Flash Marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน - ตอนที่ 1221
บทที่ 1221 ไม่เกี่ยวข้องอีกต่อไป
เพราะด้วยความคิดแบบนี้ ทำให้ฉินซีไม่สามารถใจจดใจจ่อกับการฝึกได้
การฝึกกายภาพในช่วงบ่าย โดยปกติแล้วเธอจะไม่โดดเรียนเหมือนคลาสตอนเช้า แต่…สุดท้ายเธอก็ใจลอย
การฝึกสบายๆแบบนี้ ง่ายกว่าการฝึกในช่วงเช้า
ไม่ใช่ว่าฉินซีจำแผนการไม่ได้ เพราะแม้แต่สิ่งที่เรียนรู้จากความทรงจำครั้งก่อนก็ยังคงอยู่ในความทรงจำของเธอ แต่สิ่งที่เธอขาดก็คือกำลังของร่างกาย
เพราะอย่างนั้นการฝึกของเธอจึงเป็นการฝึกขั้นพื้นฐาน
และการฝึกแบบนี้ก็ยิ่งทำให้ขี้เกียจได้ดีนัก
การเคลื่อนไหวเล็กๆน้อยๆที่ไม่ถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้ ทำให้ปริมาณการออกกำลังกายที่ร่างกายได้รับก็จะลดลง ทั้งยังไม่ทำให้คนรู้สึกผิด
ดังนั้นการฝึกในช่วงบ่ายจึงจบลง โค้ชผู้รับผิดชอบการฝึกกล่าวด้วยสีหน้าดูอึมครึม
ตอนที่จ้านเซินมารับเธอ เขากระซิบกระซาบกับโค้ชอยู่สองสามประโยค จากนั้นก็เดินมาที่ด้านข้างของฉินซีด้วยสีหน้าไม่สู้ดี
“ฉินซี” น้ำเสียงของจ้านเซินแฝงไปด้วยการระงับความโกรธ “ทำไมเธอถึงไม่ยอมเข้าร่วมการฝึกแบบนี้ล่ะ”
น้ำเสียงของฉินซีฟังดูเหนื่อยหน่าย “ไม่ใช่ไม่ยอม…ใจมันให้แต่กำลังไปไม่ถึงต่างหาก ไม่ได้ฝึกมานานแล้ว ตอนนี้จะไปมีแรงได้ยังไง”
แต่กับจ้านเซินนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะโกหกเขา เขาเพียงแค่มองเธอนิ่งๆพลางเอ่ยปาก “พอดีเลย คืนนี้ฉันจัดการให้เธอได้ตรวจร่างกายอย่างละเอียด รอผลตรวจออกมา ฉันก็จะรู้ ว่าขีดจำกัดทางกายภาพของเธอได้ถึงขั้นไหน”
ฉินซีรู้สึกได้ด้วยสัญชาตญาณว่าสิ่งที่เรียกว่า “การตรวจร่างกาย” นั้นต้องไม่ใช่เรื่องดีแน่ เป็นไปอย่างที่คิด เมื่อเธอกินอาหารเย็นเสร็จและตามจ้านเซินมายังห้องตรวจ รูม่านตาก็อดไม่ได้ที่จะหดตัว
ห้องตรวจอยู่ชั้นสิบสองในความทรงจำของเธอ เธอไม่เคยก้าวเข้ามายังสถานที่แห่งนี้
ดังนั้นที่นี่จึงเป็นที่ต่างถิ่นสำหรับเธอโดยสิ้นเชิง
ยิ่งไปกว่านั้น ห้องตรวจที่อยู่ข้างหน้าในตอนนี้ก็ดู…ใหม่มาก อย่างกับว่าเพิ่งเปิดใช้งาน
มีเตียงหนึ่งหลักวางอยู่กลางห้องขนาดใหญ่ รอบข้างล้อมรอบไปด้วยอุปกรณ์ที่ซับซ้อน
คนที่ยืนอยู่ด้านข้างเตียงและมัวใช้เครื่องมืออยู่นั้น ก็คือคนสวมชุดกาวน์ที่เคยคุ้นเคย
เวลานี้ฉินซีเพิ่งสังเกตได้ว่าถึงแม้ตัวเองจะรู้สึกประทับใจคนคนนี้อยู่ก็ตาม แต่ตั้งแต่ต้นจนจบเธอยังไม่รู้จักชื่อของเขาเลย อีกทั้งยังไม่ได้ยินคำที่เอาไว้เรียกเขาจากปากจ้านเซินเลยอีกด้วย
แต่จ้านเซินไม่ได้สนใจเธอที่หยุดชะงักฝีเท้า กลับยังคงเดินเข้าไปด้านในไปยังคนสวมชุดกาวน์พลางทักทายเขาด้วยเสียงทุ้มต่ำ จากนั้นก็กวักมือเรียกให้ฉินซีเดินเข้าไป
ฉินซีไม่มีทางเลือกอื่น ทำได้เพียงเดินเข้าไปใกล้ด้วยสีหน้าระมัดระวัง
“คุณนอนตรงนี้” คนสวมชุดกาวน์พูดขึ้น น้ำเสียงของเขาฟังดูเรียบนิ่ง ราวกับกำลังพูดเรื่องที่ไม่จำเป็นต้องกังวลอย่างไรอย่างนั้น “ขั้นตอนการตรวจนั้นง่ายมาก ไม่มีอะไรที่ทำให้ต้องรู้สึกแย่เลย อาจมีไฟฟ้าช็อตที่ชีพจรเล็กน้อย แต่กระแสไฟนั้นอ่อนมาก ไม่ทำให้รู้สึกเจ็บหรอก”
ฉินซีรู้สึกไว้ใจเขาอย่างน่าประหลาดใจ เธอไม่สงสัยใดๆในคำพูดของเขา
แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าเธอจะล้มลงนอนบนเก้าอี้อย่างเชื่อฟัง
จ้านเซินสังเกตได้ถึงความลังเลของเธอ จึงหันไปหาฉินซี เขาเม้มปากจากนั้นจึงเอ่ยปากขึ้น “ฉันจะรับประกันความปลอดภัยของเธอเอง”
ฉินซียกมุมปากเผยให้เห็นรอยยิ้มที่เย็นชา “ฉันไม่กล้าเชื่อคุณแล้ว”
ถึงจะพูดไปอย่างนั้น แต่สุดท้ายเธอก็ล้มตัวลงนอน
อย่างไรก็ตาม ตอนนี้เธอจะหนีไปได้อย่างไรนั้น ตัวเธอเองก็ยังไม่มีวิธี อีกทั้งในเวลานี้ไม่มีความจำเป็นจะต้องหักหน้าจ้านเซิน
ยิ่งไปกว่านั้น ยึดตามวิธีการจัดการเรื่องต่างๆของจ้านเซินในก่อนหน้านี้แล้ว หากตัวเองยืนกรานที่จะขัดขืน เขาจะมีวิธีอะไรมารับมือกับตัวเธอ เป็นสิ่งที่ฉินซีไม่อาจคาดเดาได้
เพราะอย่างนั้นเธอจึงไม่มีตัวเลือกอื่น
จ้านเซินเงียบอยู่นานหลังจากที่ถูกเธอพูดตัดบท ส่วนคนสวมชุดกาวน์ก็ดูเหมือนจะเพิกเฉยต่อบทสนทนาระหว่างพวกเขาสองคน ยังคงก้มหน้าก้มตาทำงานของตนเอง
จากนั้นไม่นาน เหนือศีรษะ ที่คอ ข้อมือและข้อเท้าของฉินซี ผิวเกือบทั้งหมดทั่วร่างกายล้วนถูกแปะด้วยแผ่นฟิล์ม
“สบายๆ ใช้เวลาไม่นานก็เรียบร้อยแล้ว” เสียงของคนสวมชุดกาวน์ดังขึ้นในหูของฉินซี
ฉินซีมองตรงไปที่เพดานสีขาว ไม่ได้ตอบอะไรกลับไป
ในขณะที่เธอพยายามให้ตัวเองปล่อยวาง แต่ในความคิดกลับปรากฏเพดานสีขาวอีกอันหนึ่งขึ้นมาอย่างไม่อาจควบคุมได้ เพดานนั้นคือในห้องนอนของเธอ ที่รีสอร์ทชิงหยวน
ไม่สิ ถ้าจะพูดให้ถูก ตอนนี้มันคือห้องนอนของลู่เซิ่นไปแล้ว
ที่แห่งนั้นไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเธออีกต่อไป
เมื่อคิดได้เช่นนี้ ฉินซีก็ขมวดคิ้วตามการตอบสนองของเงื่อนไข ทันใดนั้นเสียงของคนสวมชุดกาวน์ก็ดังขึ้น “ไม่ต้องคิดมาก ปล่อยวางความคิดของคุณ”
ฉินซีมองไปที่ด้านข้างของเขาอย่างไม่รู้ตัว แต่เพราะตำแหน่งของเธอค่อนข้างอยู่ต่ำ ทำให้เธอเห็นเพียงข้อมูลที่ปรากฏบนหน้าจอแสดงผลถูกทำเป็นเครื่องหมายสีแดง
…เพราะนึกถึงลู่เซิ่น อารมณ์ของตัวเองจึงแปรปรวนเช่นนี้
ฉินซีเองก็รู้สึกแปลกใจอยู่เล็กน้อย แต่เธอก็รีบหลับตาอย่างรวดเร็วพลางล้างความคิดของตัวเอง
ไม่ว่าในใจของตัวเองจะเกิดพายุโหมกระหน่ำมากแค่ไหน แต่การเปิดเผยต่อหน้าพวกเขาก็ไม่นับว่าเป็นเรื่องที่ดีเสียเท่าไหร่
ท้ายที่สุดแล้ว หลักการที่องค์กรนี้ยึดถือนั้นก็คือการทำให้ทุกคนกลายเป็นเป็นเครื่องจักรที่ไร้อารมณ์
ฉินซีพยายามอย่างมากที่จะปล่อยวางความคิด โดยการคิดถึงเรื่องต่างๆที่ไม่สำคัญตัวอย่างเช่นคนในเสื้อกาวน์ชื่ออะไรกันแน่ สตูเนื้อคืนนี้รสชาติแย่มาก สู้ไม่ได้เลยสักนิด…
เมื่อรู้ตัวว่าความคิดของตัวเองจะกลับไปคิดถึงรีสอร์ทชิงหยวนอีกครั้ง ฉินซีก็รีบหยุดความคิดอย่างรวดเร็ว รีบเปลี่ยนไปคิดถึงเรื่องอื่น
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ เธอเกือบจะผล็อยหลับไป ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงของคนในเสื้อกาวน์ดังเข้ามาในหู
“เรียบร้อย” น้ำเสียงของเขายังคงเฉยเมยเหมือนเช่นเคย “คุณลุกขึ้นได้แล้ว”
ฉินซีรอให้เขาถอดแผ่นโลหะออกจากตัวเอง จากนั้นก็ค่อยลุกขึ้นนั่ง
เมื่อเธอเงยหน้าขึ้นก็พบว่าจ้านเซินยังคงยืนอยู่ไม่ไกล
…นี่เขาไม่ได้ไปไหนเลยอย่างนั้นเหรอ
ฉินซีสงสัย แต่ก็ไม่ได้รู้สึกถึงความผิดปกติ
แต่เพราะเป็นเช่นนั้น เมื่ออยู่ในสายตาคนรอบข้างแล้ว การเคลื่อนไหวของเธอดูจะหยุดนิ่ง เขาจึงเข้าไปพยุงเธอให้ลุกขึ้น
ไม่มีใครบอกว่าเธอต้องทำอะไร ฉินซีเดินสองสามก้าวไปที่อุปกรณ์เครื่องมือที่เธอเห็นเมื่อครู่นี้พลางมองสำรวจ
เธอจนปัญญา เพราะไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับอุปกรณ์ทางการแพทย์พวกนี้ เธอดูอยู่นานและไม่เข้าใจอะไรเลย
คนสวมชุดกาวน์ยังคงวุ่นๆอยู่กับธุระของตนเองโดยไม่สนใจคำถามของเธอ ไม่กี่วินาทีต่อมา ที่เครื่องพรินเตอร์ก็มีเอกสารออกมาสองสามแผ่น เขาหันกลับมาพร้อมกับกระดาษพลางพูดขึ้น “ผลออกมาแล้ว”
ฉินซีเงยหน้าขึ้นมองเขาก็พบว่าเขาไม่ได้กำลังมองมาที่เธอ สายตามองข้ามตัวเธอกำลังจับจ้องไปที่คนที่อยู่ด้านหลัง
ฉินซีหันหน้าไปมองตามสายตาของเขาก็พบว่าจ้านเซินเดินมาอยู่ที่ด้านหลังของเธออย่างเงียบๆ
…เขาเป็นคนที่เดินไปไหนมาไหนได้เงียบเฉียบจริงๆ
ฉินซีนึกย้อนไปถึงหลายๆครั้งที่ได้พบเจอกับจ้านเซินก็สามารถยืนยันได้ว่าข้อมูลนี้เชื่อถือได้
“ทักษะทุกอย่างทางกายภาพเป็นปกติ ร่างกายแข็งแรงมากๆเลยด้วย” น้ำเสียงของคนสวมชุดกาวน์ยังคงเหมือนเดิม เห็นกันโต้งๆว่าฉินซียืนอยู่ต่อหน้าเขา แต่เขากลับยื่นเอกสารเลยเธอไป ส่งให้กับจ้านเซิน