Flash Marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน - ตอนที่ 1251
บทที่ 1251 ผีหลงสติปัญญาชั่วคราว
“ทำไมหรือ” อาสามตอบอย่างแปลกใจ “หุ้นของบริษัทลู่ซื่อก็สามารถเรียกได้ว่าขายดีเป็นเทน้ำเทท่า คราวนี้ราคาดิ่งลงกะทันหัน จะต้องมีคนหวั่นไหว นี่ก็เป็นเรื่องปกติไม่ใช่หรือ”
เสียงของคนฝั่งนั้นยิ่งพูดก็ยิ่งเย็นยะเยือก “ก่อนหน้านี้พวกเราได้เกริ่นไปล่วงหน้าแล้ว บริษัทที่มีเงินทุนก้อนโตที่สามารถใช้สอยได้ภายในระยะเวลาสั้นขนาดนี้ ล้วนสัญญากับพวกเราหมดแล้วว่า จะไม่เข้ามายุ่งในตลาดหุ้นนี้ง่ายๆ
สีหน้าอาสามแข็งทื่อ
เขาไม่รู้สึกแปลกใจอะไรที่ระหว่างแต่ละบริษัทมีข้อตกลงและการนัดหมายแบบนี้ สิ่งที่เขากังวลทั้งหมดนั้นมีเพียงแค่เรื่องเดียว………
ถ้าหากฝ่ายตรงข้ามลงทุนลงแรงรับประกันว่าการค้าในครั้งนี้จะสามารถบรรลุเป้าหมายได้ ถ้าหากว่าการค้านี้ไม่สำเร็จล่ะก็ แบบนี้เกรงว่าค่าใช้จ่ายที่ใช้ในการเปิดช่องทางทั้งหมดจะต้องมานับเอากับเขาแล้ว
ตอนนั้นตัวเอง……มีวิธีการในการจ่ายชดเชยเยอะขนาดนั้นไหมนะ
มือของอาสามชื้นเหงื่อเล็กน้อย แต่ว่ายังคงรักษาความสงบนิ่งของตัวเองเอาอย่างสุดความสามารถ สายตาของเขาเบนกลับมาที่หน้าจอคอมพิวเตอร์อีกครั้ง หลังจากนั้นสองสามวินาทีถึงจะตอบคำถาม “ฝ่ายตรงข้ามโยนเงินเข้ามาสองร้อยล้าน……ไม่ว่าคู่ต่อสู้จะเป็นใคร การโยนเงินทุนก้อนใหญ่เข้ามาภายในระยะเวลาอันสั้นแบบนี้ จะต้องเดินต่อไปไม่ได้แล้ว พวกเรารออีกสักหน่อย รอจนฝ่ายตรงข้ามเงียบก่อน ค่อยดำเนินการต่อไป”
ตอนนี้ทางบริษัทนั้นกับอาสามได้เป็นตั๊กแตนที่อยู่บนเชือกเส้นเดียวกันแล้ว ตอนนี้พวกเขาล้วนรู้สึกเสียใจในภายหลังต่อการกระทำที่ตกลงอย่างง่ายดายของตัวเองในแผนการของเขา เพียงแต่จำนวนเงินที่ลงทุนในช่วงแรกเยอะมากขนาดนี้ มาถอยกรูดในตอนนี้ เงินทั้งหมดก่อนหน้านี้จะไม่เป็นการเสียเปล่าโดยไม่ได้ผลลัพธ์ใดๆหรอกหรือ
ดังนั้นพวกเขาจึงทำได้เพียงแค่ฝืนตอบรับข้อเสนอที่อาสามเอ่ยขึ้นมา
เมื่อวางสายโทรศัพท์แล้ว สีหน้าของอาสามก็ซีดขาวอยู่บ้างอย่างเห็นได้ชัด
ภายในระยะเวลามากมายขนาดนี้ มีการเตรียมเงินทุนมากมายได้พร้อมสรรพแบบนี้ และยังคำนวณเวลาเข้าตลาดหุ้นได้อย่างแม่นยำ
ภายใต้เงื่อนไขมากมายที่สุมทับเข้าด้วยกัน ที่จริงแล้วในใจของเขาคาดเดาว่าฝ่ายตรงข้ามเป็นใครได้อย่างเลือนราง
แต่ว่าเขาไม่กล้าพูดถึงการคาดเดาแบบนี้ของตัวเองออกมา มิเช่นนั้น……..ถ้าเกิดว่ากลายเป็นเรื่องจริงขึ้นมา
เขาควรจะทำอย่างไร
อาสามทำได้เพียงแค่กัดฟันหลอกตัวเอง หวังว่าจะมีความหวังเส้นบางๆอยู่
ถ้าหากว่าไม่ใช่เขาล่ะ………
ขอเพียงแค่ไม่ใช่เขาก็พอแล้ว………
เขาขบกรามแน่น ดวงตาคู่หนึ่งจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์เขม็ง
ในที่สุด หลังจากที่มีการซื้อหุ้นของเงินทุนจำนวนมากเป็นเวลาสิบนาทีแล้ว ก็มีแนวโน้มที่ค่อยๆอ่อนตัวลง และเมื่อผ่านไปอีกไม่กี่นาที ก็หยุดนิ่งในที่สุด
อาสามแอบถอนหายใจเงียบๆ
ปล่อยมือง่ายๆขนาดนี้ ดูท่าจะไม่ใช่เขา
เขาจึงเบาใจได้นิดหน่อย พลางหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาต่อสายออกไปอีกครั้ง
“ฉันเอง” เสียงของอาสามแฝงไปด้วยการปลอบประโลมคน “ตอนนี้ฝ่ายตรงข้ามหยุดเข้าตลาดหุ้นแล้ว พวกเราสามารถดำเนินการต่อไปได้”
“ได้” ฝ่ายตรงข้ามรับคำตรงไปตรงมา
อาสามวางสายโทรศัพท์ มองการเปลี่ยนแปลงของเส้นกราฟบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ด้วยสายตาลุ่มลึก
…….
ในเวลาเดียวกัน ณ ห้องทำงานบริษัทลู่ซื่อ
สายตาของลู่เซิ่นก็จ้องเขม็งอยู่ที่หน้าจอคอมพิวเตอร์เช่นกัน
“ประธานลู่…….” หลินหยังมือหนึ่งถือโทรศัพท์มือถือ หันหน้ามองไปที่ลู่เซิ่น “กลุ่มเงินทุนของฝ่ายตรงข้ามหยุดซื้อแล้วครับ”
ลู่เซิ่นพยักหน้าเรียบๆ “เห็นแล้วล่ะ”
เส้นโค้งหักบนหน้าจอคอมพิวเตอร์เหมือนกับจะยืนยันคำพูดของเขา แนวโน้มการพุ่งสูงนั้นหยุดทันที เหมือนกับตอนที่ราคาเปิด จู่ๆก็มีการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน
มุมปากลู่เซิ่นประดับไปด้วยรอยยิ้มจางๆ เคาะโต๊ะอย่างไม่ใส่ใจ มองเส้นโค้งที่มีลักษณะดิ่งลงอย่างรวดเร็วด้วยสีหน้าเรียบเฉย
ในตอนที่เส้นโค้งหักเส้นนี้ใกล้จะแตะถึงเส้นสัญญาที่จะหยุดการเทรดหุ้นหลังจากที่ตกลงมาอย่างหนักนั้น เขาถึงได้โบกมือไปทางหลินหยัง
ไม่จำเป็นต้องพูดมาก หลินหยังพยักหน้ารับทราบ เอ่ยสั่งกับอีกฝั่งที่อยู่ในสายโทรศัพท์ว่า “สามารถเข้าตลาดหุ้นได้แล้ว”
เกือบจะเป็นวินาทีถัดไป เส้นโค้งหักเส้นนั้นก็หยุดดิ่งลง และมีแนวโน้มไต่ระดับสูงขึ้นไปอย่างหยุดไม่อยู่
เหมือนกับก่อนหน้านี้ ที่พุ่งสูงขึ้นไปอย่างช้าๆ
ลู่เซิ่นเกือบจะสามารถจินตนาการถึง ท่าทางและสีหน้าของอาสามในตอนนี้ได้ว่าเป็นอย่างไร
แต่จินตนาการแบบนี้กลับทำให้จิตใจของเขามีความสุขอยู่บ้าง
เวลาสองชั่วโมงเต็มๆ ลู่เซิ่นปฏิบัติต่ออาสาม เหมือนกับจับกุมเหยื่อของตัวเองได้แล้ว กลับไม่รีบร้อนที่จะกินมัน แต่ต้องการเล่นกับมันให้พอก่อน ดูท่าทางการดิ้นรนเฮือกสุดท้ายของเหยื่อ ถึงจะรู้สึกว่าน่าสนใจ
ทุกครั้งที่เห็นว่าหุ้นใกล้จะหยุดนิ่ง ค่อยลงมือซื้ออีกหน่อย รอให้เพิ่มขึ้นอีกสักนิด ราคาสูงขึ้นเล็กน้อย ค่อยหยุดซื้อ ตอนที่เห็นว่าเส้นกราฟดิ่งลงจนเกือบจะหยุดนิ่ง ก็ทำแบบเดิมอีกครั้ง
เขาเล่นแบบนี้ตลอดจนถึงสิบเอ็ดโมงครึ่ง ตอนที่ปิดตลาดหุ้นภาคเช้า
เส้นกราฟ K บนหน้าจอคอมพิวเตอร์ก็ไม่ขยับอีก เขาถึงได้ดึงสายตากลับมา มองไปทางหลินหยัง “ตลอดเช้านี้ พวกเขาลงทุนไปเท่าไร”
หลินหยังมองตัวเลขที่การปรึกษาด้านการลงทุนส่งมาบนหน้าจอโทรศัพท์มือถือ ตอบว่า “เกือบจะเป็นเงินกู้ธนาคารทั้งหมดของเขาแล้วครับ” ลู่เซิ่นเลิกคิ้วเล็กน้อย “นี่ก็โยนเงินเข้าไปแล้วหรือ”
หลินหยังยิ้ม ไม่ตอบคำถาม
ลู่เซิ่นยิ้มอย่างไม่ใส่ใจ “อาสามนี่อดเล่นไม่ได้จริงๆ…….พักผ่อนสักครู่ก่อนแล้วกัน รอดูว่าช่วงบ่ายนี้เขาจะมีการเคลื่อนไหวอะไรอีกหรือไม่”
หลินหยังเพิ่งจะพยักหน้ารับคำ ประตูห้องทำงานของลู่เซิ่นก็ถูกเคาะดัง
นัยน์ตาลู่เซิ่นมีแววประหลาดใจพาดผ่าน ส่งสัญญาณให้หลินหยังไปเปิดประตู
ไม่รอให้หลินหยังเดินไป ประตูก็ถูกผลักให้เปิดเข้ามาแล้ว
คนที่ยืนอยู่ข้างหน้าสุดคือสูหยิง
เธอสวมรองเท้าส้นแหลมสูงที่เธอสวมเป็นประจำ เชิดคางขึ้น เดินเข้ามาด้วยความมั่นใจ
รอจนเธอเข้ามาแล้ว ลู่เซิ่นถึงได้เห็น ชายวัยกลางคนสองคนเดินตามหลังเธอเข้ามาอย่างหมดอาลัยตายอยาก
ลู่เซิ่นหรี่ตาลงครู่หนึ่ง ถึงจะจำได้ว่า นี่ก็คือคณะกรรมการที่เป็นคนตระกูลสูสองคนนั้น
เขารู้ชัดแจ้งในใจ สูหยิงคิดจะลงมือที่นี่แล้ว
ดังนั้นเขาจึงไม่ได้ขยับเขยื้อน เพียงแค่นั่งอยู่บนที่นั่งเดิมของตัวเอง มองสูหยิงเงียบๆ
สูหยิงพาคนเข้ามา ก็ส่งสัญญาณให้หลินหยังปิดประตูแล้วออกไป หลินหยังโค้งตัวเล็กน้อย ถอยออกไปตามคำสั่ง
“พี่สาว……” ชายสองคนที่ถูกพาเข้ามาได้ยินเสียงประตูปิดแล้ว ก็เงยหน้ามองไปทางสูหยิง ใบหน้าปรากฏรอยยิ้มประจบเอาใจ “พี่จะทำอะไรหรือ พรุ่งนี้ก็เป็นวันมงคลของประธานลู่แล้ว พี่ยังพาพวกเรามาที่นี่อีก…….”
“หุบปาก” สูหยิงตัดบทเขาเรียบๆอย่างเย็นชา “ฉันพานายมาที่นี่ทำไม นายไม่ได้รู้อยู่แก่ใจหรือไง”
ชายคนนั้นตัวสั่นระริกอยู่ชั่วครู่ สายตาก็เริ่มล่อกแล่กไปมา “ผม….ผมจะรู้ได้อย่างไรกัน……..”
“พูดจาเหลวไหล!” สูหยิงตบโต๊ะ หันหน้าไปมองลู่เซิ่น “ลูกดูแลบริษัทยังไงกัน มีคนทรยศก็ยังไม่รู้หรือ”
ลู่เซิ่นเม้มปาก ไม่ตอบคำถาม
สูหยิงกำลังแสดงละคร เขาย่อมทำได้แค่ให้ความร่วมมือในการแสดงเท่านั้น
สูหยิงเห็นเขาไม่พูดไม่จา ก็หันหน้าไปมองชายหนุ่มสองคนนั้น “พวกนายสองคนนี่เยี่ยมจริงๆ”
“พี่สาว พี่…….” ชายหนุ่มคนนั้นคิดอยากจะอ้าปากพูด แต่ก็ถูกสูหยิงตัดบทไป
“อย่ามาพูดเรื่องไม่มีประโยชน์พวกนั้นกับฉัน!” สูหยิงถลึงตาใส่เขา “ไม่พูดใช่มั้ย ดี ฉันจะบอกนายให้นะ! พวกนายสองคนตั้งใจหันไปสนับสนุนเรื่องของคนอื่น ฉันรู้ชัดเจนแจ่มแจ้งแล้ว!”
ผู้ชายสองคนนั้นตัวสั่นระริก
“ผม…..ผมแค่…..ผีหลงสติปัญญา ไม่เข้าใจปัญหาชั่วคราวครับพี่สาว!” จู่ๆชายที่ตั้งแต่เข้ามาไม่เอ่ยพูดอะไรออกมาแม้แต่ประโยคเดียวคนนั้นคุกเข่าลงไป