Flash Marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน - ตอนที่ 1264
บทที่ 1264 ลางบอกเหตุพายุฝนที่กำลังจะมาถึงในเร็วๆนี้
คล้ายกับมีเสียงฟ้าผ่าดังขึ้นที่ข้างหูของฉินซี ทำให้ความคิดอันงดงามในสมองของเธอกระจายหายไปจนหมดสิ้น
เธอถอยหลังไปก้าวหนึ่งทันที ความรู้สึกบนใบหน้ากลายเป็นความระแวดระวังอย่างมาก “คุณมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรกัน”
แววตาของลู่เซิ่นยังคงจับจ้องที่ฉินซีเขม็ง จากสายตาดูแล้วคล้ายกับหมาป่าที่พบกับเหยื่อแล้ว
บนใบหน้าเขาประดับด้วยรอยยิ้มที่คล้ายยิ้ม คล้ายไม่ยิ้มเอาไว้ ตอบอย่างเชื่องช้าว่า “ที่นี่เป็นบ้านของผม ผมไม่สามารถปรากฏตัวขึ้นที่นี่ได้หรือ”
ฉินซีถูกย้อนกลับ ยังไม่ทันจะพูดอะไร ลู่เซิ่นก็เขยิบเข้ามาใกล้อีกก้าวหนึ่ง
“คุณไม่คิดหรือว่า ประโยคนี้ น่าจะเป็นผมที่ถามคุณ ถึงจะถูก ฉินซี คุณมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”
การขยับเข้ามาใกล้อย่างกะทันหันของเขา ทำให้เส้นประสาทของฉินซีตึงเครียดยิ่งขึ้น เธอฝืนหายใจเข้าครั้งหนึ่ง บังคับให้ตัวเองเงยหน้าสบตากับลู่เซิ่น
สาเหตุที่เธอเลือกเดินเข้ามาอย่างเปิดเผยเช่นนี้ ก็เป็นเพราะแน่ใจแล้วว่า ลู่เซิ่นไม่อาจจะปรากฏตัวขึ้นที่นี่ในคืนวันนี้ได้
ถ้ารู้แต่แรกว่าก่อนแต่งงานวันหนึ่ง ลู่เซิ่นยังมาที่นี่ได้อย่างสบายอกสบายใจ อย่างนั้นเธอจะต้องเลือกที่จะไม่ทำให้ใครแตกตื่น ลักลอบเข้ามาเงียบๆโดยไม่ให้ใครรู้แน่นอน
นัยน์ตาของลู่เซิ่นดำสนิท ฉินซีมองอยู่นาน ก็รู้สึกเหมือนว่าวิญญาณของตัวเองจะถูกเขาพาไป
ดังนั้นเธอแทบจะหลบหลีกสายตาอย่างสุดความสามารถ
“ฉันแค่ผ่านมา” เธอพยายามให้น้ำเสียงของตัวเองเย็นชาเล็กน้อย “ถ้าหากว่าคุณไม่ต้อนรับฉัน ฉันสามารถจากไปในตอนนี้ได้เลย”
เธอเอ่ยจบแล้ว ก็ทำท่าทำทางจะจากไป แต่ข้อมือกลับถูกคว้าเอาไว้แน่น
“คุณคิดจริงๆหรือว่า บ้านผมเป็นโรงแรมน่ะ คุณนึกจะมาก็มา นึกจะไปก็ไปหรือ” น้ำเสียงของลู่เซิ่นเจือไปด้วยแววหยอกล้อหลายส่วน แต่เรี่ยวแรงที่เผยออกมาจากมือบอกกับฉินซีว่า เขาไม่ได้สงบเยือกเย็นเหมือนกับที่เห็นแบบนั้น
“ลู่เซิ่น” ฉินซีเม้มริมฝีปาก หันหน้าไปมองเขา “คุณปล่อยมือ”
แต่คำสามคำนี้เหมือนกับว่าแทงถูกจุดที่เจ็บปวดสักแห่งของลู่เซิ่น เดิมรอยยิ้มเสแสร้งที่ประดับอยู่บนใบหน้าของเขาก็เลือนหายในทันที สีหน้าเย็นชาลง แฝงไปด้วยความอำมหิตอยู่หลายส่วน เขาไม่เพียงแต่ไม่ปล่อยมือ แต่กลับเขยิบเข้ามาใกล้อีกก้าวหนึ่งด้วย มองเธอตั้งแต่บนลงล่างอย่างใกล้ชิด “ปล่อยมือหรือ ฉินซี คุณบอกให้ผมปล่อยมือหรือ”
ความเจ็บปวดบนข้อมือทำให้ฉินซีตื่นตัวอยู่หลายส่วน เธอเห็นอารมณ์ความรู้สึกที่ผิดปกติของลู่เซิ่นได้อย่างชัดเจนแล้ว ก็ถอนหายใจ “พวกเรามาคุยกันเถอะ”
เดิมเธอคิดว่า อย่างไรคนที่โกรธก็มีแต่ตัวเองถึงจะถูก คิดไม่ถึงเลยว่าตัวเองกลับต้องหันกลับมาเอาใจลู่เซิ่น
ลู่เซิ่นจ้องเธอเขม็งอยู่หลายวินาที เหมือนกับยืนยันว่าเธอเป็นจริงๆ
หลังจากนั้นสองสามวินาที ก็ค่อยๆผ่อนแรงลง ถอยไปด้านหลัง
แต่ว่าไม่ได้ปล่อยมือออก คล้ายกับรู้สึกว่า ถ้าตัวเองปล่อยมือ ฉินซีจะหายตัวไปอย่างไรอย่างนั้น
“คุณไม่มีอะไรจะอธิบายกับฉันหรือ”
ทั้งสองคนเกือบจะเอ่ยปากพูดขึ้นมาเป็นเสียงเดียวกัน
ความเข้าใจซึ่งกันและกันอย่างแปลกๆทำให้ทั้งสองคนชะงัก บนใบหน้าปรากฏรอยยิ้มขึ้นมา
บรรยากาศในสถานการณ์จึงไม่ได้ตึงเครียดขนาดนั้นอีกแล้ว
คราวนี้ลู่เซิ่นเป็นฝ่ายปล่อยมือออกเอง เดินไปยังโซฟา เชิดคางขึ้น “นั่งสิ พวกเราค่อยๆคุยกัน”
สำหรับฉินซีแล้ว บรรยากาศที่ผ่อนคลายลงย่อมเป็นสิ่งที่ได้มาอย่างไม่คาดฝัน จึงพยักหน้าตอบรับ เดินตามลู่เซิ่นไปถึงโซฟาด้านข้าง และนั่งลง
แต่เมื่อนั่งลงแล้ว เธอก็รู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง
ลู่เซิ่นอยู่ใกล้ตัวเองเกินไปแล้ว
ในฐานะของคนที่จะแต่งงานกับคนอื่นในเร็วๆนี้ อย่างน้อยลู่เซิ่นก็น่าจะรักษาระยะห่างระหว่างบุคคลกับตัวเองถึงจะถูกไม่ใช่หรือ
แต่เขากลับทำเหมือนไม่รู้อะไร ยังคงนั่งชิดกับตัวเองเหมือนแต่ก่อน
ฉินซีรู้สึกว่าไม่เหมาะสม แต่ก็กลัวว่า ถ้าตัวเองพูดสิ่งเหล่านี้ออกไป จะทำลายความกลมเกลียวที่ได้มาอย่างยากลำบากในตอนนี้ลง ดังนั้นจึงอดทนเอาไว้ สุดท้ายแล้วก็ไม่ได้พูดอะไร
คาดว่าลู่เซิ่นก็น่าจะมีความรู้สึกเดียวกัน ดังนั้นแม้ว่าบนใบหน้าของทั้งสองคนจะถูกเขียนด้วยคำถามที่ยุ่งเหยิงเต็มไปหมด ไม่รู้ว่าในใจมีคำถามเก็บซ่อนเอาไว้มากเท่าไร แต่ภายในห้องกลับเข้าสู่ความเงียบงันในชั่วขณะหนึ่ง
คล้ายกับว่าระหว่างพวกเขาล้วนไม่มีอะไรเกิดขึ้น พวกเขาก็เป็นเพียงแค่คนรักกันธรรมดาสองคนที่ไม่ได้เจอกันนาน ต้องการจะจ้องมองฝ่ายตรงข้ามให้สมใจถึงจะพอ
แต่ว่า……..เวลาของฉินซีมีจำกัด บรรยากาศที่มองดูแล้วอบอุ่น มักจะเป็นภาพลวงตาอย่างหนึ่ง
มักจะต้องถูกทำลายลง
“ขอให้มีความสุขในวันแต่งงานนะ” เห็นอยู่ชัดๆว่าในใจของฉินซีมีคำถามเชิงตำหนิที่อยากจะเอ่ยออกมาอยู่เต็มไปหมด แต่เมื่อคำพูดถึงริมฝีปากแล้ว กลับกลายเป็นประโยคอวยพรที่ไม่จริงใจประโยคหนึ่ง
แต่เมื่อประโยคนี้ของเธอถูกเอ่ยออกมา สีหน้าของลู่เซิ่นก็มืดมนลง
“ฉินซี คุณมีอะไรอยากจะถามผมไหม” ลู่เซิ่นเงียบขรึมอยู่หลายวินาที ไม่ได้ตอบรับคำอวยพรของฉินซี แต่เอ่ยปากถามคำถามแบบนี้ออกมาคำถามหนึ่ง
ฉินซีชะงัก
ทำไมจะไม่มีกัน เธอมีสิ่งที่อยากถามมากมาย มากเสียจนกระทั่งตัวเองก็ไม่รู้ว่าจะเลือกคำถามใดมาเอ่ยถามก่อน
แต่ลู่เซิ่นคล้ายกับไม่มีความอดทนแล้ว
เขาไม่รอให้สมองของฉินซีเลือกเอ่ยคำถามแรกที่เหมาะสมที่สุดออกมา ก็เอ่ยพูดเองเสียอย่างนั้น
“ฉินซี ผมรู้หมดแล้ว” ลู่เซิ่นจ้องมองนัยน์ตาของฉินซี เอ่ยพูดคำต่อคำ
สำหรับคำพูดที่ไม่มีหัวไม่มีหางของเขาประโยคนี้แล้ว ฉินซีขมวดคิ้วอย่างสงสัยขึ้นมาก่อน แต่เมื่อเห็นสีหน้าของลู่เซิ่นแล้ว ในใจของเธอก็มีการคาดเดาที่เหมือนกับสายฟ้าผ่าลงในใจ
สิ่งที่ลู่เซิ่นรู้ก็คือ……องค์กรหรือ
นี่เป็นเรื่องที่ไม่สามารถคิดได้เลย ดังนั้นบนใบหน้าจึงมีความตื่นตระหนกพาดผ่านอย่างเลี่ยงไม่ได้
แต่ความรู้สึกตื่นตระหนกนี้กลับถูกลู่เซิ่นมองเป็นหลักฐานแห่งความละอายใจ นัยน์ตาเขาอับแสงลง
“คุณ……คุณรู้อะไร” ฉินซีหวังถึงความโชคดีที่ไม่คาดฝันในใจ แต่สุดท้ายแล้วก็เอ่ยปากถาม
ลู่เซิ่นหัวเราะเยาะเสียงเบา “คุณคิดว่าผมจะรู้อะไรได้ล่ะ เมื่อรู้ว่าคนที่ผมเคยรัก กลับกลายเป็นหน่วยข่าวกรองขององค์กรใต้ดิน ก็ทำให้ผมประหลาดใจไม่มีที่สิ้นสุดจริงๆ”
ฉินซีคาดไม่ถึงว่า ลู่เซิ่นจะพูดออกมาอย่างตรงไปตรงมาและชัดเจนแบบนี้ ชั่วขณะจึงไม่รู้ว่าจะต่อบทสนทนาอย่างไร รู้เพียงแต่ว่า อาศัยสัญชาตญาณเอ่ยถามออกไปอย่างงงงวย “ทำไมคุณ…….”
“ผมรู้ได้อย่างไรใช่ไหม” ลู่เซิ่นเรียกได้ว่ามีน้ำใจเอ่ยเสริมประโยคคำถามนี้ของฉินซีให้ชัดเจนด้วย “เรื่องแบบนี้ ยังต้องขอบคุณเพื่อนร่วมงานที่รักของคุณ ถังย่าไง”
ความผิดปกติในนัยน์ตาของฉินซีชัดเจนมากขึ้นกว่าเดิม
เขารู้จักตัวเอง รู้จักถังย่า อย่างนั้นเขา…..ยังรู้อะไรอีก
เหมือนกับมองออกถึงความคิดของฉินซี ลู่เซิ่นเอ่ยต่อว่า “ผมไม่เพียงแต่รู้จักพวกคุณอย่างชัดเจน ยังรู้อีกว่า ผู้นำของพวกคุณชื่อว่า จ้านเซิน”
คราวนี้จิตใจที่มั่นคงของฉินซีตะลึงบ้างแล้ว เงยหน้ามองไปทางลู่เซิ่นในทันที
การที่ลู่เซิ่นรู้ข้อมูลผิวเผินทั้งหมดขององค์กรนั้น เธอก็สามารถคาดเดาได้ ถึงอย่างไรก็เป็นผู้นำตระกูลลู่ แม้แต่ข้อมูลในระดับนี้จะไม่มีก็ไม่ใช่
แต่ว่าชื่อของจ้านเซิน…….แม้ว่าจะเป็นภายในองค์กร ล้วนไม่ใช่ข้อมูลที่เปิดเผย ลู่เซิ่นรู้ได้อย่างไรกัน
“ดูเหมือนคุณจะมีสิ่งที่อยากถามผมมากมาย” สีหน้าของลู่เซิ่นสงบเยือกเย็นขึ้นเรื่อยๆ
ถ้าหากว่าหลินหยังอยู่ในเหตุการณ์นี้ด้วย เขาต้องรู้แน่นอนว่า ความสงบแบบนี้ของลู่เซิ่น เป็นลางบอกเหตุถึงพายุฝนที่กำลังจะมาถึงในเร็วๆนี้
ตอนนี้ฉินซีกลับไม่ความรู้สึกไวต่อการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ของลู่เซิ่นที่ควรมี เพราะข้อมูลที่ได้รับนั้นกะทันหันเกินไป จึงทำเพียงแค่มองลู่เซิ่น และพยักหน้าให้