Flash Marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน - ตอนที่ 1226
บทที่ 1226 ปลอมแปลงเสียงบันทึก
แต่ฉินซีกลับหัวเราะ “ก็เพราะว่าฉันปวดหัวหนักมากๆ เลยคิดในเรื่องที่ปกติไม่กล้าคิดยังไงล่ะ ไม่ก็ความทรงจำบางอย่างที่ยังคงหลงเหลืออยู่อาจส่งผลกระทบบางอย่าง ต่อให้คุณไม่พูดฉันก็ตั้งใจที่จะพูดแบบนี้ ว่าฉันไม่มีทางหักหลังคุณ”
เธอพูดอย่างตรงไปตรงมา มันทำให้จ้านเซินสงสัยในตัวเธอน้อยลงและหันกลับไปมองที่เหยาจ้าวด้วยความคลางแคลงใจ
เหยาจ้าวเพียงแค่ยักไหล่เฉยๆ “ผมบอกไปแล้ว ตอนนั้นผมแค่ตรวจร่างกายให้เธอตามปกติ ส่วนข้อมูลการรักษาโดยละเอียดนั่นผมจำไม่ได้จริงๆ ยิ่งไปกว่านั้นฉินซียังถูกบังคับให้ปลุกความทรงจำตั้งมากมาย ตอนนั้นผมเคยคุยกับคุณแล้วว่าในอนาคตอาจเกิดโรคแทรกซ้อนขึ้นกับเธอ เช่นการปวดไมเกรนเป็นระยะๆ”
ดูเหมือนว่าเขาจะเคยคุยเรื่องนี้กับจ้านเซินมาก่อน คิ้วของเขาค่อยๆคลายออก แต่สีหน้ายังคงไม่ผ่อนคลาย
เขามองฉินซีสลับกับมองเหยาจ้าว หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่ครู่นึงก็เริ่มเอ่ยปาก “พวกเธอสองคนถูกกักตัวจนกว่าฉันจะได้บทสนทนาที่ชัดเจนของพวกเธอ”
เขาพูดจบพลางลุกขึ้นยืน
ในสมองของฉินซีไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับการถูกกักตัวอยู่เลย เธอคิดว่านี่คือการลงโทษรูปแบบหนึ่งที่เกิดขึ้นหลังจากที่จ้านเซินเข้ามาบริหารองค์กร
แต่เมื่อมองเห็นท่าทางที่นิ่งเฉยของเหยาจ้าวแล้ว ฉินซีก็ยิ่งคิดไปเองว่าคงเป็นการกักขังธรรมดาๆก็เท่านั้น ไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร
ทันทีที่จ้านเซินโบกมือ ฉินซีและเหยาจ้าวก็ถูกพาตัวไปที่ห้องกักขัง
เมื่อฉินซีเห็นข้างในอย่างชัดๆ ก็อดที่จะหวั่นใจไม่ได้
ห้องกักขังไม่ใช่ห้องสีดำธรรมดาๆอย่างที่เธอคิด ในทางกลับกัน ในห้องนั้นไม่ใช่เรื่องเล็กๆเลยสักนิด
ห้องนั้นเล็กและแคบมาก จนอย่างกับว่าสามารถรองรับได้แค่เธอเพียงคนเดียว ยิ่งไปกว่านั้นในห้องยังมีตะเข็บแคบๆที่สร้างจากคอนกรีต มันจะพอดีกับรูปร่างของฉินซีก็ต่อเมื่อเธอขดตัวอยู่ในท่าที่บิดเบี้ยวในนั้น
นั่งไม่ได้ ยืนก็ไม่ได้ ทำได้เพียงแค่ขดตัวอยู่แบบนี้เท่านั้น ไม่นานนักเท้าก็เริ่มชา แต่ไม่มีพื้นที่พอที่จะยืดขาออก
ตอนนี้ฉินซีเพิ่งได้รู้ซึ้งถึงความน่ากลัวที่แท้จริงของห้องกักขัง
ห้องกักขังของ เหยาจ้าวอยู่ตรงข้ามกับเธอ ดังนั้นเธอจึงเห็นว่า เหยาจ้าวเองก็อยู่ในห้องนั้นด้วยท่าทางที่ดูอึดอัดเช่นเดียวกัน
คนที่รับผิดชอบพาพวกเขาเข้ามาในนี้ ปิดประตูด้านนอกและเดินออกไป ปล่อยให้ฉินซีและเหยาจ้าวอยู่กันสองคน
นี่อาจไม่ใช่ครั้งแรกที่เหยาจ้าวมาที่นี่ สีหน้าของเขาดูเฉยเมย เขาหลับตาลงเหมือนต้องการพักผ่อน
แต่ฉินซีไม่ได้สงบนิ่งเหมือนกับเขา
เธออดไม่ได้ที่จะเอ่ยปาก พูดกระซิบเสียงค่อย “พี่ชาย?”
เธอแทบจะไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับตระกูลเหยาเลย ตระกูลเหยาล้มละลายหลังจากที่เธอเกิดได้ไม่นาน เหยาหมิ่นอยู่ภายใต้การดูแลของฉินซึ่งเทียน และไม่มีการติดต่อใดๆกับครอบครัวของตัวเอง โดยปกติแล้วฉินซีไม่เคยพบกับคนตระกูลเหยามาก่อน
ไม่คาดคิดว่าครั้งแรกที่ได้เจอกัน จะตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้
ตามที่กล่าวมานี้…การที่เหยาจ้าวคอยช่วยเหลือตัวเองมาตลอดนั้น ไม่ใช่ว่ามันไม่มีเหตุผล
เหยาจ้าวส่งเสียงออกมาเบาๆ ซึ่งถือเป็นการตอบสนองกลับสำหรับฉินซี
ฉินซีอดไม่ได้ที่จะถามต่อ “คุณเป็นลูกพี่ลูกน้องกับฉันจริงๆเหรอ”
เหยาจ้าวหัวเราะออกมาเบาๆ “เธอไม่เต็มใจที่จะเห็นฉันเป็นพี่ชายของเธองั้นเหรอ”
ฉินซีอยากจะส่ายหน้า แต่ศีรษะกลับถูกับคอนกรีต จึงทำได้แค่ตอบกลับ “ฉันก็แค่รู้สึกว่ามัน…วิเศษสุดๆไปเลย”
นับจากที่เหยาหมิ่นจากไป เธอก็คิดว่าโลกนี้มันไม่มีความหมายอะไรกับเธออีกแล้ว แต่ไม่คิดเลยว่า ยังมีอานหยัน เพื่อนคนอื่นๆ ลู่เซิ่น…และยังมีพี่ชายอีกคนหนึ่ง
เมื่อรู้ตัวว่าตัวเองกำลังคิดถึงลู่เซิ่นอีกแล้ว ฉินซีก็เม้มปากของตัวเอง
เหยาจ้าวพูดขึ้นได้ถูกเวลาพอดี “เธอไม่ต้องคิดมากหรอก ฉันรู้เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเราก่อนเธอเมื่อไม่นานมานี้เอง แต่ว่า…นี่มันก็ไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเราสองคนไม่ใช่หรือไง เราเป็นญาติกันแค่ในนาม จริงๆแล้วกลับไม่รู้จักกันเลยด้วยซ้ำ”
ในใจของฉินซีเกิดแสงสว่างวาบ เธอเข้าใจความหมายของเหยาจ้าวได้ทันที…ที่นี่ก็น่าจะมีเครื่องดักฟังอยู่ด้วย
ฉินซีจึงตอบกลับอย่างเป็นธรรมชาติ “ฉันรู้อยู่แล้ว”
เหยาจ้าวตอบกลับอย่างเย็นชา “งั้นก็ดี รอให้ตรวจสอบเสียงบันทึกเสร็จเมื่อไหร่ จ้านเซินก็จะได้รู้ว่าฉันไม่ได้พูดอะไรเลย เธอก็แค่ปวดหัวจนพูดอะไรไร้สาระก็เท่านั้น”
ฉินซียิ้ม แต่ความคิดมากมายผลุดเข้ามาในสมอง
สาเหตุที่เหยาจ้าวพูดออกมาแบบนี้ หรือเป็นเพราะว่า…เขาปลอมแปลงเสียงบันทึกนั้นงั้นเหรอ
ทำได้จริงๆเหรอ
ฉินซีเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่ที่นี่ไม่เหมาะที่จะพูดในตอนนี้ เหยาจ้าวเองก็ดูไม่คิดจะพูดอะไรต่ออีก ฉินซีจึงทำได้แค่สงบปากสงบคำ
ดังนั้นความสนใจทั้งหมดจึงกลับมาที่ตัวเอง
ท่านี้มัน…เจ็บชะมัด
ฉินซีรู้สึกว่าขาของเธอข้ามผ่านระยะของความเจ็บปวดไปแล้ว ถึงขั้นไม่รู้สึกถึงการมีอยู่ของขาตัวเอง แต่ถ้าเธอคิดจะขยับแม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม เธอก็จะชนเข้ากับคอนกรีต
ไม่รู้ว่านี่เป็นการจงใจหรือไม่ พื้นผิวคอนกรีตในนี้หยาบมาก ผิวของฉินซีค่อนข้างบอบบาง แม้ถูเบาๆก็ทำให้ผิวถลอกได้
ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ขาทั้งสองข้างของฉินซีไม่มีความรู้สึกแล้ว หัวเข่าและข้อศอกก็เสียดสีอยู่หลายต่อหลายครั้ง จนตอนนี้มีเลือดไหลซึมออกมาเล็กน้อย
แต่ประตูห้องกักขังยังคงปิดแน่น
ฉินซีไม่มีทางเลือก นอกจากคุยกับเหยาจ้าว เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของตัวเอง
“คุณรู้ได้ยังไงว่าคนที่ให้ทุนสนับสนุนคุณคือองค์กร” ฉินซีสุ่มประเด็นสนทนา
เหยาจ้าวยังคงกังวลที่จะเบี่ยงความสนใจ เพราะอย่างนั้นจึงตอบคำถามนี้ “บังเอิญเจอเข้าหลังจากที่ฉันเข้ามาในองค์กร”
ฉินซีอยากจะพยักหน้า แต่ทั้งร่างกายไม่มีส่วนไหนตั้งตรงอยู่เลย เพราะอย่างนั้นจึงไม่ได้ควบคุมแรงได้ อีกทั้งหน้าผากก็ถูกเสียดสีอีกด้วย มันทำให้ดูยิ่งน่าสังเวชมากยิ่งขึ้น
ในขณะที่เธอคิดจะพูดนั้น จู่ๆประตูห้องกักขังก็เปิดออก
ฉินซีไม่ได้เงยหน้าขึ้น เพียงอาศัยฟังเสียงฝีเท้าก็รู้ได้ว่า คนที่เดินเข้ามาคือจ้านเซิน
เขาไม่ได้เดินเข้ามาทางฉินซี แต่กลับไปทางฝั่งของเหยาจ้าว จ้านเซินพูดสองสามประโยคจากนั้นก็สั่งให้คนปล่อยตัวเขา สองคนพยุงตัวเขาออกมาจากห้องกักขัง
ประตูปิดลงอีกครั้ง มีเพียงฉินซีและจ้านเซินเท่านั้นที่ยังคงอยู่ในห้องกักขัง
เขาก้าวไปที่ด้านหน้าของฉินซีอย่างช้าๆและทรุดตัวนั่งลงยองๆ
“แย่จัง ฉันได้ยินอะไรจากเสียงบันทึกไหมนะ” จ้านเซินพูดขึ้น
ฉินซีที่กำลังหลับตา ไม่ได้มองเขา เธอหัวเราะเยาะออกมาโดยที่ไม่ได้ตอบอะไรกลับไป
จ้านเซินพยายามบีบให้เธอพูดออกมา
หากแต่เหยาจ้าวเตือนแล้วว่าสถานะของฉินซีในตอนนี้ ก็ไม่อาจหลีกเลี่ยง “มาตรการตกปลา”ของ จ้านเซินได้
แต่เหยาจ้าวได้เตือนเธอไว้แล้ว แน่นอนว่าฉินซีไม่ติดกับแน่นอน
สีหน้าของจ้านเซินเปลี่ยนไปดูอึมครึมเล็กน้อย “ตอนที่เธอปวดหัว สามารถพูดเรื่องไร้สาระได้มากขนาดนี้เลยงั้นเหรอ”
ฉินซีเลิกคิ้วขึ้น “ตอนนั้นฉันจะไปรู้ได้ไงว่าตัวเองพูดอะไรออกไปบ้าง”
“หืม?” จ้านเซินนิ่งไปชั่วขณะ เขาหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋าเสื้อขึ้นมากดสองสามครั้ง เสียงจากการบันทึกอันใหม่ก็ดังขึ้น
ฉินซีขมวดคิ้วเมื่อได้ยินเสียงของตัวเอง