Flash Marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน - ตอนที่ 1225
บทที่ 1225 ไม่มีหลักฐานแน่ชัด
ฉินซีระวังตัวตามสัญชาตญาณ
คนสวมชุดกาวน์ดูท่าจะไม่แปลกใจเลยที่ตัวเองถูกเรียกตัวมาที่นี่ เขามองไปรอบๆและพยักหน้าให้จ้านเซินอย่างสุภาพเพื่อเป็นการทักทาย “คุณกลับมาแล้วเหรอ”
การแสดงออกของจ้านเซินไม่ได้เฉยเมยอย่างที่เขาเป็น
“คุณหมอ…” เขาลากเสียงสองคำนี้และหยุดคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงพูดต่อ “เอาแต่เรียกว่าคุณหมอ จนเกือบจะลืมไปแล้วว่านายนามสกุลเหยา”
เมื่อฉินซีได้ยินนามสกุลนี้ก็รู้สึกวูบขึ้นในใจ เธอเงยหน้าขึ้นและมองไปที่คนสวมชุดกาวน์
นามสกุลเหยา?นามสกุลของเขาคือเหยาอย่างนั้นเหรอ
บังเอิญหรือเปล่า แต่ว่า…มีเรื่องบังเอิญแบบนี้อยู่จริงๆงั้นเหรอ
คนสวมชุดกาวน์ยังคงไม่ไหวติงพลางพูดขึ้นอย่างยิ้มๆ “มีอะไรหรือเปล่าครับ ทำไมจู่ๆก็พูดถึงนามสกุลผม หรือว่านี่จะเกี่ยวข้องกับการกลับมาก่อนกำหนดของคุณ”
คิ้วของฉินซีขมวดขึ้นเป็นปม
…นี่จ้านเซินกลับมาก่อนกำหนดงั้นเหรอ
ทำไมต้องกลับก่อนกำหนดด้วย เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่
ฉินซีไม่ใช่คนโง่ เธอสังเกตท่าทางของจ้านเซินอย่างละเอียดที่ดูจะเหนื่อยจากการเดินทาง คาดว่าทันทีที่มาถึงก็ตรงมาหาเธอเลย
เพราะอย่างนั้น เหตุผลที่เขากลับมาก่อนกำหนด ต้องเป็นเพราะตัวเธอแน่นอน
ฉินซีไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ เธอนึกถึงเรื่องที่ตัวเองไปหาคนสวมชุดกาวน์เมื่อวานนี้
…หรือว่าเขาจะรู้เรื่องนี้แล้ว
แต่เมื่อคืน คนสวมชุดกาวน์แทบจะไม่ได้พูดอะไรเลยนี่หน่า!
ฉินซีค่อยๆนึกถึงบทสนทนาระหว่างตัวเองกับคนสวมชุดกาวน์โดยละเอียด แทบจะไม่มีคำพูดไหนที่เป็นสาระสำคัญเลย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสิ่งที่ทำให้จ้านเซินกลัวถึงขนาดต้องกลับมาด้วยตัวเองเลย
ราวกับว่าเขาสามารถมองเห็นความคิดของฉินซีได้อย่างไรอย่างนั้น จ้านเซินไม่ได้ตอบคำถามของคนสวมชุดกาวน์ แต่กลับหันไปหาฉินซี
“ยังไม่ได้แนะนำให้เธอเลย คนๆนี้คือลูกพี่ลูกน้องของเธอ เหยาจ้าว”
ฉินซีนิ่งไปชั่วขณะ
จ้านเซินพูดว่าอะไรนะ
ลูกพี่ลูกน้องงั้นเหรอ
ลูกพี่ลูกน้องใครนะ
ฉินซีรู้สึกอย่างกับว่าสมองหยุดทำงานไปชั่วขณะ ต้องใช้เวลาอยู่นานกว่าจะได้รับในสิ่งที่จ้านเซินพูด
“ตระกูลเหยาหมดอำนาจหลังจากที่เธอเกิดได้ไม่นาน” น้ำเสียงของจ้านเซินฟังดูเรียบเฉย “ก่อนหน้านี้ ผู้นำตระกูลเหยาก็คือคุณลุงของเธอ เขาทนต่อภาระหน้าที่ไม่ไหวจึงกระโดดตึกฆ่าตัวตาย แต่ลูกชายคนเดียวที่เขาทิ้งไว้นั้นเป็นคนอัจฉริยะ”
เมื่อเขาพูดถึงตรงนี้ ก็หันไปมองที่คนสวมเสื้อกาวน์
ท่าทางของคนสวมชุดกาวน์ หรือเหยาจ้าว กลับดูเฉยเมยมาก อย่างกับว่าเรื่องที่จ้านเซินกำลังพูดอยู่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับเขาเลย
“อัจฉริยะคนนี้ข้ามระดับอย่างก้าวกระโดด เข้าเรียนที่โรงเรียนแพทย์ จากนั้นก็ถูกเรียกตัวให้เข้ามาอยู่ในองค์กร ที่ฉันพูด ถูกใช่ไหม เหยาจ้าว” จ้านเซินมองไปที่เหยาจ้าวด้วยสายตาที่ลึกซึ้ง
เหยาจ้าวพยักหน้ารับพลางยิ้มอย่างสุขุม “คุณรู้เรื่องผมค่อนข้างลึกซึ้งเลยนะครับ”
จ้านเซินพูดไปหัวเราะไป “แต่นายอาจจะไม่รู้ ว่านายได้รับทุนจากใครในการศึกษาทั้งหมดของนาย”
เหยาจ้าวหัวเราะเยาะ “ถ้าไม่ใช่เพราะรู้ว่าเป็นพวกคุณ คุณคิดจริงๆเหรอ…ว่าผมจะยอมตกลงเข้าร่วมองค์กรนี่”
จ้านเซินเลิกคิ้วขึ้น “หืม?นั่นมันเกินความคาดหมายของฉันไปหน่อยนะ”
ฉินซีที่ยืนฟังอยู่ก็ค่อยๆขมวดคิ้ว
จากข้อมูลที่มีอยู่ตอนนี้…หลังจากที่ตระกูลเหยาล้มละลาย เหยาจ้าวต้องใช้ชีวิตอยู่ข้างนอก เขาได้รับทุนขององค์กรจนเรียนจบมหาวิทยาลัย จากนั้นก็เข้าร่วมองค์กรเพื่อเป็นการตอบแทน
แต่ว่า…เดิมทีองค์กรต้องการเป็นผู้ให้ทุนโดยไม่เปิดเผยตัวตน และใช้ประโยชน์จากสถานะนี้ในภายหลัง แต่ไม่รู้ว่าทำไมถึงถูกเขามองสถานะออกจนทะลุปรุโปร่งอย่างนี้
เบื้องหลังของคนสวมชุดกาวน์ ต้องมีเรื่องราวอะไรบางอย่าง…
ฉินซีอดไม่ได้ที่จะมองไปที่เหยาจ้าว
แต่กลับบังเอิญสบตาเข้ากับจ้านเซิน
จ้านเซินยิ้มเยาะ เขาหยิบเครื่องบันทึกเสียงออกจากอ้อมแขนและเคาะมันลงบนโต๊ะกาแฟ สายตามองที่ฉินซีพลางพูดอย่างเยือกเย็น “เมื่อรู้ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเธอแล้ว ทีนี้ก็เข้าใจเงื่อนงำความกระตือรือร้นที่จะช่วยเหลือเธอแล้วใช่ไหม”
ฉินซีมองไปที่เครื่องบันทึกเสียง เพียงชั่วขณะที่ความคิดมากมายผลุดเข้ามาในหัวเธอ ในที่สุดก็กลายเป็นประโยคว่า ไม่มีทางยอมรับได้
เธอมีลางสังหรณ์ว่าถ้าหากบอกว่าตัวเองต้องการขอให้เหยาจ้าวช่วยพาเธอออกไปจากที่นี่ สำหรับเธอคงไม่เกิดเรื่องอะไรมากนัก แต่กลับเหยาจ้าว…เกรงว่าจะเป็นเรื่องใหญ่
ฉินซียิ้มอย่างเย็นชา “นายต้องการจะพูดอะไร”
จ้านเซินขมวดคิ้วเมื่อเห็นท่าทีที่ต่อให้ยอมตายก็ไม่ยอมปริปากของเธอ เขายกเครื่องบันทึกเสียงขึ้นมาจากนั้นก็กดปุ่มเล่นเสียง
ฉินซีรู้แล้วว่า…ที่ห้องตรวจมีอุปกรณ์ดักฟังจริงๆ
เธอกำลังฟังเสียงของตัวเองที่มาจากเครื่องอัดเสียง
“คุณรู้ว่าทำไมฉันถึงมาหาคุณ”
“ฉันไม่รู้”
“คุณรู้วิธีที่จะไปจากที่นี่”
ทันทีที่บทสนทนานี้ดังขึ้น ฉินซีก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว
เป็นเพราะความประมาทของตัวเอง แต่คาดไม่ถึงว่า…จะไม่ได้ควบคุมระดับความดังของเสียง
ในขณะที่เธอกำลังคิดอย่างรวดเร็วว่าจะทำอย่างไรต่อไป ทันใดนั้นเครื่องบันทึกก็เงียบลง ได้ยินเพียงเสียงของผู้คนเบาๆ แต่ไม่ได้ยินสิ่งที่กำลังพูดอยู่
ฉินซีนึกขึ้นได้ทันทีว่านี่เป็นบทสนทนาของทั้งสองคน ตอนที่เหยาจ้าวเข้ามาใกล้ตัวเองมากๆ
ท่าทางของจ้านเซินในเวลานี้ก็เปลี่ยนไปไม่สู้ดีนัก เขาบังคับหยุดเครื่องอัดเสียง มองไปที่เหยาจ้าวด้วยสีหน้าบึ้งตึง “พวกเธอสองคนคุยอะไรกัน”
เหยาจ้าวที่ดูสงบนิ่งมาโดยตลอด ขณะนี้กำลังถูกจ้านเซินซักไซ้ เขาเพียงแค่พูดพลางยักไหล่ “ก็แค่ตรวจร่างกายเท่านั้น”
แน่นอนว่าจ้านเซินไม่เชื่อคำพูดของเขา พลางยิ้มอย่างเย็นชา “ฉันแนะนำให้นายรีบพูดให้เคลียร์จะดีกว่า เพราะท้ายที่สุด…แค่ตอนนี้ฉันรีบ ไม่มีเวลามาขยายเสียงที่อัดไว้ เกิดฉันมีเวลาแล้วรู้หมดทุกอย่างว่าพวกนายพูดอะไรกัน ถ้าจะรอไปอธิบายตอนนั้น…เกรงว่ามันจะสายเกินไป”
ท่าทีของเหยาจ้าวยังคงไม่เปลี่ยนแปลง “งั้นคุณก็ไปขยายเอาเองเหอะ ผมจำไม่ได้จริงๆว่าพูดอะไรที่ไม่สำคัญออกไปบ้าง”
สีหน้าของจ้านเซินดูไม่สู้ดีนัก เขาหันหน้าไปหาฉินซี “แล้วเธอล่ะ คิดจะพูดอะไรหน่อยไหม”
สมองของฉินซีทำงานอย่างรวดเร็ว
สรุปก็คือ ตอนนี้จ้านเซินไม่รู้อะไรเลย เขาเพียงแค่มีเครื่องอัดเสียงและได้ยินประโยคที่ตัวเองถามว่า “คุณรู้วิธีไปจากที่นี่” ก็เลยสงสัยว่าเธอจะยืมมือของเหยาจ้าวหนีไปจากที่นี่
แต่เขาไม่มีหลักฐานที่แน่ชัด
เพียงแค่เชื่อมโยงความคิดตัวเองกับประโยคนี้ก็เท่านั้น…
ขณะที่ฉินซีคิดได้เช่นนี้ เธอกระแอมในลำคอ
“เมื่อวานฉันรู้สึกไม่สบายจริงๆ ประเด็นนี้ มีหลายคนสามารถยืนยันกับคุณได้” เธอมองไปที่จ้านเซินพลางเอ่ยปาก
ท่าทางของจ้านเซินยังคงไม่เปลี่ยนแปลง เขามองไปที่เธออย่างนิ่งเฉย
สาเหตุที่ฉินซีกล้าพูดเช่นนี้เป็นเพราะเมื่อวาน เธอจงใจแสดงออกว่าไม่สบายต่อหน้าผู้คนมากมายในโรงอาหาร
เมื่อดูจากท่าทีของจ้านเซิน ก็คาดว่าเขาน่าจะตรวจสอบมาก่อนหน้านี้แล้ว
“ฉันกลับไปที่ห้องโดยที่ไม่ได้กินอะไร แต่หลังจากกลับไปได้สักพักก็รู้สึกไม่ค่อยดี เลยไปหาคุณหมอเหยา” เมื่อฉินซีพูดถึงตรงนี้ เธอก็เหลือบไปมองที่เหยาจ้าวอย่างเป็นธรรมชาติ “ฉันปวดหัวหนักมาก เลยพูดอะไรไร้สาระออกไป ถ้านายไม่อัดเสียงไว้ ฉันก็จำที่ตัวเองพูดไม่ได้หรอก”
สายตาและคำที่เธอพูดนั้นดูเป็นธรรมชาติมาก จ้านเซินพูดไม่ออกไปชั่วขณะ แต่ไม่กี่วินาทีต่อมาเขาก็พูดขึ้นมาด้วยความโกรธ “เธอไม่รู้ว่าตัวเองพูดอะไรออกมา?ฉินซี เธอคิดว่าฉันเป็นไอโง่รึไง ยังจะกล้าใช้ข้ออ้างแบบนี้อยู่อีกงั้นเหรอ!”