Flash Marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน - ตอนที่ 1101
บทที่ 1101 วัวสันหลังหวะ
สีหน้าอาสามชะงักงัน น้ำเสียงก็นิ่มนวลขึ้น : “ที่พวกเรามาถามก็เพราะเป็นห่วงลู่เซิ่น เนื่องจากเขาไม่ได้อยู่เมืองหนานมานาน นิสัยใจคอของหญิงสาวที่หมายปองไว้ก็คงรู้ดีไม่เท่าพวกเรา อีกอย่างถ้าเขาขอหญิงสาวแต่งงานสำเร็จ อย่างนั้นเรื่องแต่งงานก็คงไม่พ้นให้ผู้ใหญ่จัดการ ขั้นตอนพิธีต่างๆของการแต่งงานบ้านตระกูลลู่นั้นยุ่งยากมาก พวกเราก็เลยต้องเตรียมพร้อมไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ คุณบอกฉันเถอะ ลู่เซิ่นไม่ว่าอะไรคุณหรอก”
แต่ว่าท่าทีหลินหยังยังคงดึงดัน ส่ายหน้ายิ้มอย่างนอบน้อม : “ไม่ใช่ว่าผมไม่อยากบอกท่าน แต่ผมนั้นก็ไม่ทราบจริงๆครับ”
อาสามมีสีหน้าเข้มทันที
เขาเข้าใจเป็นอย่างดี ว่าหลินหยังคนนี้เป็นผู้ช่วยที่ติดตามลู่เซิ่นมานาน เรื่องของลู่เซิ่นบางทีเจ้าตัวยังรู้ดีไม่เท่าผู้ช่วยคนนี้ด้วยซ้ำ
แต่ตอนนี้กลับมาบอกว่าเขาไม่รู้เรื่อง?
อาสามไม่พอใจที่ถูกลู่เซิ่นหลอกให้ตกหลุมพรางต่อหน้าผู้คน ตอนนี้ยังต้องมาอยู่กับหลินหยังด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มอยู่นานสองนาน หลินหยังก็ยังมาทำเสแสร้งอีก เป็นธรรมดาที่ในใจเขาจะรู้สึกไม่พอใจ น้ำเสียงก็เลยรุนแรงไปหน่อย “ผู้ช่วยหลิน คุณติดตามอยู่ข้างกายลู่เซิ่น การให้ความซื่อสัตย์ภักดีต่อลู่เซิ่นนั้นเป็นเรื่องที่ดี แต่ว่าอย่าเป็นคนหัวโบราณมากไป ทั้งหมดนี้ก็เพื่อหวังดีกับลู่เซิ่น อะไรที่ไม่ใช่ พวกผู้ใหญ่ย่อมรู้ดีกว่าคุณ”
หลินหยังถอนหายใจอยู่ในใจ
ครั้งนี้เขาไม่ได้เสแสร้ง แต่เขานั้นไม่ทราบจริงๆ
เมื่อเช้าตอนที่ลู่เซิ่นออกมาจากห้องของหลินยี่นั้น เขาไม่มีการพูดเรื่องไร้สาระแม้แต่ประโยคเดียว มีเพียงต้องการให้จัดเตรียมเครื่องบินเพื่อบินไปเมืองหนาน เขายังคิดว่ามีเรื่องสำคัญให้ต้องจัดการ ดังนั้นจึงได้รีบจัดเตรียมให้ทันที
แต่ในระหว่างทางลู่เซิ่นอยากกลับบ้านอีก ทั้งโอบกอดกับฉินซีอีกทั้งยังกล่าวคำล่ำลา ทำให้เสียเวลาไปไม่น้อยก่อนที่จะขึ้นเครื่องบิน เดิมทีก็ทำให้หลินหยังเกิดความสงสัยอยู่แล้วว่าที่ลู่เซิ่นมาเมืองหนานนั้น มีเรื่องเร่งด่วนจริงๆหรือ
แต่ว่าหลังจากที่ออกจากรีสอร์ทชิงหยวน เห็นได้ชัดว่าลู่เซิ่นมีอารมณ์ไม่ดี หลินหยังก็ไม่อยากหาเรื่องใส่ตัว จึงไม่ได้ถามอะไร
คิดไม่ถึงว่าเมื่อลู่เซิ่นลงจากเครื่องบินแล้ว เขาได้ปล่อยระเบิดด้วยคำพูด : เขาจะขอแต่งงาน
อย่าว่าแต่ผู้อาวุโสที่อยู่ตรงหน้าเลย แม้แต่หลินหยังในหัวสมองก็มีแต่เครื่องหมายคำถาม
ขอแต่งงาน? ขอใคร? ทำไม?
ก็เห็นอยู่โทนโท่ว่าก่อนขึ้นเครื่องบินลู่เซิ่นยังโอบกอดกับฉินซีอยู่ ด้วยใบหน้าท่าทีที่ไม่อยากจะจากลา ทำไมเพียงแค่สิบกว่าชั่วโมงหลังจากนั้น ถึงได้อยากมาหาคนแต่งงานที่เมืองหนานด้วย
แต่ด้วยความเป็นมืออาชีพของหลินหยัง ทำให้เขาสามารถรักษาใบหน้าให้เรียบนิ่งได้ ไม่เสียอาการเหมือนกับอาสาม
แต่แล้วกลับคิดไม่ถึงว่าอาสามจะมาถามเขาถึงที่
…..ท่านอย่าได้ถามอีกเลยครับ ผมไม่ทราบจริงๆ
หลินหยังถอนหายใจอยู่ในใจ เขาทราบดีว่าอาสามนั้นปักใจเชื่อไปแล้ว เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะไม่ทราบเรื่องราว คำพูดนี้ถ้าได้พูดออกไป เกรงจะทำให้เขายิ่งรู้สึกว่าตัวเองนั้นดูเสแสร้งยิ่งกว่าเดิม
เพราะถึงอย่างไรหลินหยังก็ไม่ใช่ลู่เซิ่น ลู่เซิ่นสามารถเพิกเฉยต่อผู้อาวุโสเหล่านี้ได้ แต่หลินหยังนั้นทำไม่ได้
เขาครุ่นคิดอยู่สองสามวินาที ก้มสายตาต่ำลง น้ำเสียงนุ่มนวลขึ้น : “อาสามครับ ท่านอย่าทำให้ผมลำบากใจเลยครับ เพราะถึงอย่างไรก็เป็นเรื่องส่วนตัวของประธานลู่ ถ้าพวกท่านทราบเรื่อง ประธานลู่จะทราบได้ทันทีว่าหลุดมาจากผมอย่างแน่นอน และที่ผมติดตามประธานลู่ก็เพื่อมีข้าวไว้ประทังท้อง…..”
เมื่อเห็นใบหน้าที่ทุกข์ใจของเขา อาสามก็ได้ถอนหายใจยาวๆ และเห็นอกเห็นใจหลินหยังทันที
พวกเขาคลุกคลีกับลู่เซิ่นแค่เพียงชั่วครั้งชั่วคราวยังรู้สึกอึดอัดไปทั้งตัว แต่ผู้ช่วยคนนี้ติดตามลู่เซิ่นมานานนับหลายปี ก็คงได้รับความทุกข์ทรมานอยู่ไม่น้อย
ครั้นแล้วอาสามก็ไม่ได้ถามเพิ่มอีก เพียงยื่นมือมาตบที่ไหล่เขาเบาๆ : ช่างเถอะๆ ฉันก็ไม่ได้มาเพื่อทำให้คุณลำบากใจ คุณพักผ่อนไปเถอะ ฉันจะกลับแล้ว
หลินหยังจึงมาส่งพวกเขาถึงหน้าประตูอย่างนอบน้อม เมื่อประตูปิดลง เขาก็ยิ้มขึ้นทันที
อาสามคนนี้ยังมาถามตัวเองถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น หรือว่า…..ตัวเองต้องไปถามลู่เซิ่นจริงๆ
…..
และแน่นอนว่าหลินหยังในฐานะผู้ช่วยที่ทรงคุณวุฒิ สุดท้ายก็ไม่ได้ถามเรื่องส่วนตัวของลู่เซิ่น
แต่กลับเป็นลู่เซิ่นเองที่เปิดเผยปริศนานี้
หลังจากนั้นหนึ่งชั่วโมง ตอนที่หลินหยังได้มาเคาะประตูห้องนอนของลู่เซิ่นเพื่อปลุกเขาตื่น
ปรากฏว่าเขานั้นได้ตื่นจากที่นอนแล้ว
ท่าทีลู่เซิ่นยังคงดูนิ่งๆ แต่ได้ยื่นเอกสารให้เขา : “คุณไปสืบค้นเวินจิ้งให้ที”
หลินหยังรีบทำการสแกนข้อมูลในหัวสมองทันที จากนั้นนึกขึ้นได้——เวินจิ้ง น้องสาวของหลินยี่
เมื่อเช้าลู่เซิ่นออกมาจากห้องผู้ป่วยของหลินยี่ จากนั้นก็มาเมืองหนาน เมื่อลงจากเครื่องบินก็บอกว่าจะขอแต่งงาน เมื่อตื่นขึ้นมาก็บอกให้ตามหาน้องสาวของหลินยี่
…..ตอนนี้ทุกอย่างได้เชื่อมต่อกันหมดแล้ว
คู่ครองที่ลู่เซิ่นต้องการจะขอแต่งงาน ชัดเจนว่าเป็นเวินจิ้งคนนี้
หลินหยังถอนหายใจเฮือกหนึ่งในใจ
เขาติดตามลู่เซิ่นมานมนาน เมื่อสองปีก่อนจู่ๆลู่เซิ่นก็ตามหาฉินซีอย่างบ้าคลั่งเหมือนกัน จากนั้นก็ไปประเทศF เพื่ออยู่กับฉินซี แต่งงานกัน แล้วก็หย่ากัน จากนั้นก็อยู่ด้วยกันอีก
ลำบากลำบนกันมาขนาดนี้ เขายังคิดว่าในที่สุดลู่เซิ่นกับฉินซีก็สามารถลงเอยกันได้สักที แต่กลับไม่คาดไม่ฝันว่า ผลลัพธ์ที่ได้ที่คือข่าวของลู่เซิ่นขอเวินจิ้งแต่งงาน
แต่เขาก็ไม่ได้แสดงท่าทีใดๆออกมา เพียงแค่พยักหน้าตอบรับ หยิบเอกสารแล้วก็ออกไป
ลู่เซิ่นมองดูประตูที่เปิดออกแล้วก็ปิดลง จากนั้นก็ค่อยๆหรี่ตาลง ทันใดนั้นเหมือนนึกอะไรขึ้นได้ เงยหน้าขึ้นทันที แล้วรีบหยิบโทรศัพท์ที่วางอยู่บนหัวเตียง
——ปิดเครื่องจริงๆด้วย
ลู่เซิ่นใจเต้นตึกๆ ไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆจิตใจรู้สึกกระวนกระวาย เหมือนมีบางอย่าง…..ทำให้รู้สึกว่าตัวเองได้พลาดเรื่องสำคัญไป
ครั้นแล้วเขาจึงได้เร่งรีบเปิดเครื่องโทรศัพท์
เพียงแค่รอไม่กี่วินาทีเพื่อให้โทรศัพท์เปิดขึ้น ก็กลายเป็นเรื่องที่ยากเย็นไปเสียแล้ว
เมื่อโทรศัพท์เปิดขึ้น เขาก็รีบเปิดดูกล่องข้อความ ทำการรีเฟรชอยู่หลายครั้ง
——ไม่มีข้อความใหม่
ลู่เซิ่นถึงได้ถอนหายใจโล่งอย่างช้าๆ
ตามเวลาที่ประเทศF ตอนนี้ยังเป็นช่วงกลางดึก ไม่มีเหตุผลที่ฉินซีจะไม่หลับไม่นอน หรือตอบข้อความกลับให้ตัวเองดึกดื่นเที่ยงคืน
ความรู้สึกระแวดระวังของตัวเองเช่นนี้ ดูเหมือนกับ…..วัวสันหลังหวะอย่างไรอย่างนั้น
เมื่อสำนวนสุภาษิตนี้ได้แวบเข้ามาในหัวของลู่เซิ่น ใบหน้าก็มีรอยยิ้มขื่นๆออกมา
เขาได้เริ่มแล้ว ก็ไม่อาจจะหยุดได้
สิ่งที่เขาทำได้ในตอนนี้คือ ทำทุกอย่างให้สำเร็จโดยเร็วที่สุด จากนั้นก็รีบกลับไปหาฉินซี แล้วบอกความจริงให้เธอ
…..
แต่ไหนแต่ไรหลินหยังทำงานได้มีประสิทธิภาพมาก หลังจากครึ่งชั่วโมงผ่านไป ข้อมูลที่เกี่ยวกับเวินจิ้งก็ได้ถูกวางไว้ตรงหน้าของลู่เซิ่น
ข้อมูลของเวินจิ้งกับเรื่องราวที่ประสบพบเจอในชีวิต ลู่เซิ่นนั้นข้ามผ่านไปไม่ดู เพราะเขาไม่ได้สนใจอยากรู้จริงๆ
เมื่อเปิดถึงเนื้อหาที่เวินจิ้งเข้าเรือนจำ เขาถึงจะเริ่มทำการอ่านอย่างจริงจัง
ชนแล้วหนี ไม่เพียงแต่ชนโดนคน ชนแล้วยังไม่ลงจากรถเพื่อให้ความช่วยเหลืออีก อีกทั้งยังถูกกล้องวงจรปิดบันทึกใบหน้าได้อย่างชัดเจน ถึงได้ถูกจับเข้าเรือนจำ
ดูเหมือนคดีนี้หลักฐานพยานครบถ้วน ไม่มีทางที่คดีจะพลิกได้ หลังจากนี้อีกสองวันก็เป็นเวลาขึ้นศาล
เวลาของเขาเหลือไม่มากแล้ว
แววตาลู่เซิ่นค่อยๆหม่นลง
สถานการณ์ตอนนี้ เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะทำตามขั้นตอน ค่อยๆสืบหาว่าหลักฐานนั้นได้สร้างขึ้นมาหรือไม่ พยานนั้นเป็นพยานเท็จหรือเปล่า
เขาจะต้องหาวิธีพบเวินจิ้งให้ได้ก่อนที่จะขึ้นศาล จากนั้นค่อยใช้กลอุบายพาเธอออกมาก่อน
จากนั้นค่อยไปสู้คดีกันที่ศาลอีกที