Flash Marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน - ตอนที่ 1201
บทที่ 1201 วิตกกังวล
แต่ลู่เซิ่นที่กำลังจะเรียกหลินหยังให้เข้ามา เพื่อที่จะวานให้เขาได้พบกับถังย่า ทันใดโทรศัพท์มือถือเขาก็ดังขึ้น
เป็นลู่โยวโยวที่โทรมา
ลู่โยวโยวไม่ได้โทรหาเขาบ่อยนักและมักจะโทรหาเขาเมื่อมีเรื่องสำคัญ ลู่เซิ่นจึงไม่ลังเลรีบกดรับสายทันที
“มีอะไร?”
เสียงของลู่โยวโยวดังทะลุเข้ามาตามสาย ราวกับพลุระเบิดอยู่ข้างหูของลู่เซิ่น “พี่! ฉันเพิ่งคุยกับแม่มา แม่บอกพี่จะแต่งงานกับผู้หญิงคนนั้นที่พามา จริงหรือเปล่า?”
ลู่เซิ่นขมวดคิ้วเล็กน้อย
ความคิดทั้งหมดของเขาในช่วงสองสามวันที่ผ่านมาคือเรื่องที่ฉินซีหายตัวไป หลังจากที่นำเวินจิ้งให้กลับมาพบกับหลินยี่เขาก็ไม่เคยเห็นเธออีกเลย
เมื่อลู่โยวโยวพูดขึ้นมาถึงเรื่องนี้ เขาก็พึ่งที่จะจำการมีอยู่ของคนคนนี้ได้
ลู่โยวโยวเป็นคนที่ปากสว่าง ดังนั้นลู่เซิ่นจึงไม่ได้บอกความจริงเรื่องระหว่างเขากับฉินซี ดังนั้นลู่โยวโยวเลยคิดว่าเขากับเธอหย่ากันจริงๆ
สูหยิงก็คงคิดแบบนี้เช่นกัน ดังนั้นเธอจึงไม่ได้บอกวัตถุประสงค์ที่แท้จริงของลู่เซิ่นเรื่องที่จริงๆแล้วเขาแต่งงานกับเวินจิ้งไปเพื่ออะไร เพียงแค่บอกไปว่าเวินจิ้งต้องการแต่งงานกับลู่เซิ่น
แต่ลู่โยวโยวเป็นพวกที่ขี้วิตกกังวล เดี๋ยวก็คงอดมาหาลู่เซิ่นเพื่อตามหาความจริง
แน่นอนว่าลู่เซิ่นจะไม่บอกความจริง เขาแค่ตอบไปเบาๆ “ใช่”
เสียงอุทานของลู่โยวโยวดังขึ้นในหูของลู่เซิ่น “อะไรนะ! นี่พี่ต้องการแต่งงานกับน้องสาวของหลินยี่?”
ลู่เซิ่นจับสังเกตในที่สุด “เธอจะมาสนใจอะไร… …ที่พี่จะแต่งงานกับน้องสาวของหลินยี่?”
เขาจงใจเน้นเสียงตรงคำว่า “ของหลินยี่”
ลู่โยวโยวลดเสียงดังโวยวายของตัวเองลงทันที “ไม่ใช่แบบนั้น ฉันแค่ถามเฉยๆ”
ลู่เซินหัวเราะเบา ๆ
เขารู้ความคิดของลู่โยวโยว หญิงสาวที่ไม่สามารถซ่อนสิ่งใดในใจได้อย่างเธอมานาน เรื่องที่เขาจะแต่งงาน ถ้าไม่ใช่เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเวินจิ้งกับหลินยี่ เธอก็คงไม่กังวลแบบนี้
“พี่!”เสียงหัวเราะของลู่เซิ่นที่ดังไปถึงหูของลู่โยวโยว กลายเป็นเสียงหัวเราะเยาะ จนเธอเริ่มโกรธ ก่อนแผดเสียงดังขึ้น “ในเมื่อพี่อยากจะแต่งงาน จะโยนใครมายังไงก็ไม่สนแล้วเหรอ เธออยู่กับหลินยี่ทุกวัน ไม่รู้จะพูดยังไงกับสองคนนั้นแล้ว!”
เขาอ่านความคิดของลู่โยวโยวออกทันที “เธอกลัวเวินจิ้งจะเอาเวลาของหลินยี่ไป จนเขาไม่มีเวลาว่างมาคุยกับเธอล่ะสิ?”
ลู่โยวโยวเงียบทันที
ลู่เซิ่นยิ้ม
ความรู้สึกที่ลู่โยวโยวที่มีต่อหลินยี่ เขาคิดว่ามันเป็นอะไรที่เด็กนัก ลู่โยวโยวเองก็ยังไม่โตพอ และเมื่อมองไปยังหน้าตาของหลินยี่ ถึงแม้จะดูดี แต่เขาก็ไม่วางใจ
แต่สิ่งที่ลู่โยวโยวพูดมันกลับเตือนเขาเอง
อย่างไรเสียในเมืองหนาน เขาใช้ข้ออ้างของตัวเองแต่งงานกับเวินจิ้ง แล้วนำเธอกลับมาประเทศF เมื่อกลับมาถึงแล้ว กลับปล่อยทิ้งเธอให้อยู่ในบ้านตระกูลลู่ ถ้าหากอารองและอาสามรู้ละก็… …แผนก่อนหน้านี้ที่ลู่เซิ่นวางไว้อาจจะไม่เป็นผล
เพื่อความปลอดภัยเขาควรกลับไปที่บ้านตระกูลลู่
“โอเค ฉันจะกลับไปกินข้าวเที่ยง บอกพ่อบ้านด้วยล่ะ”
ลู่เซิ่นตอบรับไป
“จริงไหม? ดีเลย ฉันจะให้คนครัวเตรียมของที่พี่ชอบนะ!” เสียงของลู่โยวโยวดังขึ้นมาก่อนวางสาย
เธอรีบร้อนวางสายไป ลู่เซิ่นหันไปมองเวลา มันเกือบถึงเวลาที่เขาควรจะขยับตัวได้แล้ว
ดังนั้นเขาจึงกดโทรเรียกให้หลินหยังเข้ามา พูดว่า “ถังย่าฝั่งนู้น นายหาคนติดตามไปด้วยล่ะ ไม่กี่วันนี้เราต้องไปที่นั้นอีกครั้ง”
หลินหยังตอบกลับ แต่ลู่เซิ่นไม่ปล่อยให้เขาทำต่อ และพาคนขับรถกลับไปที่บ้านตระกูลลู่
ลู่โยวโยวมารออยู่ที่หน้าประตูเพื่อรอเขาก่อนแล้ว เมื่อเขาเห็นลู่เซิ่นลงมาจากรถ เธอก็รีบวิ่งไปหาทันที “พี่!”
ลู่เซิ่นกระพริบตาส่งสัญญาณ ก่อนกระซิบ “หลินยี่มองอยู่ข้างหลัง”
“พี่!”เสียงของลู่โยวโยวดูโมโหเล็กน้อย แต่เมื่อเธอหันหลังกลับไปมอง เธอกลับไม่เห็นหลินยี่ รู้ทันทีว่าตัวโดนหลอกเข้าให้แล้ว
ลู่เซิ่นดูหูของเธอที่เริ่มแดงขึ้น นี่เป็นครั้งแรกในรอบหลายวันที่เขาผ่อนคลายมากขึ้น
ลู่โยวโยวทำเป็นรำคาญไม่พูดอะไรกับเขา เดินลิ่วๆเข้าไปในบ้านอย่างเร็ว ลู่เซิ่นมองตามก่อนขำ พลางเดินตามน้องสาวเข้าไป
หลินยี่และเวินจิ้งรอเขาอยู่ที่นอกห้องอาหารก่อนแล้ว
ระหว่างหลินยี่กับลู่เซิ่นค่อนข้างคุ้นเคยกันแล้วจนไม่ต้องทักทาย แค่ผงกหัวให้กันเบาๆ เท่านั้น ทั้งสี่คนเดินเข้าไปในห้องอาหารพร้อมกัน
ลู่เหวยและสูหยิงไม่ได้อยู่บ้าน ลู่เซิ่นนั่งประจำที่ที่ตัวเองคุ้นเคย ลู่โยวโยวนั่งทางด้านขวามือของเขา หลินยี่นั่งซ้ายมือของเขา ส่วนเวินจิ้งนั่งอยู่ด้านขวามือของหลินยี่
เมื่อคนรับใช้ยกอาหารขึ้นโต๊ะเรียบร้อยและเดินออกไปแล้ว จึงเหลือเพียงแค่สี่คนภายในห้องอาหาร
เพราะว่าความสัมพันธ์ระหว่างเวินจิ้งและมู่วี่สิง ทำให้ลู่โยวโยวไม่ค่อยพอใจเวินจิ้งเท่าไหร่นัก ถึงแม้เธอจะสนใจในตัวหลินยี่ แต่เธอก็เป็นลูกสาวของตระกูลลู่ เธอไม่สามารถไปทำดีกับคนที่เธอไม่ชอบเพื่อผู้ชายได้หรอก
เวินจิ้งไม่ใช่คนที่สดใสอะไรมาก ก็ยังรับรู้ได้ถึงรังสีไม่เป็นมิตรจากลู่โยวโยว มันยิ่งทำให้บรรยากาศมาคุไปกันใหญ่
ทั้งลู่เซิ่นและหลินยี่ต่างก็เป็นคนที่ไม่ชอบพูดอะไรเวลาทานข้าวทั้งคู่ ดังนั้นทั้งสองจึงนั่งทานข้าวเงียบๆ
แต่ลู่โยวโยวไม่ใช่แบบนั้น เธอเป็นคนร่าเริง จึงกินให้มันเสร็จๆ และออกไปจากที่ตรงนี้
เวินจิ้งเห็นท่าทางว่าลู่เซิ่นและหลินยี่มีเรื่องที่จะพูดคุยกัน เธอก็หาข้ออ้างเพื่อที่จะขอเลี่ยงออกไป ดังนั้นภายในห้องอาหารจึงเหลือเพียงชายหนุ่มทั้งสอง
หลินยี่คุ้นเคยกับลู่เซิ่นเป็นอย่างดี แค่มองหน้าเขาก็รู้แล้วว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้น รอให้เวินจิ้งออกไป เขาจึงเปิดปากถาม “มีเรื่องอะไร”
ลู่เซินไม่ต้องการปกปิดเรื่องนี้ เขาจึงเล่าเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นและหยิบโทรศัพท์ออกมาขยายรูปภาพที่ฝ่ายเทคนิคส่งมาให้ ก่อนวางไว้ตรงหน้าหลินยี่ “คนคนนี้ สืบหาประวัติอะไรไม่เจอเลย ฉันสงสัย ว่าจะเป็นนักฆ่า”
ดวงตาของหลินยี่จับจ้องไปที่ใบหน้าของบุคคลในโทรศัพท์
ลู่เซินรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ เขามุ่นคิ้วก่อนถาม “มีอะไรเหรอ?”
หลินยี่ไม่ได้ตอบในทันที เขาเพียงจ้องใบที่รูปนั้นสักพัก จึงพูด “ฉันเหมือนเคยเจอคนคนนี้”
“เคยเจอ?”ลู่เซิ่นเลิกคิ้ว “เป็นคนในองค์กรนายเหรอ?”
นี่เป็นเหตุผลที่พอเข้าใจได้ที่สุดที่เขาคิด
ถึงอย่างไร “องค์กรหยินเฟิง”ของหลินยี่ ก็ถือได้ว่าเป็นองค์กรที่มีชื่อเสียง และไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่จะมีนักฆ่าระดับนี้
สีหน้าหลินยี่มืดลง เขาส่ายหน้าช้าๆ
“ไม่ใช่ เขาไม่ใช่คนของฉัน” ลู่เซิ่นได้ยินน้ำเสียงที่ค่อนข้างเครียดส่งผ่านมาทางหลินยี่
หลินยี่เงียบไปชั่วขณะก่อนที่จะพูดต่อ “เขาเป็นหัวหน้าองค์กรอื่น”
ลู่เซิ่นขมวดคิ้วตาม
หัวหน้า?