Flash Marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน - ตอนที่ 1147
บทที่ 1147 สร้างเรื่องใหญ่โตเพื่อตบตาผู้คน
เส้นเลือดสีเขียวที่ข้างหน้าผากของจ้านเซินกระตุกขึ้น ดูไปแล้วต้องใช้แรงมากมายถึงได้อดกลั้นอารมณ์ของตัวเองไว้ได้
“ฉินซี ฉันไม่สนว่าเธอจะเชื่อฉันหรือไม่” จ้านเซินสูดลมหายใจลึก ๆ เข้าไปทีหนึ่ง แล้วเปิดปากพูด “ที่ให้เธอมาสืบค้นนั้น เป็นความคิดของฉันเองคนเดียว”
ฉินซีขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย เหมือนอย่างกับว่ามีความไม่เข้าใจบางอย่างต่อสิ่งที่เขาพูด
แต่ว่าสุดท้ายก็ไม่ได้เปิดปาก
จ้านเซินก็เหมือนกับว่าไม่ได้สนใจ ยังคงพูดเองเออเองต่อไป “ฉันเห็นข่าวที่ฟางฟางเกิดเรื่อง ก็รีบวางแผนการที่จะช่วยเขาว่าจะช่วยยังไง วันนั้นตอนที่ฉันมาหาเธอ ก็เพิ่งจะรู้ข่าวมาหมาด ๆ เช่นกัน ”
ฉินซีหยีตาขึ้น ในที่สุดก็ทนไม่ไหวจึงเปิดปากถาม “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ งั้นทำไมตอนนี้คุณถึงได้……”
“ฉันพูดแล้วว่า พอฉันได้ยินข่าวปุ๊บก็ตัดสินใจทันที” จ้านเซินพูดขัดเธอขึ้น “แต่ว่าเธอยังจำได้ไหมว่าวันนั้นถามคำถามอะไรฉันไปบ้าง?”
ฉินซีขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย สุดท้ายก็พยักหน้าไปเบา ๆ
แน่นอนเธอจะต้องจำได้อยู่แล้ว
ฟางฟางทำไมถึงเกิดเรื่องได้นั้นเธอเองก็เต็มไปด้วยความสงสัย ยังถามคำถามกับจ้านเซินต่อกันไปตั้งหลายคำถาม ทำไมข่าวของฟางฟางถึงได้รั่วไหล? ทำไมถึงได้โดนจับไป?
“ฉันก็สงสัยเหมือนกัน” จ้านเซินมองฉินซี น้ำเสียงกลายเป็นเชื่องช้าลง “เพราะฉะนั้นหลังจากที่ฉันกลับไปแล้ว ก็ตรวจสอบอย่างจริงจังดูสักหน่อย”
คำพูดของเขาอยู่ ๆ ก็ขาดลงตรงนี้ เหมือนว่ามีอะไรจะพูด แต่กลับโดนตัวเขาเองกลืนกลับไป
“ผลของการสืบค้น……ฉันบอกเธอไม่ได้” จ้านเซินหรี่ตาลงต่ำ ไม่ได้สบตากับฉินซี “เธอรู้ไว้แค่ว่า ที่ฟางฟางตกอยู่ในสถานการณ์อย่างนี้ ไม่ใช่สิ่งที่ไม่คาดคิด เพราะฉะนั้นเธอไม่ต้องตามต่อแล้ว”
สีหน้าของฉินซีค่อย ๆ เย็นลงมา “ไม่ใช่สิ่งที่ไม่คาดคิดงั้นเหรอ? หมายความว่ายังไง? หรือว่ามีคนตั้งใจให้ฟางฟางโดนควบคุมตัวเหรอ?”
จ้านเซินไม่ได้พูดอะไร เพียงแต่จ้องมองเธอเท่านั้น
ฉินซีรู้สึกแค่ว่าหัวใจทั้งดวงค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นหนาวเหน็บ
“จ้านเซิน” เธอรู้สึกว่าในน้ำเสียงตัวเองเต็มไปด้วยความอ่อนล้า “เขาเป็นแม่ของคุณนะ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร ตอนนี้เขาตกอยู่ในอันตราย คุณก็แค่เพราะว่าเขาโดนปองร้ายอย่างจงใจ ก็จะยอมแพ้ที่จะช่วยเขาแล้วเหรอ?”
จ้านเซินเงียบอยู่นาน ถึงได้เปิดปากพูดเสียงต่ำขึ้น “ความหมายของจงใจคือ……ถึงแม้ว่าช่วยไปครั้งนี้แล้ว ครั้งหน้า เขาก็ยังจะตกไปอยู่ในสถานการณ์เช่นเดียวกันอีก”
แล้วจะไม่สามารถปกป้องเขาไว้ตลอดไปเลยเหรอ?
ฉินซีแค่รู้สึกว่าแรงโทสะอย่างหนึ่งพุ่งขึ้นมาในสมอง ตบโต๊ะทีหนึ่งแล้วก็ลุกยืนขึ้น
“คุณไม่ไปช่วยเขาใช่ไหม? ได้ งั้นฉันไปเอง!”
“ฉินซี!” น้ำเสียงของจ้านเซินก็เย็นเฉียบลงมา “อย่าใช้อารมณ์ในการแก้ปัญหา อย่าบุ่มบ่าม หลายปีมานี้องค์กรปลูกฝังเธอมาอย่างนี้เหรอ?”
ฉินซียิ้มเย็นขึ้นทีหนึ่ง “ใช่ซิ องค์กรที่มีคนแบบคุณเป็นผู้นำนี้ในหลายปีมานี้ ยังสามารถปลูกฝังคนแบบฉันมาได้คนหนึ่ง ฉันก็รู้สึกว่ามีความไม่อยากจะเชื่อขึ้นมาบ้างแล้ว ”
พูดจบ เธอก็ไม่ดูสีหน้าของจ้านเซิน ยืดตัวตรงแล้วเดินออกไปเลย
ถึงแม้ว่าฉินซีจะยังย้อนความทรงจำกลับมาได้ไม่หมด แต่ว่าเธอสามารถพอจะคาดเดาได้บ้างแล้ว
เอาตามนิสัยของตัวเองในตอนนั้น จะต้องไม่เชื่อฟังจ้านเซินอย่างแน่นอน แต่ว่าเลือกที่จะไปช่วยฟางฟาง
พอออกมาจากโรงน้ำชาแล้ว ฉินซียังโมโหอยู่เต็มอก แล้วก็กลับมาถึงที่ที่อยู่ชั่วคราวของเธอกับเหยาหมิ่น
สีตรงหน้าประตูได้แห้งไปแล้ว อักษรสีแดงสด ๆ สี่ตัว“ติดหนี้ชดใช้”ประทับลงในดวงตาของฉินซี ทำให้ดวงตาของเธอก็เริ่มรู้สึกเจ็บปวดขึ้นมา
เธอหลับตาลง อยากจะแกล้งทำเป็นเหมือนกับว่าไม่เห็นอะไรเลย แล้วล้วงกุญแจออกมาและเดินไปข้างใน แล้วอยู่ ๆ ประตูฝั่งตรงข้ามก็เปิดออกมา
“เธอเป็นคนที่เพิ่งย้ายเข้ามาเมื่อวานใช่ไหม?” เสียงของผู้หญิงคนนั้นแหลมสูง พอฉินซีได้ยินก็ทำให้นึกถึง เมื่อเช้าตอนที่คนพวกนั้นมาทวงหนี้ เสียงที่ออกมาพร่ำบ่นมีเสียงของเขาอยู่ด้วยเสียงหนึ่งด้วย
แผ่นหลังของฉินซีแข็งค้างไปครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ไม่พูดอะไรออกไป
“นี่! เป็นสาวเป็นนาง ตกลงติดหนี้เขาไว้เท่าไหร่ล่ะ ถึงได้โดนคนอื่นเขาตามตูดมาทวงหนี้แบบนี้?” ผู้หญิงคนนั้นพูดจาไม่ไว้หน้าสักนิด เขาเดินไม่กี่ก้าวก็มาถึงข้างกายฉินซี แล้วยื่นนิ้วที่ทาเล็บสีแดงสดไว้ออกมาชี้หน้าฉินซี “เธอทำอะไรมาฉันไม่สน แต่ว่าพี่ขอเตือนนะ รีบเอาเงินที่ติดคนอื่นไว้ไปชดใช้เร็ว ๆ ถ้าหากยังให้คนมาโหวกเหวกโวยวายแต่เช้า เสียงดังจนทำให้ทุกคนนอนกันไม่ได้ งั้นฉันก็มีวิธีเยอะแยะที่จะทำให้เธออยู่ที่นี่ต่อไปไม่ได้อีก ได้ยินหรือยัง?”
ฉินซีมีไฟโกรธอย่างหนึ่งที่ลุกโชนจากในใจขึ้นมาจนถึงคอ เธอแทบจะใช้แรงทั้งตัว ถึงได้อดกลั้นความอยากที่จะเอาคืนกลับไปของตัวเอง
แต่ว่ามือทั้งคู่ก็กำหมัดแน่นอยู่ข้างลำตัวแล้ว
ผู้หญิงคนนั้นน่าจะเห็นสีหน้าของฉินซีดูไม่ค่อยปกติแล้ว ก็ไม่ได้บังคับให้ฉินซีตอบอีก เพียงแต่ตัวเองเดินกลับเข้าบ้านไปด้วย แล้วบ่นพึมพำไปด้วย “ดูแล้วอายุก็ไม่เยอะ และก็ไม่รู้ว่าทำเรื่องสกปรกอะไร ถึงได้ติดหนี้ไว้มากมายขนาดนี้”
พูดจบ เหมือนกับว่าจะกลัวฉินซีเอาคืนยังไงอย่างงั้น รีบสะบัดประตูปิดอย่างแรง
ฉินซียืนอยู่หน้าประตูและปรับลมหายใจให้สม่ำเสมอ ถึงได้พยายามให้ใบหน้าของตัวเองที่แดงขึ้นเพราะเกิดจากความโกรธพอลดลงไปได้บ้าง
เธอถอนหายใจยาว ๆ ทีหนึ่ง แล้วก็บิดกุญแจเปิดประตูเข้าไป
พอเปิดประตูแล้ว เงยหน้าขึ้นมาก็สบตาเข้ากับเหยาหมิ่นที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
“แม่?” ฉินซีรีบปิดประตูลง แล้วมองเขา “หนูบอกว่าให้แม่นอนพักผ่อนในห้องดี ๆ ไม่ใช่เหรอ? แล้วออกมาทำไมกัน?”
เหยาหมิ่นอ้าปากขึ้นเล็กน้อย แล้วพูดเสียงเบาว่า “แม่……แม่ได้ยินเสียงฝีเท้าของลูก”
ชั่วครู่หนึ่งฉินซีไม่รู้ว่าควรจะตอบว่ายังไงดี
ตึกที่อยู่อาศัยนี้ค่อนข้างเก่ามากแล้ว ผลของการกั้นเสียงไม่ต้องคิดก็รู้ว่าจะต้องไม่ดีเท่าไหร่
คำพูดของผู้หญิงเมื่อกี้ น่าจะต้องโดนเหยาหมิ่นฟังเข้าไปหมดแล้ว
“แม่……” เธอเดินไปทางเหยาหมิ่นก้าวหนึ่ง แต่กลับหยุดนิ่งไปไม่กี่วินาที
เธอไม่รู้จริง ๆ ว่าควรจะปลอบโยนเหยาหมิ่นยังไง
หลังจากไม่กี่วินาทีผ่านไปแล้ว เธอถึงได้พยายามเค้นรอยยิ้มบนใบหน้าออกมาได้ทีหนึ่ง “วันนี้หนูไปหาอานหยันเอารถของหนูขายไปแล้ว และอานหยันก็รับปากหนูว่าจะเอารูปที่หนูถ่ายไปขายให้ด้วย น่าจะขายได้เงินมาไม่น้อย ครั้งหน้าถ้ามีคนมาอีก ก็จะได้ไม่ต้องหลบหน้าหลบตาแบบนี้แล้ว”
คำพูดของเธอเห็นได้ชัดว่าพูดเกินจริงเพื่อตบตาคนอื่น
เงินที่เธอจะได้จะมีเท่าไหร่นั้น ในใจของตัวเธอเองก็ยังไม่รู้เลย แต่ว่าเมื่อเทียบกับจำนวนเงินที่พวกมาทวงหนี้อยากจะได้แล้วละก็ ก็ต้องเป็นขนหนึ่งเส้นในวัวเก้าตัวแน่นอน
แล้วจะสามารถทำให้พวกเขาพอใจได้ยังไง แล้วการต่อรองกับพวกเขาล่ะ?
แต่ว่าฉินซีเห็นสีหน้าที่ขาวซีดของเหยาหมิ่น และท่าทางที่สั่นคลอนเหมือนจะรับไม่ไหวแล้ว เธอจึงได้แต่กัดฟันพูดไปแบบนี้
เธอและเหยาหมิ่น จะล้มลงทั้งสองคนไม่ได้
พอเหยาหมิ่นฟังคำพูดของเธอจบ บนใบหน้าก็มีรอยยิ้มเซียว ๆ โผล่ขึ้นมาทีหนึ่ง
“เพราะแม่ลากลูกมาด้วยแท้ ๆ ทำให้ลูกต้องลำบากแล้ว”
เขาพูดขึ้นเสียงเบา
แต่พอฉินซีได้ยิน ก็ขมวดคิ้วขึ้น
“แม่ค่ะ เราพูดกันไว้แล้วไม่ใช่เหรอ ว่าอย่าพูดแบบนี้อีก!” ฉินซีพูดขึ้น แล้วเดินไปไม่กี่ก้าวก็ถึงข้างกายเหยาหมิ่น และยื่นมือออกไปกอดเขาไว้เหมือนเช่นเมื่อก่อนทุกครั้ง “ต่อไปเราสองคนมาพยายามไปด้วยกัน จะต้องผ่านมันไปได้อย่างแน่นอน”
เหยาหมิ่นยิ้มขึ้นจาง ๆ และยื่นมือออกไปลูบผมเธอเหมือนเช่นเมื่อก่อนทุกครั้ง ยังคงไม่เปิดปากพูดตอบเธอ
และเพราะว่าเขาเพิ่งจะป่วยหนักมา พอพูดคุยที่ข้างนอกกับฉินซีได้ไม่กี่ประโยคก็กลับเข้าไปพักผ่อนข้างในห้องแล้ว
ฉินซีรู้สึกไม่มีอารมณ์ทำกับข้าวแล้วจริง ๆ จึงสั่งอาหารจากข้างนอกมาสองส่วน แล้วตัวเองก็นอนหงายอยู่บนโซฟา