Flash Marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน - ตอนที่ 1130
บทที่ 1130 จ้านเซินในวัยเด็ก
“ฉินซี เป็นเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ส่งเธอไปที่นั่นทำอะไร!” คุณปู่โกรธจัดจ้องเขม็ง “ที่นั่นมันดีตรงไหน”
“พ่อ!” ฉินซึ่งเทียนไม่ยอมอ่อนข้อ “งั้นพ่อต้องไปโทษเหยาหมิ่น! พวกเราสองคนมีลูกสาวคนเดียว ได้แต่เลี้ยงแบบเด็กผู้ชาย! ที่นี่ เมืองAตระกูลที่มีหน้ามีตาก็ส่งลูกไปค่ายฝึกทั้งนั้น ผมให้ลูกไปรู้จักกับเด็กพวกนั้นก่อนผิดตรงไหน! ต่อไปก็ต้องเป็นเพื่อนกัน! อีกอย่าง ถึงฉินซีเป็นเด็กผู้หญิงแล้วยังไง ไปค่ายฝึกเรียนป้องกันตัวเองสักหน่อย ไม่เห็นเสียหายตรงไหน!”
คุณปู่กระแทกไม้เท้า “แกมันยโส! ฉินซึ่งเทียน! เพื่อหน้าตาของแก ขนาดลูกสาวยังไม่สนใจ!”
ฉินซึ่งเทียนเห็นว่าโน้มน้าวใจคุณปู่ไม่ได้ ลุกพรวด “พ่อ ผมบอกแล้วไง พ่อไม่เข้าใจ! คอนเนคชั่นสำคัญมาก ผมทำเพื่อตัวเองหรือไง ผมกำลังปูทางอนาคตให้ฉินซี! แค่ทำความรู้จักไว้ผิดหรือไง ผมสมัครให้ลูกแล้ว อีกไม่กี่วันก็จะส่งเธอไป! พ่อไม่ต้องพูดแล้ว!”
เขาหันมาจะเดินมาทางที่ฉินซีซ่อนตัวอยู่ ดีที่คุณปู่พูดอีกครู่หนึ่งทำให้เขาหยุดอยู่ที่เดิม
ฉินซีรีบวิ่งออกไปจากที่ซ่อนเบาที่สุด
ในที่สุดก็หาเจอที่ปลอดภัยหน่อย เธอค่อยมีเวลาคิดถึงเรื่องที่เพิ่งจะได้ยินคุณปู่ทะเลาะกับฉินซึ่งเทียน
ฟังแล้วเหมือนกับ… ฉินซึ่งเทียนจะส่งเธอไปที่แห่งหนึ่งเรียกว่าค่ายฝึก แต่คุณปู่ไม่เห็นด้วย
ตอนฉันอายุสิบขวบ เคยไปค่ายฝึกด้วยหรือ
ฉินซีเอียงศีรษะครุ่นคิดครู่หนึ่ง แต่เรื่องตอนอายุสิบขวบผ่านมานานเหลือเกิน เธอคิดเรื่องที่มีประโยชน์ไม่ออก ในหัวมีแต่ความสับสน
เธออยากจะคิดต่อ แต่ที่ประตูมีคนเรียกเธอ คงจะเรียกไปกินข้าว ความคิดของฉินซีถูกขัดจังหวะ กำลังจะลุกขึ้นเดินไปข้างนอก ทันใดนั้นก็เหมือนหลุดเข้าไปในพายุหมุน
ฉากรอบตัวเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน เธอสังเกตไปรอบๆ พบว่าตัวเองนั่งอยู่บนรถบัสโยกเยก
ก้มลงมอง ตัวเองสวมเสื้อลายพรางทหารตัวเล็ก คนที่นั่งรอบข้าง เป็นเด็กอายุพอๆ กับเธอ สวมเสื้อลายพรางทหารทุกคน ส่วนใหญ่เป็นเด็กผู้ชาย มีเด็กผู้หญิงไม่กี่คน
ท้องฟ้านอกหน้าต่างรถค่อนข้างมืดแล้ว เด็กๆ น่าจะนั่งในรถบัสมานาน ใบหน้าอ่อนล้าอย่างเห็นได้ชัด มีหลายคนนอนหลับในรถที่สั่นคลอน
ฉินซีเข้าใจ คงจะเป็นเพราะในที่สุดคุณปู่ห้ามฉินซึ่งเทียนไม่ได้ ตัวเองยังคงถูกฉินซึ่งเทียนส่งไปสถานที่เรียกว่าค่ายฝึก
เธอกำลังนึกย้อนความทรงจำ รถก็เลี้ยวโค้งสุดท้าย หยุดจอดที่แห่งหนึ่ง
เด็กผู้หญิงที่นั่งข้างเธอลืมตาตื่น ดวงตาสะลึมสะลือเงยหน้ามอง “ถึงแล้วหรือ”
ฉินซีพบว่าตัวเองพยักหน้าโดยที่ควบคุมตัวเองไม่ได้ และยังใช้เสียงของเด็กหญิงอายุสิบขวบตอบ “น่าจะถึงแล้วมั้ง!”
ฉินซีเข้าใจแล้ว เธอไม่ได้กลับมาตอนอายุสิบขวบจริงๆ ถ้าจะอธิบาย เธอเหมือนวิญญาณล่องลอย มาอยู่ในร่างของตัวเองในอดีต จึงสามารถใช้สายตาของตัวเองสังเกตทุกอย่างที่เกิดขึ้นรอบตัว
ฉินซีที่อายุสิบขวบเพิ่งจะตอบคำถาม ประตูหน้าของรถบัสก็ถูกเปิด ผู้หญิงวัยกลางคนเดินขึ้นมา
“ทุกคนเข้าแถว ลงมาทีละคน!”
เด็กๆ ลุกขึ้นตามคำสั่ง ฉินซีก็ลุกขึ้นเช่นกัน เดินออกจากรถบัสตามแถวไป
รถจอดในหุบเขาแห่งหนึ่ง สิ่งที่อยู่ตรงหน้าพวกเขา คือค่ายฝึกทหาร มองเห็นกลุ่มคนฝึกฝนอย่างเป็นระเบียบอยู่ไกลๆ และยังท่องคำขวัญพร้อมเพรียงกัน
ฉินซีขมวดคิ้วครุ่นคิด ทำไมจำไม่ได้ว่าตัวเองเคยมาสถานที่ฝึกทางทหารตอนอายุสิบขวบ
ไม่รอให้เธอคิดถึงเรื่องอะไรที่สำคัญ ก็มีคนเป่านกหวีด ดึงความสนใจของฉินซี
เมื่อเธอเงยหน้าขึ้นมา หัวใจก็บีบตัวอย่างแรง
คนที่ยืนข้างคนเป่านกหวีด เห็นชัดว่าก็คือ จ้านเซินในวัยเด็ก
ฉินซีไม่มีทางจำผิดแน่ แม้ว่าตอนนี้ผิวของจ้านเซินยังไม่คล้ำมาก โครงหน้าก็ยังไม่คมเข้ม ร่างกายก็ไม่กำยำแตกต่างจากตอนนี้มาก ยังคงผอมบางเหมือนเด็กวัยสิบกว่าขวบ แต่ใบหน้ายังมีเค้าหน้าปัจจุบัน
ทำไมจ้านเซินมาอยู่ที่นี่
ฉันเคยรู้จักจ้านเซินมาก่อนจริงๆ หรือนี่
ในหัวของฉินซีสับสน ทันใดนั้นนึกสงสัยคำพูดของจิตแพทย์ที่โรงพยาบาลคนนั้น
ตามที่หมอคนนั้นอธิบาย ความทรงจำของเธอหายไปเพราะเห็นแม่กระโดดตึก รับความกระทบกระเทือนไม่ไหวจึงสร้างการปิดกั้น สมองปกป้องตัวเอง กระทั่งสูญเสียความจำส่วนใหญ่
ความทรงจำที่ถูกลืมส่วนใหญ่เป็นช่วงหลังจากฉินซีโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว อย่างน้อยไม่น่าห่างจากช่วงที่ถูกกระทบกระเทือนมากนัก
แต่ถ้าความทรงจำช่วงนี้เป็นความจริง หมายความว่าเธอสูญเสียความทรงจำช่วงสิบขวบ
ตรงข้ามกับการวินิจฉัยของหมอคนนั้น
อย่างน้อย ก็พิสูจน์แล้ว การสูญเสียความทรงจำของฉินซีไม่ใช่การปิดกั้นเพราะความเจ็บปวดแต่อย่างเดียว ไม่อย่างนั้นเธอคงไม่มีทางลืมเรื่องที่เกิดขึ้นตอนอายุสิบขวบ
ฉินซีรู้สึกสงสัยอยู่ในใจ
…ยังมีสาเหตุอะไรอีก ฉันเคยเจอกับเรื่องอะไรอีกนะ
แต่นี่เป็นเพียงความสงสัยของฉินซีคนปัจจุบัน ขณะที่ฉินซีอายุสิบขวบใบหน้าไร้เดียงสายืนอยู่ในแถว ฟังคนเป่านกหวีดแนะนำเรื่องที่ต้องปฏิบัติ
มีกลุ่มคนอายุราวสิบกว่าหลายคนยืนขนาบข้างซ้ายขวาของคนเป่านกหวีด จ้านเซินเป็นคนหนึ่งในนั้น แต่ฉินซีมีความรู้สึกว่าจ้านเซินแตกต่างจากคนอื่น
หลังจากคนเป่านกหวีด แนะนำเรื่องที่ต้องปฏิบัติแล้ว ก็ให้ทุกคนแยกย้าย ไปหาหัวหน้ากลุ่มของตัวเอง
ฉินซียังอยากจะสังเกตจ้านเซินให้ละเอียดกว่านี้ แต่ก็ต้องจำใจเพราะตอนนั้นตัวเองไม่สนใจเด็กผู้ชายคนนี้สักนิดเดียว เมื่อได้ยินว่าเลิกแถว ก็จูงมือเพื่อนที่อยู่ข้างๆ เดินผ่านหลายคน สุดท้ายไปหยุดที่หน้าผู้หญิงคนเดียวในกลุ่มนั้น
ฉินซียืนกับที่ เงยหน้าประสานสายตากับผู้หญิงที่นำกลุ่มนั้น ในใจอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ
นี่ก็เป็นอีกคนที่คุ้นหน้า
ถังย่าที่อยู่ตรงหน้าอายุไม่น่าเกินสิบหก ใบหน้าอ่อนวัยกว่าตอนนี้มาก ริมฝีปากก็ไม่มีรอยยิ้มตามหน้าที่ อย่างที่ฉินซีเห็นจนเคยชิน แต่เป็นใบหน้าเย็นชา เหลือบตามองเด็กหญิงสองคนตรงหน้า น้ำเสียงก็เย็นชา “ชื่ออะไร”
ฉินซีพูดชื่อตัวเอง เด็กสาวข้างตัวเองก็บอกชื่อเช่นกัน ทั้งสองคนยืนรอครู่หนึ่ง จนพวกเด็กหญิงเดินมาครบ ทุกคนลงทะเบียนเรียบร้อยแล้วถังย่าเก็บสมุดทะเบียน กวาดตามองทุกคน สั่งน้ำเสียงเย็นชา “ทั้งหมดแปดคน แบ่งเป็นสองแถว แถวละสี่คน รีบตามมา” พอพูดจบ ก็ไม่สนใจปฏิกิริยาของทุกคน เดินเข้าไปข้างในทันที
ฉินซีที่อายุสิบขวบและเพื่อนข้างๆ ก็รีบเดินตามไป แต่ยังคงกวาดมองไปรอบๆ
การสังเกตไปรอบๆ นี้เอง ฉินซีในตอนนี้ถึงพบว่า เบื้องหน้าจ้านเซินยังมีอีกคนหนึ่ง