Flash Marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน - ตอนที่ 182
บทที่ 182 สงสัยในความสามารถของผม
หลังจากนั้นสองวัน ทางสำนักงานตรวจสอบอาหารและยาก็แถลงประกาศอย่างเป็นทางการออกมา ว่าเหม่ยทงได้ผ่านการตรวจสอบมาตั้งแต่ครึ่งปีก่อนแล้ว ผลิตภัณฑ์ยาได้มาตรฐานอย่างแน่นอน
อีกทั้งบริษัทการผลิตยาเทียนอีก็ได้เปิดงานแถลงข่าวที่เมืองหนานเฉิง ประกาศตลอดทั้งกระบวนการผลิตของยาตัวนี้ตั้งแต่การวิจัยและพัฒนาจนถึงออกวางจำหน่าย ได้มาตรฐานที่ครอบคลุมเข้มงวดอย่างแน่นอน ไม่ใช่ผลิตภัณฑ์ยาปลอมที่ถ่ายเทหมุนเวียนอยู่ในท้องตลาด
ตอนนี้ทางตำรวจได้กำลังทำการตรวจสอบแหล่งที่มาของการแพร่กระจายข่าวในทางไม่ดีของยาตัวนี้บนเว็บไซต์ บวกกับหลักฐานที่บริษัทการผลิตยาเทียนอีจัดหาให้อีก สุดท้ายหาพบสำหนักงานหนังสือพิมพ์แห่งนึง
เพียงแต่ผู้รับผิดชอบกลับแสดงท่าทีไม่รู้เรื่องอะไรเลย ไม่เคยแพร่กระจายข่าวยาปลอมใดๆเลยแม้แต่น้อย
บริษัทโป๋ทงกรุ๊ป
ฉีเซินมองดูรายงานข่าวที่อยู่บนเว็บไซต์ ริมฝีปากบางปรากฏรอยยิ้มที่เย้ยหยันออกมา
“祁总 คุณคิดว่าต้องการร่วมมือกับบริษัทการผลิตยาเทียนอีต่อไปหรือไม่ครับ?” ฉืออี้เหิงเดาความคิดของฉีเซินไม่ออก
“สัญญาได้เซ็นไปแล้ว คุณฉือหวังจะให้พวกเราบริษัทโป๋ทงกรุ๊ปยกเลิกสัญญา?” ฉีเซินหรี่ตาลง
“แน่นอนว่าไม่ใช่ครับ ผมแค่กลัวว่าชื่อเสียงของยาตัวนี้ไม่ค่อยดีแล้ว จะส่งผลกระทบต่อยอดขาย” ฉืออี้เหิงขมวดคิ้วขึ้น
อยู่ในตำแหน่งที่สูง รายละเอียดที่เขาต้องคิดพิจารณาก็จะต้องมากเป็นธรรมดา
“นั่นก็เป็นปัญหาที่คุณจะต้องจัดการ ทำไมครับ ยังจะต้องให้ผมสอนคุณ?” สายตาของฉีเซินเปลี่ยนเฉียบคม
ฉืออี้เหิงพยักหน้า ไม่กล้าพูดอะไรไปมากกว่านี้ในทันที
ออกมาจากห้องทำงาน ฉินเฟยรออยู่ที่ด้านนอก เจอกับฉืออี้เหิง ก็ขมวดคิ้วขึ้นมาเล็กน้อย
“วันนี้ลมอะไรหอบคุณนายฉีในอนาคตมาได้ครับ” ฉีเซินดูดบุหรี่เข้าไปคำนึง ในสายตาเผยรอยยิ้มที่รู้สึกหนักอึ้งภายในจิตใจออกมา
”บริษัทการผลิตยาเทียนอีตรวจสอบพบสำนักพิมพ์ข่าวอีหยินแล้ว คุณไม่กังวลว่าจะตรวจสอบมาถึงตัวฉันเลยหรือยังไงกันคะ?” ฉินเฟยเป็นกังวลเล็กน้อย
เป็นเธอที่ยืมสำนักพิมพ์ข่าวอีหยินแพร่กระจายข่าวยาปลอมออกไป แต่ก่อนหน้านี้นั้น เป็นเพราะได้รับคำสัญญาจากฉีเซินว่าจะปกป้องคุ้มครองเธอเอาไว้
เพียงแต่ เรื่องนี้เป็นความลับตั้งแต่ต้นจนจบ
แต่ตอนนี้ฉีเซินกลับดูเหมือนไม่สะทกสะท้านเลยแม้แต่น้อย
“สงสัยในความสามารถของผม?” ฉีเซินประชิดเข้ามาใกล้ นิ้วมือที่เรียวงามเชยคางของฉินเฟยขึ้นอย่างกะทันหัน
เพียงครู่เดียว ระยะห่างของทั้งสองคนก็ใกล้กันเป็นอย่างมาก
ฉินเฟยขมวดคิ้วขึ้น เดิมทีเธอก็ไม่ได้เชื่อใจฉีเซินไปซะหมด เพียงแต่ตอนนี้ ไม่พึ่งเขาไม่ได้
“ไม่กล้าค่ะ” เธอเอ่ยขึ้นเบาๆ คิ้วกลับขมวดเข้าหากันอยู่ตลอดเวลา
ฉีเซินยกมุมริมฝีปากบางขึ้น ปลายนิ้วมือไล่ลงมาด้านล่าง สุดท้ายหยุดอยู่ที่บริเวณลำคอของฉินเฟย
สายตาหยุดชะงักลง เอ่ยขึ้นอย่างเยือกเย็นว่า “ถึงอย่างไรคุณก็ยังเป็นว่าที่ภรรยาของผมอยู่ ทำชีวิตส่วนตัวให้สะอาดหน่อย หืม?”
ฉินเฟยสั่นไปทั่วทั้งตัว ประสารเข้ากับสายตาที่น่าหวาดกลัวของเขา คิดว่าบนลำคอของตนเองมีรอยจูบอ่อนๆอยู่ ความลนลานที่อยู่ภายในสายตาก็ปรากฏขึ้น
“ฉันไม่รู้ว่าคุณกำลังพูดอะไรอยู่” เธอผลักเขาออก
ฉีเซินมองเธออย่างมีความหมายลึกซึ้ง “คุณน่ะยังไม่ใช่คุณนายฉี สิทธิ์ในการคืนสินค้าอยู่ที่ผม”
สีหน้าของฉินเฟยซีดเผือดขึ้นมาในทันที เธอรู้ ว่าฉีเซินนั้นพูดได้ทำได้
เดินเข้าไปในห้องน้ำ ฉินเฟยยืนอยู่ที่หน้ากระจก กลับไม่เห็นรอยจูบแม้แต่นิดเดียว นี่ฉีเซินเขา…หลอกเธอ?
คิดถึงสายตาที่เย็นเฉียบของเขา หรือว่าเขาค้นพบอะไรแล้ว?
ในเวลานี้ เสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น เป็นสายเรียกเขาจากฉืออี้เหิง
ฉินเฟยขมวดคิ้ว ตัดสายทิ้งไปในทันที
เพิ่งจะออกมาจากบริษัทโป๋ทงกรุ๊ป คิดไม่ถึงว่าที่หน้าประตูเงาร่างที่คุ้นเคยร่างหนึ่งเห็นได้ชัดว่ากำลังรอเธออยู่
“ฉินเฟยึ พวกเรามาคุยกันหน่อย?” เวินจิ้งสวมชุดกระโปรงสีพื้นดำสนิท บนใบหน้าตกแต่งด้วยสีอ่อนๆ เพิ่มความสง่างามและมีเสน่ห์ขึ้นมาเล็กน้อยโดยธรรมชาติ
ฉินเฟยหยุดชะงักลงไปเล็กน้อย ไม่ได้สนใจเวินจิ้ง “พวกเราไม่มีอะไรน่าคุยกัน”
“นี่คุณฉินร้อนตัวแล้วหรอคะ?” เวินจิ้งหรี่ตาลง ลักษณะท่าทางน่ากลัวยิ่งนัก
ฉินเฟยสูดหายใจเข้าเต็มปอด สองมือกอดอก เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็น “ฉันจะต้องร้อนตัวอะไร? งั้นก็ไปร้านกาแฟที่อยู่ฝั่งตรงข้ามก็แล้วกัน”
ทั้งสองคนนั่งลงบนที่นั่ง ฉินเฟยยกกาแฟขึ้น อารมณ์ขุ่นเคืองเป็นอย่างมากอยู่ตลอดเวลา
เวินจิ้งเหลือบตามองเธอ เสียงในลำคอเยือกเย็นเล็กน้อย “คุณทำอย่างนี้ทำไมคะ?”
“ฉันทำอะไรกัน?” ฉินเฟยอุทานออกมาอย่างประชดประชัน
เวินจิ้งยื่นเอกสารการตรวจสอบฉบับนึงไปให้กับเธอ ตามเบาะแสที่ทางฝ่ายตำรวจตรวจสอบพบสำนักพิมพ์ข่าวอีหยินนี้ มู่วี่สิงก็ถือโอกาสตามตรวจสอบพบว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลังคือฉินเฟยมาตั้งนานแล้ว
หากหลักฐานฉบับนี้ถูกส่งมอบให้กับทางตำรวจ ฉินเฟยมีโอกาสเป็นอย่างมากที่จะถูกดำเนินคดีตัดสินลงโทษ
เธอแทบจะนำเอกสารฉบับนี้ฉีกทิ้งไปในทันที เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่โกรธจัดว่า “เวินจิ้ง เธออย่าใส่ร้ายฉัน นึกว่าหาเอกสารการตรวจสอบปลอมฉบับนึงได้ก็จะสามารถตัดสินลงโทษฉันได้อย่างนั้นหรอ? เธออย่าไร้เดียงสาเกินไปนักเลย”
“ในเมื่อฉันใส่ร้ายคุณ คุณฉินคุณกำลังร้อนรนอะไรอยู่อีกคะ?” เวินจิ้งยิ้มอย่างเย็นชา
“วันนี้ฉันอารมณ์ไม่ดีก็เท่านั้นเอง” ในขณะที่ฉินเฟยพูด ก็วางแก้วกาแฟลงแล้วเดินจากไป
เวินจิ้งมองดูแผ่นหลังของเธอ เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่จริงจังว่า “งั้นเอกสารฉบับนี้ ฉันส่งให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจแล้วกันนะคะ ลองดูว่าเป็นของจริงหรือว่าของปลอมกันแน่”
ฉินเฟยหยุดฝีเท้าลง กำหมัดแน่นจากนั้นก็คลายออก ผ่านไปเป็นเวลานาน สุดท้ายก็ย้อนกลับมา
“เธอคิดจะเอายังไงกันแน่?” ฉินเฟยจ้องมองเธออย่างขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
เวินจิ้งส่งเสียงหัวเราะเบาๆออกมา กลับคิดไม่ถึงว่า เธอก็สามารถมีวันที่ข่มขู่ฉินเฟยได้เช่นเดียวกัน”
“ห้าปีก่อนวิทยานิพนธ์ของฉันถูกรายงานว่าคัดลอก มีส่วนเกี่ยวข้องกับคุณหรือเปล่า?” เวินจิ้งจ้องดวงตาของฉินเฟยอย่างตาไม่กระพริบ
เธอเม้มริมฝีปาก ในเวลานี้ได้นิ่งสงบลงมา
เห็นได้ชัดว่า เวินจิ้งมีการเตรียมความพร้อมก่อนที่จะมา
“ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง” ฉินเฟยตอบกลับ
“มีส่วนเกี่ยวข้องกับฉืออี้เหิงหรือเปล่า?” เวินจิ้งเอ่ยถาม
ฉินเฟยมองดูเธอ ผ่านไปเป็นเวลานาน จากนั้นก็ส่ายศีรษะ เอ่ยขึ้นอย่างน้ำเสียงเยือกเย็นเล็กน้อย “ฉันไม่รู้ ตอนนั้นฉืออี้เหิงยังคบกับเธออยู่ เธอไม่ใช่ว่าควรจะชัดเจนมากยิ่งกว่าหรอ?”
“หากเธอไม่ได้มีการคัดลอกจริงๆ มหาวิทยาลัยจะตัดสินความผิดของเธอได้ยังไงกัน เวินจิ้ง เธออย่าหลอกตัวเองเลย” ฉินเฟยเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็น
เวินจิ้งโน้มสายตาลงต่ำ กัดริมฝีปากของตนเองแน่น
วิทยานิพนธ์ของเธอเป็นสิ่งที่เธอพิมพ์ทีละตัว ทีละตัวลงบนคอมพิวเตอร์ด้วยตัวเอง นอกเสียจากว่าถูกสับเปลี่ยน ไม่อย่างงั้นไม่มีทางมีความน่าสงสัยในการคัดลอกได้
“ในเมื่อคุณไม่ยอมพูดความจริง งั้นเอกสารฉบับนี้ฉันก็ทำได้เพียงส่งมอบให้กับทางสถานีตำรวจแล้ว” เวินจิ้งเอ่ยขึ้นอย่างราบเรียบ
ได้ยินดังนั้น ความเยือกเย็นภายในดวงตาของฉินเฟยก็ค่อยๆปรากฏขึ้น ร่างกายสั่นไหวเล็กน้อย เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่โกรธจัดว่า “เวินจิ้ง ฉันไม่รู้อะไรเลยจริงๆ!”
เพียงแต่ ความรู้สึกบนใบหน้าของเวินจิ้งปรากฏขึ้นอย่างชัดเจนว่าไม่เชื่อ
“ฉันเตือนเธอนะ ไม่ต้องตรวจสอบแล้ว ไม่อย่างงั้น มีแต่จะหาเรื่องใส่ตัว!” ฉินเฟยทิ้งประโยคนี้เอาไว้ แล้วเอ่ยขึ้นอีกว่า “ต่อให้เธอนำเอกสารส่งมอบให้กับทางสถานีตำรวจ ฉันก็ยังคงเป็นคำตอบนี้ ฉันไม่รู้อะไรเลย!”
หลังจากที่ฉินเฟยจากไป เวินจิ้งนั่งอยู่ในร้านกาแฟเพียงคนเดียว กาแฟที่อยู่ในแก้วเย็นชืดไปตั้งนานแล้ว เธอถึงได้มีการตอบสนองกลับคืนมา
กำลังจะออกไปจากที่นี่ ฝั่งตรงข้ามกลับมีเงาร่างที่สูงโปร่งนั่งลงมา
ฉีเซินสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวกางเกงสแล็ค ดูสุภาพสง่างามไปทั้งตัว
เวินจิ้งไม่ได้สนใจเขา ไปชำระเงินในทันที
ฉีเซินกลับเรียกเธอเอาไว้ “เจอเพื่อน ไม่คิดจะรำลึกความหลังกันหน่อยหรอครับ?”
“พวกเราไม่ใช่เพื่อนกันค่ะ” เวินจิ้งเอ่ยขึ้นอย่างราบเรียบ
“เป็นเพราะมู่วี่สิงไม่อนุญาตให้คุณคบเป็นเพื่อนกับผมใช่หรือเปล่า?”
เวินจิ้งขมวดคิ้วขึ้น “คุณอยากจะเป็นเพื่อนกับฉัน ว่าที่ภรรยาของคุณไม่โกรธเอาหรอคะ?”
“ในเมื่อเป็นการคบเพื่อนแบบธรรมดา เธอมีอะไรที่น่าโกรธกัน” ฉีเซินยกมุมริมฝีปากบางขึ้น
“คุณค่อยๆนั่งไปนะคะ ฉันต้องไปแล้ว” เวินจิ้งไม่ได้อยู่ต่อ
สีหน้าของฉีเซินบึ้งตึงลงอย่างช้าๆ สายตาตกอยู่บนแผ่นหลังที่ผอมบางและงดงามของเวินจิ้ง ความร้อนแรงภายในสายตาค่อยๆปรากฏขึ้น แต่กลับถูกเขาระงับลงไปอีกครั้ง