักกันตั้งนานแล้วด้วยซ้ำ ซึ่งก็จะไม่มีเรื่องมีราวเกิดขึ้นตั้งมากมายในภายหลัง”
รอยยิ้มที่หน้าของฉินซีแข็งทื่อ ค่อยๆจางหายไป
ถ้าหากพบเจอกับลู่เซิ่นเร็วอีกหน่อย เธออาจจะรับตัวเหยาหมิ่นออกมาจากบ้านตระกูลฉิน ก็จะได้ไม่มีเรื่องทุกอย่างในภายหลังแล้ว
แต่ว่า….. ชีวิตคนไม่มีถ้าหาก
ยิ่งไปกว่านั้น เธอในตอนนั้น ยังคบกับหซู่หนานอยู่
แต่ว่าคำพูดนี้ ฉินซีคิดอยู่ในใจตัวเองก็พอแล้ว
ถ้าหากให้ลู่เซิ่นได้ยิน ไม่แน่อาจจะโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ