Flash Marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน - ตอนที่ 1309
บทที่ 1309 พรากจากกัน
แก้ไขเรื่องนี้แล้ว สภาพจิตใจของฉินซีก็เปลี่ยนเป็นดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
สองวันต่อจากนี้ เป็นช่วงเวลาที่ผ่อนคลายที่สุดของลู่เซิ่นและฉินซีในช่วงเวลายาวนานที่ผ่านมานี้
ทั้งสองคนพยายามที่จะไม่พูดถึงเรื่องที่มีเวลาอยู่ด้วยกันอีกแค่สองวัน แค่พยายามทำให้ดีที่สุด ใช้เวลาอยู่กับอีกฝ่ายทุกนาทีทุกวินาที
ถึงแม้หลินหยังจะพยายามถ่ายทอดความหมายของลู่เซิ่น “พยายามรบกวนฉันให้น้อยที่สุด” ให้เหล่าผู้บริหารระดับสูงแล้ว แต่สุดท้ายแล้วก็ยังมีเรื่องที่ลู่เซิ่นต้องลงลายเซ็นด้วยตัวเอง ภายใต้สถานการณ์นี้หลินหยังจำเป็นต้องไปรบกวน “สามีภรรยาคู่แต่งงานใหม่” ที่เพิ่งจะได้กลับมาเจอกันหลังจากกันไปนาน
หลินหยังไม่เคยคิดว่าเรื่องนี้จะเจ็บปวดขนาดนี้ และหนักหนายิ่งกว่าการอดทนต่อสีหน้าเย็นชาของลู่เซิ่น
ทุกครั้งที่เดินเข้าไปในห้องของลู่เซิ่น เขารู้สึกเหมือนตัวเองเป็นตัวอย่างแมลงที่อยู่ในผลึกอำพัน หรือเป็นแมลงตัวเล็กที่บังเอิญตกลงไปในโหลน้ำผึ้ง บรรยากาศรอบๆ หอมหวานเลี่ยน จนทำให้คนรู้สึกถึงระดับความเหนียว
ทั้งๆ ที่พวกเราทั้งสองคนไม่ได้ทำอะไรที่ร้อนแรงต่อหน้าหลินหยัง แต่แค่มองแววตาของพวกเขาทั้งสองคน ก็ทำให้หลินหยังรู้สึกว่าตัวเองเป็นสุนัขน่าสงสารที่ถูกทารุณกรรม
คิดถึงแฟนสาวของตัวเองเล็กน้อย หลินหยังคิดในใจ
เขาไม่เข้าใจระหว่างลู่เซิ่นและฉินซีจริงแล้วเรื่องเป็นยังไง ทั้งที่ก่อนหน้านี้ทั้งสองคนก็ไม่ถึงขนาดนี้
น่าจะเป็นคู่แต่งงานที่จากกันไปนานและเพิ่งได้กลับมาพบกันจริงสินะ?
หลินหยังคิดคำตอบไม่ออก ทำได้แค่สะบัดหน้าไล่คำถามออกไป และถือเอกสารที่ลู่เซิ่นเซ็นเสร็จเรียบร้อยแล้วเดินออกจากห้องไป
แต่ช่วงเวลาอย่างนี้ช่างสั้นเหลือเกิน
ถึงแม้ทั้งสองคนจะพยายามใช้เวลาทุกนาทีทุกวินาทีอย่างมีค่า อยากจะยืดเวลาจากหนึ่งวินาทีให้กลายเป็นสิบวินาที แต่ช่วงเวลาที่ต้องจากกันก็มาถึงในพริบตา
ท้องฟ้านอกหน้าต่างค่อยมืดลง บรรยากาศในห้องเริ่มมีความท้อแท้เล็กน้อย
ลู่เซิ่นและฉินซียังคงอยู่บนโซฟา ไม่มีใครพูดอะไร
หน้าจอโทรศัพท์ของลู่เซิ่นสว่างขึ้นและดับลงอีกครั้ง เขาไม่แม้แต่จะหันไปมองข้อความที่หลินหยังส่งมาแม้แต่น้อย
เขารู้ว่าเนื้อหาข้อความที่ส่งมาคืออะไร
“คนขับรถมาถึงท่าเรือสองทุ่ม”
แน่นอนลู่เซิ่นสามารถยืดตารางเวลาของตัวเองออกไปได้ ถ้าเขายินดีอยู่บนเรือสำราญนี้หนึ่งปี แต่เขาก็รู้ดีสิ่งเหล่านี้ไม่มีความหมายอะไร
เพราะฉินซีแยกไปเร็วกว่าเขาเสียอีก
ไม่มีฉินซีแล้ว อยู่ที่นี่ต่อไปจะมีความหมายอะไร?
“องค์กรจะส่งคนมารับคุณไหม?”
ไม่รู้ว่าเงียบไปนานแค่ไหน ลู่เซิ่นเปิดปากทำลายความเงียบขึ้นมากะทันหัน
สภาพจิตใจของฉินซียังคงท้อแท้อยู่เล็กน้อย ทำได้แค่พยักหน้าและไม่ตอบอะไร
ลู่เซิ่นเม้มปาก ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี
เวลาค่อยๆ เลื่อนไปถึงหนึ่งทุ่ม
ท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นมืดสนิท
ฉินซีอยากจะให้เวลาหยุดอยู่แค่นี้ แต่ก็เป็นไปไม่ได้
เธอค่อยนั่งตัวตรง คิดอยากจะหันกลับไปพูดบอกลากับลู่เซิ่น แต่กลับรู้สึกว่าตัวเรือสั่นอย่างรุนแรงอยู่สักพัก
เธอตกใจจนหน้าถอดสี
ท่าทางของลู่เซิ่นก็ดูจริงจังขึ้นเล็กน้อย
พวกเรารู้ดี การเคลื่อนไหวแบบนี้ไม่ใช่เรื่องทั่วไปอะไร แต่…
“เกิดอะไรขึ้น?”
“ระเบิด!”
ทันใดนั้นก็มีเสียงกรีดร้องของใครก็ไม่รู้ดังมาจากด้านนอก และยังมีเสียงร้องแตกตื่นของผู้คนที่ตะโกนกันมาอย่างวุ่นวาย
ลู่เซิ่นลุกขึ้นยืนทันที ฉินซีก็ลุกขึ้นตามด้วย
“คุณอยู่นี่อย่าขยับ ฉันจะออกไปดู” ลู่เซิ่นจับไหล่ของฉินซีไว้ ไม่ให้ขยับ
ฉินซีส่ายหน้า : “ฉันไปกับคุณด้วย”
ด้านนอกวุ่นวายไปหมด การตรวจสอบก็ไม่สามารถตรวจสอบได้
ว่าแล้วก็น่าสงสาร นี่แทบจะเป็นโอกาสเดียวที่เธอจะได้เดินอยู่ด้านนอกข้างกายลู่เซิ่น
ลู่เซิ่นยังไม่ทันได้พูดอะไร ก็ถูกกระแทกเข้าอย่างแรง : “ประธานลู่! ประธานลู่! ด้านหลังของห้องโดยสารระเบิดแล้ว! รีบออกมาเถอะ!”
เป็นเสียงของหลินหยัง น้อยมากที่ลู่เซิ่นจะได้ยินน้ำเสียงเสียการควบคุมของเขา ไม่อยากโต้เถียงอะไรกับฉินซีแล้ว ทำได้แค่ดึงมือเธอไปที่หน้าประตูและเปิดประตูออก
ผมของหลินหยังยุ่งเหยิงไปหมด เสียงเหนื่อยหอบ แต่ยังจำกฎได้ว่าไม่สามารถให้ฉินซีปรากฏตัวต่อหน้าคนนอกได้ จึงไม่มีบอดี้การ์ดมาด้วย มีเพียงแค่เขาคนเดียว
เพื่อความสะดวก ลู่เซิ่นเหมาไว้ทั้งชั้น ดังนั้นทั้งชั้นบนสุดจึงไม่มีเสียงคนวิ่งไปวิ่งมารบกวน แต่ก็ยังได้ยินเสียงตื่นตกใจของผู้คน
“เกิดอะไรขึ้น?” ลู่เซิ่นถามสีหน้าเคร่งขรึม น้ำเสียงยังคงสงบนิ่ง
“พบระเบิดสองลูกด้านหลังห้องโดยสาร และถูกจุดชนวนแล้ว สาเหตุเป็นเพราะอะไรยังไม่ชัดเจน” หลินหยังรีบตอบอย่างรวดเร็ว และพูดต่อทันทีว่า “ถึงแม้จะเป็นการระเบิดภายใน กัปตันบอกว่าตัวเรือไม่ได้รับความเสียหายที่โดดเด่น แต่ก็มีรอยแตก อาจจะเป็นอันตรายได้ ประธานลู่ ฉินซี พวกเรารีบออกไปกันเถอะ”
ฉินซีขมวดคิ้วแน่น
มีระเบิดบนเรือ?
ทำไมเธอถึงไม่รู้!
ไม่ใช่ว่าฉินซีจะอวดดี แต่ภารกิจที่เธอรับผิดชอบ ต้องมีการตรวจสอบอย่างละเอียดก่อนดำเนินการอย่างแน่นอน ถ้ามีคนลงมือก่อนหน้า เป็นไม่ได้ที่เธอจะไม่รู้
เวลาเดียวที่เป็นไปได้ หลังจากที่ฉินซีเสร็จภารกิจ และใช้เวลาสองวันนี้อยู่กับลู่เซิ่นอย่างหอมหวาน
เรียกได้ว่า คนที่จุดระเบิด ลงมือหลังจากขึ้นเรือ
ระเบิดผ่านการตรวจสอบความปลอดภัยมาได้ยังไง? แล้วทำไมต้องติดตั้งระเบิด? นี้ต้องการพุ่งเป้ามาที่ใคร? และยังมีระเบิดที่ยังไม่ระเบิดอีกไหม?
คืนนี้เป็นเวลาที่ต้องลงจากเรือ ทำไมถึงเลือกโจมตีเวลานี้?
ในสมองของฉินซีมีคำถามมากมาย สีหน้าค่อยๆ สงบนิ่ง
ในสมองเธอกลับไปนึกถึงรายชื่อลูกค้าที่เคยเห็น รู้ว่าบนเรือลำนี้มีเป้าหมายที่สะดุดตาอยู่เยอะ ไม่สามารถหาข้อสรุปของปัญหาได้ในทันที แต่กลับรู้ถึงสึกลางสังหรณ์ที่ไม่สามารถอธิบายได้
แต่เธอไม่ได้บอกความรู้สึกกับลู่เซิ่นไป ทำแค่เขย่ามือลู่เซิ่น : “ไปเถอะ”
ดีที่เรือเข้าใกล้ฝั่งมากแล้ว คนที่อยู่บนเรือสำราญครั้งนี้มีแต่คนร่ำรวย หลายคนโทรให้คนที่บ้านเอาเรือออกมารับ หรือให้เครื่องบินส่วนตัวมารับ หลินหยังก็โทรให้เครื่องบินของตระกูลลู่บินมารับพวกเขาตั้งแต่แรกแล้ว
ลู่เซิ่นมองเธอและพยักหน้า สองคนลืมที่จะหลบหลีก ก็เลยจูงมือกันออกมาอย่างนี้
ดีหน่อยที่ด้านนอกดูวุ่นวาย และไม่มีใครมีกะจิตกะใจสนใจความสนิทสนมกันของลู่เซิ่นและฉินซี คนส่วนใหญ่พยายามป้องกันอยู่อีกด้าน รอให้ครอบครัวของตนเองส่งเรือมาช่วยเหลือตนเอง
ผ่านไปสิบกว่านาที มีเรือหลายลำค่อยๆ ปรากฏอยู่ที่ไกลๆ การแสดงออกของบางคนเปลี่ยนไปอย่างชัดเจน รีบส่งสัญญาณให้ลูกเรือปล่อยบันไดสำรองลง และบนท้องฟ้าก็มีเสียงการเคลื่อนไหวของเฮลิคอปเตอร์ดังมา
ลู่เซิ่นเงยหน้ากวาดสายตามองสักครู่ เห็นเครื่องบินของเขาและอีกลำหนึ่งมาถึงตามๆ กัน เพราะเครื่องบินของเขามาถึงช้า ดังนั้นจึงไปจอดตรงลานจอดที่ค่อนข้างไกล
หลินหยังเองก็เห็นแล้ว และรีบพูดขึ้นมาก่อนว่า : “ไปเถอะ”