Flash Marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน - ตอนที่ 186
บทที่ 186 เย้ยหยัน
“แก!มู่วี่สิง แกนี่มันเห็นแฟนดีกว่าเพื่อนจริงๆ เวินจิ้งก็ไม่ใช่ดอกไม้ที่อยู่ในเรือนกระจก สักหน่อย แกควรจะให้เธอฝึกฝนให้มากๆ!” เสี้ยวหงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง
“ฉันจะต้องให้เธอฝึกฝนแน่นอนอยู่แล้ว แกเป็นห่วงอะไร? ก่อเรื่องเองก็แก้ไขเอง” มู่วี่สิงเอ่ยขึ้นอย่างราบเรียบ
เสี้ยวหงถูกตอกหน้าจนไม่สามารถตอบโต้ได้ วางสายโทรศัพท์ไปอย่างโมโห
มู่วี่สิงมองดูเอกสารข้อมูลที่อยู่ตรงหน้า โทรศัพท์ไปหาเกาเชียน “สองวันนี้ฉีเซินมีการเคลื่อนไหวอะไรหรือเปล่า?”
“วันนี้พอลงจากเครื่องบินเขาก็จัดการให้ผู้ช่วยไปที่โรงพยาบาลเหรินหมิน เยี่ยมผู้ป่วยที่เกิดโรคจากการใช้ยาสองสามรายครับ”
“ใช้ยาอะไร?” มู่วี่สิงหรี่ตาลง
“ยังตรวจสอบไม่พบครับ คงจะเป็นยาที่บริษัทฉีซื่อกรุ๊ปวิจัยและพัฒนาออกมา” เกาเชียนเอ่ย
“ไปตรวจสอบเดี๋ยวนี้” สีหน้าของมู่วี่สิงเยือกเย็นลง
ระยะห่างจากที่ข่าวเหม่ยทงถูกสงสัยว่าเป็นยาปลอมถูกแพร่กระจายออกไปได้ผ่านพ้นไปเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์แล้ว บริษัทการผลิตยาเทียนอีต่างก็ทำมาตรการในการรับมือต่างๆออกมาทุกวัน งานแถลงข่าวในวันนี้จะเป็นการชี้แจงข่าวนี้อย่างเป็นทางการ
บุคคลสำคัญในการรับผิดชอบเหม่ยทงตั้งแต่การวิจัยและพัฒนาจนมาถึงการขายต่างก็มาถึงที่ทั้งหมดแล้ว เวินจิ้งติดต่ออั้ยเถียนไม่ได้อยู่ตลอดเวลา และต้นฉบับการบรรยายก็อยู่ในมือของเธอ
เสี้ยวหงมาถึงก่อนเวลาตั้งนานแล้ว พอเห็นเวินจิ้ง ก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่จริงจังว่า “ยังไม่มีข่าวของอั้ยเถียน?”
เวินจิ้งส่ายศีรษะ มองเห็นเสี้ยวหงสีหน้าก็บึ้งตึงลงมา
หากไม่ใช่เขา ตอนนี้อั้ยเถียนก็คงจะไม่หายตัวไป
“คุณเสี้ยงก็ไม่รู้ว่าเธออยู่ที่ไหนหรอคะ?” เวินจิ้งเอ่ยขึ้นอย่างเย็นชา
สีหน้าของเสี้ยวหงหนักอึ้งลง ความหงุดหงิดภายในสายตาค่อยๆแผ่ขยายขึ้น
“อีกสักครู่คุณขึ้นไปบรรยายแทนอั้ยเถียน เรื่องอย่างอื่นส่งมอบให้กับผม”
เวินจิ้งหยุดชะงักไปชั่วขณะ มองดูต้นฉบับการบรรยายที่อยู่ในมือ คิดถึงว่าอีกสักครู่ต้องเผชิญหน้ากับนักข่าว ฝ่ามือของเธอก็อดไม่ได้ที่จะมีเหงื่อผุดขึ้นมาอยู่ตลอด
ภาพในอดีตเล็กๆน้อยๆบางอย่างได้ปรากฏขึ้นซ้ำภายในสมอง
“เวินจิ้ง การบรรยายเกี่ยวกับแมกนีเซียมสเตียเรตที่ใช้ในยารักษาอาการโพรงจมูกอักเสบที่อยู่ในวิยานิพนธ์ คุณลองพูดออกมาอย่างละเอียดซิ”
“การบรรยายของคุณไม่สอดคล้องกับความหมายที่แสดงออกมาในวิทยานิพนธ์เลยแม้แต่น้อย ตอนนี้ฉันสงสัยว่าวิทยานิพนธ์ของคุณไม่ได้ถูกเขียนด้วยตัวคุณเอง
“อัตราการซ้ำสูงถึงหนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์ วิทยานิพนธ์ของคุณคัดลอกมาจากที่ไหนกัน?”
“…”
เสียงการซักถามข้อสงสัยระลอกแล้วระลอกเล่าดังขึ้นที่ข้างใบหูของเธอ เผชิญหน้ากับอาจารย์สิบกว่าคนที่นั่งอยู่ตรงหน้า สายตาของเวินจิ้งค่อยๆเลือนลางลง
“เวินจิ้ง การตอบข้อโต้แย้งของคุณไม่ให้ผ่าน”
“เวินจิ้ง แม้กระทั่งวิทยานิพนธ์จบคุณยังกล้าปลอมแปลงคัดลอก ตอนนี้ทางมหาวิทยาลัยจะไม่ให้คุณจบการศึกษาไปได้…”
…
“เวินจิ้ง!เสียงในลำคอที่ทุ้มต่ำดังสะท้อนขึ้นมาที่ข้างหูของเธออย่างกะทันหัน เวินจิ้งถึงได้สติกลับคืนมา
สีหน้าซีดเผือดไปตั้งนานแล้ว เธอเงยหน้าขึ้น ในสายตาคือสีหน้าที่เคร่งขรึมของเสี้ยวหง
“ที่ผมพูดเมื่อครู่นี้จำได้หมดแล้ว?”
เวินจิ้งมึนงง เมื่อครู่นี้เสี้ยวหงพูดอะไรกัน?
“เอาล่ะ คุณไปเตรียมตัวสักหน่อยเถอะ อีกสักครู่จำไว้ว่าอย่าพูดจามั่วซั่ว”
พูดจบ เสี้ยวหงก็ได้เดินเข้าไปในห้องบอลรูม
เวินจิ้งโน้มสายตาลงต่ำ บีบต้นฉบับการบรรยายที่อยู่ในมือเอาไว้แน่น สูดหายใจเข้าเต็มปอด กลับยากที่จะสงบลงได้อยู่ตลอดเวลา
เธอหมุนตัวเดินเข้าไป นักข่าวที่อยู่ในห้องบอลรูมได้มาถึงแล้วไม่น้อย มากถึงร้อยกว่าคน เสี้ยวหงได้ถูกนักข่าวรายล้อมเอาไว้เป็นวง สถานการณ์ในอีกสักครู่ มีแต่จะฮือฮามากยิ่งขึ้นเท่านั้น
“เวินจิ้ง เจอกันอีกแล้ว” ในเวลานี้ ด้านหลังดังสะท้อนเสียงที่คุ้นเคยขึ้นมา
เวินจิ้งขมวดคิ้วขึ้น ไม่ได้หันหลังกลับไป
ฉีเซินได้เดินมาถึงด้านหน้าของเธอ “ดูเหมือน อีกสักครู่คุณจะต้องบรรยาย”
เขามองเห็นต้นฉบับการบรรยายที่อยู่ในมือของเธอ
“แล้วยังไงคะ?” น้ำเสียงของเวินจิ้งเย็นชา
มือทั้งสองข้างของฉีเซินสอดอยู่ในกระเป๋ากางเกง ริมฝีปากบางโค้งขึ้นเล็กน้อย “คุณสามารถรับมือกับคำถามที่พูดข่มบีบบังคับของนักข่าวเหล่านั้นได้?”
“ฉีเซิน นี่คุณมาเย้ยหยันฉันหรอคะ?” เวินจิ้งมองเขาอย่างโมโหเล็กน้อย
“แน่นอนว่าไม่ใช่ครับ ผมเพียงแค่เป็นห่วงคุณ อีกสักครู่ใครต่างก็ไม่รู้ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงอะไรที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้น ผมขอเตือนคุณ อย่าขึ้นเวที” ฉีเซินหรี่ตาลง
เวินจิ้งกลับมองเขาอย่างสงสัย สายตาเปลี่ยนเป็นแหลมคมขึ้นมา “อีกสักครู่จะมีการเปลี่ยนแปลงอะไรที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้นคะ?”
“ผมจะรู้ได้ยังไง? ผมเพียงแค่คาดเดาเท่านั้น”
“คุณรู้อะไร?” เวินจิ้งถามต่อ
ฉีเซินคิดจะทำอะไร?
เธออดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นตระหนก
เดิมทีข่าวที่เหม่ยทงเป็นยาปลอมถูกแพร่กระจายก็ส่งผลกระทบอย่างหนักต่อบริษัทการผลิตยาเทียนอีแล้ว หากเกิดเรื่องอะไรขึ้นอีกก็คงจะอันตรายมากแล้วจริงๆ
เวินจิ้งบีบต้นฉบับการบรรยายที่อยู่ในมือเอาไว้แน่น
ฉีเซินยิ้มขึ้นอย่างเย็นชา “เวินจิ้ง พวกเราเป็นอะไรกัน? ที่คุณอยากรู้ ผมก็จะบอกคุณ?”
“ฉีเซิน คุณอย่ามามั่วๆแบบนี้ค่ะ หรือว่า การแพร่กระจายข่าวที่เหม่ยทงเป็นยาปลอมก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับคุณเช่นเดียวกัน?” เวินจิ้งหรี่ตาลงอย่างเยือกเย็น
ก่อนหน้านี้เธอเพียงแค่สงสัยฉินเฟย แต่ฉินเฟยคือคู่หมั้นของฉีเซิน ไม่แน่เรื่องนี้ก็อาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเขา
เธอไม่รู้ว่ามู่วี่สิงได้ส่งมอบหลักฐานให้กับทางสถานีตำรวจหรือเปล่า แต่ตอนนี้ฉินเฟยก็ยังไม่ได้ถูกจับกุมไปจริงๆ
คนที่อยู่เบื้องหลังนี้คือหมายมั่นปั้นมือเอาไว้แล้วว่าจะไม่ให้บริษัทการผลิตยาเทียนอีดำเนินไปอย่างราบรื่น เกรงว่าจะไม่ยอมวางมือยุติเรื่องราวไปได้
“เวินจิ้ง อย่ายัดเยียดข้อกล่าวหาให้กับผมมั่วๆ ผมมีส่วนเกี่ยวข้องหรือไม่ มู่วี่สิงไม่ได้สืบหาอย่างชัดเจนมาตั้งนานแล้วหรอ?” ฉีเซินเอ่ยขึ้นอย่างไม่ยี่หระ
“เวลาพอสมควรแล้ว จำคำของผมเอาไว้” พูดจบ ฉีเซินก็เดินเข้าไปในห้องบอลรูม
เวินจิ้งกลับไม่มีทางที่จะนิ่งสงบได้ อยากไปถามกับเสี้ยวหงให้ชัดเจน เธอก็แค่กลัวว่างานแถลงข่าวนี้จะมีการเปลี่ยนแปลงอะไรที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้นเหมือนกับที่ฉีเซินได้พูดเอาไว้
เพียงแต่รอจนกระทั่งงานแถลงข่าวเริ่มต้นขึ้น ก็ไม่เห็นเสี้ยวหงแม้แต่เงา
อั้ยเถียนไม่ได้มา เวินจิ้งทำได้เพียงบรรยายในฐานะผู้จัดการของฝ่ายขาย
ด้านหน้าเป็นผู้รับผิดชอบของฝ่ายวิจัยและพัฒนาบรรยายก่อน เวินจิ้งมองดูต้นฉบับการบรรยาย นั่งอยู่บนเวที เบื้องหน้าที่ผู้สื่อข่าวกว่าร้อยราย
ภาพเล็กๆน้อยๆเหล่านั้นปรากฏขึ้นอีกครั้งภายในสมอง เธอบีบต้นขาเอาไว้ คิดว่าจะใช้ความเจ็บปวดมาทำให้ตนเองได้สติขึ้นมา
ในที่สุด หลังจากนั้นครึ่งชั่วโมง ก็มาถึงการบรรยายของเธอ
เธอสูดหายใจเข้าเต็มปอด เวินจิ้งมีความคุ้นเคยเป็นอย่างมากต่อต้นฉบับการบรรยายฉบับนี้ เพียงแต่พอเงยศีรษะขึ้น เผชิญหน้ากับสายตามากมายหลายคู่ขนาดนั้น เสียงกลับหยุดชะงักลง
ในสมองมักจะมีภาพในอดีตปรากฏขึ้นไม่ยอมหยุด ราวกับบีบคอของเธอเอาไว้แน่น
“คุณเวิน ทำไมไม่พูดต่อล่ะครับ เป็นเพราะตัวคุณเองก็รู้ว่าเหม่ยทงคือยาปลอมใช่หรือเปล่า ปิดบังต่อไปไม่ได้ก็เลยไม่มีหนทางที่จะจำหน่ายแล้ว?” ในเวลานี้ มีนักข่าวตั้งคำถามอย่างพยายามใช้ช่องว่างที่พอจะสามารถใช้ได้ขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
“ตอนนี้ยอดขายของเหม่ยทงไม่เป็นไปตามเป้า บริษัทจำนวนมากได้ยกเลิกการขายยาตัวนี้แล้ว เป็นหลักฐานทางอ้อมว่ายาตัวนี้มีปัญหาหรือเปล่าคะ?”
หลายต่อหลายคำถามถูกโยนเข้ามา เวินจิ้งมือยันหน้าผากเอาไว้ เงยหน้าขึ้นเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็นว่า “เหม่ยทงไม่ใช่ยาปลอม สำนักงานตรวจสอบอาหารและยากับบริษัทเราได้ทำการอธิบายออกมาตั้งนานแล้ว สำหรับปัญหาของการจำหน่ายนั้น ก็ไม่ใช่ปัญหาของตัวยาที่ส่งผลกระทบให้ยอดขายไม่ดี”
“ตอนนี้สาธารณชนได้เกิดความสงสัยต่อเหม่ยทงยาตัวนี้แล้ว หลังจากนี้พวกคุณวางแผนที่จะจำหน่ายยาตัวนี้ต่อไปยังไงครับ?”
“ดิฉันได้ยินมาว่าผู้ป่วยที่เคยทดลองยาตัวนี้ในก่อนหน้านี้ก็มาที่นี่ด้วย ดูเหมือนต้องการจะฟ้องร้องบริษัทการผลิตยาเทียนอีของพวกคุณ!”
ประโยคนี้พูดออกมา เสียงวิพากษ์วิจารณ์ทยอยดังขึ้นมาทั่วทั้งห้องบอลรูม สายตาของเวินจิ้งตกไปอยู่ที่หน้าประตู มีบุคลากรทางการแพทย์ประคองผู้ป่วยสองสามรายเข้ามาจริงๆ ด้านหลังคือญาติของพวกเขา
ก่อนหน้านี้เหม่ยทงได้เคยทำการทดลองยาจริงๆ สำหรับผู้ป่วย เธอไม่แน่ใจว่าคือผู้ที่อยู่ด้านหน้านี้หรือเปล่า
“ยาเหม่ยทงตัวนี้ จะทำร้ายจนสามีของดิฉันตายจริงๆค่ะ!” ญาติของผู้ป่วยเอ่ยขึ้นอย่างดังกึกก้องมีพลัง
มือของเวินจิ้งสั่นเล็กน้อย อดไม่ได้ที่จะยืนขึ้นมาในทันที “กรุณาอย่าพูดจามั่วซั่วค่ะ