Flash Marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน - ตอนที่ 175
บทที่ 175 คนพูดจาฉลาดหลักแหลม
ฉินเฟยนั่งลงอีกด้านนึงของฉีเซิน มองดูเวินจิ้ง สายตาดูถูกดูแคลน
“เวินจิ้ง เธอเข้ามาฟังการประชุมนี้หน่ะจะฟังเข้าใจหรอ?”
“ก็ไม่เข้าใจหรอก จึงต้องมาเรียนรู้”
“ฉันได้ยินมาว่าเธอเตรียมจะไปสอบเรียนปริญญาโทรึ? เวินจิ้ง ถ้าจะไปเรียนเป็นนักศึกษา ฉันก็อยากจะบอกอะไรเธอไว้ก่อนนะ ประวัติด่างพร้อยอย่างเธอมันลบไม่หมดหรอก อย่าพยายามนักเลย” ฉินเฟยเลิกคิ้วขึ้นอย่างยโส
“ประวัติด่างพร้อย? เรื่องอะไรกัน?” ฉีเซินถามแทรกทันที
“ไม่เกี่ยวกับเธอสักหน่อย” เวินจิ้งตอบอย่างเย็นชา ไม่อยากต่อปากกับสองคนนี้อีก
“เวินจิ้ง คุณก็จะพูดดีกับเพื่อนผมสักหน่อยไม่ได้หรือ?” ฉีเซินสีหน้ากลัดกลุ้ม ทุกครั้งที่เวินจิ้งพูดกับเขามักมีสีหน้าที่เย็นชา มองเขาอย่างไม่พอใจ
“คุณฉี คุณต้องการอะไรกันแน่?” เวินจิ้งยิ้มมุมปากออกมา แต่กลับไม่มองไป “คุณเคยช่วยเหลือฉันก็จริง ฉันก็ขอบคุณคุณมาก แต่นอกจากนี้ ระหว่างเรานั้นไม่คุ้นเคยกันเลยจริงๆ”
เธอไม่อยากจะเกี่ยวโยงอะไรต่างๆกับฉีเซินอีก
“แม่ผมคิดถึงคุณอย่างมาก หากว่ามีเวลา มาเป็นแขกบ้านผมหน่อย คุณจะว่าอย่างไร?” ฉีเซินกล่าวออกไปอย่างไม่ถือสา
สีหน้าของฉีเฟยโกรธจนหน้าซีด ดึงฉีเซินไว้ พูดออกไปอย่างโมโหว่า “ฉีเซิน ฉันต่างหากที่เป็นคู่หมั้นของคุณ!”
“คุณฉี ได้ยินแล้วหรือยัง คู่หมั้นของคุณโมโหแล้วนะ คุณไปปลอบใจเธอเถอะ มิฉันนั้นเดี๋ยวคุณฉินเธอจะมาลงที่ฉัน ฉันไม่อยากจะเป็นแพะมารับความโกรธของเธอโดยไม่เกี่ยวสักนิด” เวินจิ้งตอบไปอย่างเย็นชา
“ฉินเฟย อย่าโวยวายได้มั้ย ผมกับเวินจิ้งเป็นแค่เพื่อนกันเฉยๆ” ฉีเซินพูดปลอบฉินเฟย
ฉินเฟยโมโห สีหน้าบึ้งตึง
เวินจิ้งผู้หญิงคนนี้ มาทำให้ผู้ชายของเธอจดจำไม่ปล่อยวาง เพื่อที่เธอจะได้เป็นคุณนายฉี เธอจึงต้องหาทางกำจัดเวินจิ้งออกไป
หล่อนอยากจะสอบเรียนปริญญาโท? ไม่มีทางที่หล่อนจะสมหวังหรอก!
“ฉันไม่อยากเป็นเพื่อนกับคุณ” หลังพูดจบ เวินจิ้งก็เปลี่ยนที่นั่ง ไปนั่งแถวท้ายสุดแทน
หลังจากการประชุมเสร็จสิ้น เวินจิ้งเดินออกจากลานจัดแสดง ด้านนอกมีรถเก๋งสีดำคันหนึ่งเข้ามาจอดด้านข้างเธออย่างช้าๆ กระจกรถเปิดลง มองเห็นใบหน้าอันหล่อเหลาของฉีเซิน
“ผมไปส่งคุณ” ริมฝีปากของเขาแฝงไปด้วยรอยยิ้ม
เวินจิ้งไม่อยากคาดเดาความคิดในใจเขา เธอไม่สนใจ พร้อมกับหันหลังเดินออกไป
ฉีเซินกำชับคนขับรถให้ติดตามเวินจิ้งไป เวินจิ้งจะข้ามถนน รถของเขาก็กั้นทางม้าลายไว้
เธอจำเป็นต้องหยุดฝีเท้า “ฉีเซิน คุณต้องการอะไร!”
“ผมบอกแล้ว ว่าผมจะไปส่งคุณ”
“ฉันถึงแล้วนี่”
ฉีเซินขมวดคิ้ว พร้อมกับพูดว่า “พรุ่งนี้เจอกันนะ”
หลังพูดจบ รถก็ขับออกไปอย่างรวดเร็ว เวินจิ้งไม่สนใจคำพูดเขา วันที่สองเธอก็ต้องยุ่งกับการออกไปพบผู้ค้าปลีกกับอั้ยเถียน
ไม่พบเจอฉีเซิน แต่กลับเจอฉืออี้เหิง
เขา…….ตอนนี้น่าจะไปแอฟริกาแล้วไม่ใช่หรือ?
อั้ยเถียนก็รู้สึกตกใจมาก ดูรายชื่อในมือของเธอเอง วันนี้พวกเธอต้องไปพบกับผู้รับผิดชอบบริษัทโป๋ทงกรุ๊ป ธุรกิจยาที่ใหญ่ที่สุดในเมืองB ณ ปัจจุบัน
“ฉืออี้เหิง ทำไมถึงเป็นคุณได้?” อั้ยเถียนสีหน้าเคร่งขรึม
ฉืออี้เหิงนั่งไขว้ขา หลังชิดพนักพิงท่าทีหยิ่งยโส สีหน้าเข้มลึก
“ตอนนี้ผมก็คือผู้รับผิดชอบของบริษัทโป๋ทงกรุ๊ป” เขายิ้มเยาะ พร้อมกับพูดต่อ “พวกคุณคงจะแปลกใจมากว่าทำไมผมถึงมาอยู่ที่นี่ได้” บริษัทเหิงอวี่กรุ๊ปก็คือการดำเนินธุรกิจภายใต้ชื่อบริษัทโป๋ทงกรุ๊ป พูดให้ถูกก็คือว่า บริษัทสองแห่งนี้ผมมีสิทธิควบคุมอยู่นั่นเอง”
อั้ย!
อั้ยเถียนทนไม่ไหวต้องพูดด่าออกมา ไม่อยากจะเจรจาแล้ว!
เวินจิ้งอารมณ์เย็นลงมาก ตบที่ไหล่ของอั้ยเถียน พูดอย่างเสียงเบาว่า “อย่าลืมนะยอดการตลาดของเธอ บริษัทโป๋ทงกรุ๊ป
เป็นผู้จัดจำหน่ายที่ใหญ่ที่สุดในตอนนี้ หากว่าเจรจากันได้ คุณเสี้ยงจะต้องพอใจเป็นแน่”
“แต่ว่าเวินจิ้ง……เธอแน่ใจหรอว่าจะสามารถเจรจาดีดีกับผู้ชายพันธุ์นี้ได้? อั้ยเถียนพูดอย่างโมโห
ได้ยินคำพูดพวกเธอ ฉืออี้เหิงลูบที่คางตัวเองเบาๆ พูดอย่างเล่นลิ้น “ในเมื่อพวกเธอไม่ตั้งใจจะเจรจา ถ้างั้นผมก็คงไม่ต้องเสียเวลาแล้วหล่ะ”
เมื่อพูดจบ เขาเตรียมจะลุกออก
เวินจิ้งรีบเข้าไปกั้นเขาไว้ บนใบหน้าของเธออาบไปด้วยรอยยิ้มอันนอบน้อม “คุณฉือ ถ้าพวกเราไม่ตั้งใจ ก็คงไม่นัดพบคุณ เรื่องงานเรื่องส่วนตัวแยกชัดเจน ฉันเข้าใจดีค่ะ”
ฉืออี้เหิงหรี่ตาขึ้น เวินจิ้งตอนนี้ ยิ่งทำให้เขารู้สึกเหมือนคนแปลกหน้า
งุ้มฝีปากขึ้นเล็กน้อย เขานั่งลงไปอีกครั้ง
หลังจากทำการแนะนำผลิตภัณฑ์ยาชุดนี้เบื้องต้นเสร็จเรียบร้อย ฉืออี้เหิงไม่ได้ตอบรับทันที “ผมต้องขอพิจารณาก่อน”
“คุณฉือต้องพิจารณานานแค่ไหนคะ?” อั้ยเถียนยิ้มอย่างเย็นชา
ในช่วงระหว่างการเจรจาสีหน้าของเธอก็เมินเฉย ถ้าหากไม่ใช่เพราะเวินจิ้งอยู่ด้านข้าง เธอก็อยากจะต่อยเขาสักหมัดอย่างเคียดแค้น
“ผมต้องขอเวลาวิเคราะห์ตัวยาชุดนี้ก่อน ถามว่าเมื่อไหร่ ผมก็ยังให้คำตอบที่แน่ชัดไม่ได้”
“คุณฉือยังต้องการข้อมูลอะไร ทางเราสามารถจัดหาให้ได้ค่ะ ส่วนผลิตภัณฑ์ยาชุดนี้ทางเราก็ได้ผ่านการวิจัยอย่างลึกซึ้ง ตอนนี้ก็มีบริษัทผู้จัดจำหน่ายจำนวนไม่น้อยร่วมธุรกิจกับทางเรา หากว่าคุณฉือพิจารณานานจนเกินไป เกรงว่าหากทางเรามีช่องทางการจำหน่ายที่เพียงพอแล้ว ก็คงจะไม่ได้ร่วมธุรกิจกับท่านอีกนะคะ” เวินจิ้งตอบอย่างเรียบเฉย
ฉืออี้เหิงมองเวินจิ้งอย่างสงสัย สีหน้าเธอดูเยือกเย็น แต่คำพูดเธอกลับฟังดูแล้วคมคาย
เธอเปลี่ยนเป็นคนพูดจาฉลาดหลักแหลมแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?
หรือเป็นเพราะแต่งงานกับมู่วี่สิงหรือ?
สีหน้าของฉืออี้เหิงเคร่งขรึมลง
“ดูไปแล้ว ท่าทีของบริษัทการผลิตยาเทียนอีก็มีความแข็งแกร่งนะ” ฉืออี้เหิงลูบที่ใต้คางเขา
“ไม่หรอกค่ะ พวกเรายึดหลักท่าทีการร่วมธุรกิจอย่างยุติธรรม คุณฉือเชิญพิจารณาก่อนแล้วกันค่ะ” หลังจากพูดจบ ทั้งสองคนก็เตรียมตัวจะเดินออก
ฉืออี้เหิงลดสายตาลง เงยหน้าค่อยๆเก็บความผลีผลาม ขณะที่เวินจิ้งและอั้ยเถียนกำลังจะเดินออกจากประตูไป ก็ได้ตะโกนหยุดพวกเธอไว้
“ตกลงเซ็นต์”
มองดูฉืออี้เหิงเซ็นต์บนสัญญา อั้ยเถียนยืนยันอีกครั้ง เขานั้นเป็นผู้จัดการใหญ่ของบริษัทโป๋ทงกรุ๊ปจริงๆ
“จิ้งจิ้ง นี่มันเกิดอะไรขึ้น?” หลังจากเดินออกจากห้องประชุม อั้ยเถียนถามอย่างสงสัย
เวินจิ้งส่ายหัว เธอก็ไม่รู้เหมือนกัน
แต่ว่าตอนนี้ได้เซ็นต์สัญญาร่วมทำธุรกิจกัน ก็เกรงว่าต่อไปก็ยากที่จะหลบหลีกไม่พบปะกับเขา
“จิ้งจิ้ง ต่อไปงานในส่วนบริษัทโป๋ทงกรุ๊ป ให้ฉันเป็นคนจัดการต่อนะ อย่าให้เขาเข้าใกล้เธออีกเลย” อั้ยเถียนพูดอย่างห่วงใย
“ควรมาก็จำเป็นต้องมา ฉันไม่สามารถหนีเขาไปได้ตลอดหรอก อีกทั้ง ตอนนี้เขาก็ไม่สามารถส่งผลกระทบต่อใจฉันได้อีกแล้วหล่ะ” เวินจิ้งส่ายหน้า เมื่อเธอเผชิญหน้ากับฉืออี้เหิง เธอก็ไม่รู้สึกอะไรต่อเขาสักนิดแล้ว
ดังนั้น ก็ไม่ต้องกลัวหรือหวาดหวั่นที่จะเผชิญหน้ากับเขา
ไม่ไกลนัก ฉืออี้เหิงผู้ฟังเสียงของเวินจิ้ง สายตาเริ่มคิดล่องลอยไปไกล สีหน้าเคร่งขรึม
เมื่อเดินเข้าลิฟต์ เวินจิ้งพูดคุยกับอั้ยเถียน ไม่ทันได้ระวังเห็นในลิฟต์มีคนอยู่
ไปจนประตูปิดลง อั้ยเถียนกำลังจัดแขนเสื้อของเธออยู่ “เขาคือฉีเซิน”
เวินจิ้งขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย เงยหน้าขึ้น ที่แท้ก็เป็นคนที่เพิ่งเจอกันเมื่อคืนวานใบหน้ากึ่งยิ้มมองมาที่เธอ
เวินจิ้งแค่รู้สึกหวาดหวั่น แต่ก็ไม่ได้สนใจเขา
อั้ยเถียนอยู่ด้านข้างถามออกไปว่า “คุณฉีมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรคะ?”
“ทำไมหรือ? พวกเธอมาได้ ผมจะมาไม่ได้หรือ?” ฉีเซินเลิกคิ้วขึ้น
“ในเมื่อคุณอั้ยห่วงใยผมเช่นนี้ ถ้างั้นเราไปทานข้าวด้วยกันมั้ยครับ?” ฉีเซินถาม
เวินจิ้งจ้องตาเขาอย่างเย็นชา “พวกเราไม่ว่างค่ะ”
“ถึงจะยุ่งยังไงก็ต้องทานข้าว ไม่ใช่หรือ?” ฉีเซินเอามือล้วงกระเป๋า ทำตัวท่าทีสบายๆ
“แต่ก็ไม่ใช่ว่าต้องทานข้าวกับคุณ” อั้ยเถียนก็ไม่สนใจเขา
ฉีเซินสีหน้าเคร่งขรึมลง มองดูเงาด้านหลังสองคนที่เดินออกไป หรี่ตาขึ้นอย่างมีเลศนัย