Flash Marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน - ตอนที่ 191
บทที่191 หมดหนทางสู้
ในค่ำคืน ดวงดาวค่อยๆ ร่วงหล่นดังสายฝน
เวินจิ้งออกจากบริษัทผลิตยาเทียนอี หน้าประตู มีรถสีดำที่เรียบง่ายจอดอยู่หน้าประตูคันหนึ่ง
ท่ามกลางเมฆฝน มีชายเสื้อขาวตัดกับกางเกงดำกำลังกางร่มอยู่ในความมืดมิด ใบหน้าของเขา
สมบูรณ์ไร้ที่ติ
เวินจิ้งถึงกับหยุดชะงักทันที รองเท้าหนังของมู่วี่สิงเปียกโชกหมดเลย แสดงว่าเขายืนมานานแล้ว
“คุณมาตั้งแต่เมื่อไรคะ” เวินจิ้งวิ่งเข้าไปกอดแขนของเขา
มู่วี่สิงสีหน้าอ่อนโยน ใช้มือที่เรียวยาวปัดผมที่ยาวสลวยทัดหูให้เวินจิ้ง เผยให้เห็นแก้มของเธอที่
งดงามน่าหลงใหล
“ไม่นานหรอก กำลังจะโทรหาคุณอยู่พอดีเลย”
“คุณให้คนขับรถมารับฉันก็ได้” เวินจิ้งพูดอย่างแผ่วเบา
เขารู้ว่ามู่วี่สิงปกติก็ยุ่งๆ ก่อนหน้านั้นส่วนใหญ่ก็เป็นคนขับรถมารับตลอด นานแล้วที่ไม่ให้เขา
มารับด้วยตัวเอง
“หน้าฝน ผมไม่ไว้ใจเลย” มู่วี่สิงลูบหัวเวินจิ้ง มองตาลง แล้วจูบริมฝีปากอิ่มสีแดงราวผลเชอร์รี่
ของเธอ จูบแบบผิวเผิน ไม่ได้ก้าวร้าวเอาแต่ใจเหมือนเคย แต่กับรู้สึกรับรู้ถึงความอ่อนโยน
ของมู่วี่สิงอย่างชัดเจน
ผู้ชายคนนี้ บางครั้งก็ดูแข็งกร้าวเกินไป บางครั้งก็ทำให้จมดิ่งกับความนุ่มนวลของเขา
“พรุ่งนี้ฉันจะออกเดินทางแล้วนะ” ในรถ เวินจิ้งพิงไหล่ของผู้ชายอยู่
“ช่วงนี้ออกเดินทางบ่อยจัง” มู่วี่สิงขมวดคิ้ว
“อั้ยเถียนลาออกแล้ว ตอนนี้ฉันทำตำแหน่งแทนเขาชั่วคราว ต่อไปก็ต้องออกเดินทางบ่อยแล้ว
ล่ะ”
“คุณไม่ใช่ว่าต้องเตรียมสอบหรอ? งั้นก็ต้องลาออกแล้วสิ” มู่วี่สิงพูดอย่างแผ่วเบา
เวินจิ้งขมวดคิ้ว ตอนนี้ก็ยังไม่รู้ว่าตัวเองมีสิทธิ์สอบหรือเปล่า จะลาออกแบบนี้ได้ที่ไหนกัน
“ไม่ก็รอผ่านช่วงนี้ไปก่อนเถอะ”
ในเวลานี้ มู่วี่สิงได้เอาซองใส่เอกสารออกมาจากตู้ข้างๆ เวินจิ้งประหลาดใจ มองเห็นตัวหนังสือ
ที่อยู่บนซอง “มหาวิทยาลัยหนานเฉิง” มือของเธอก็สั่นระริกขึ้นมา
หรือว่า…
เธอเปิดดูอย่างรวดเร็ว นึกไม่ถึงว่าจะเป็นวิทยานิพนธ์ที่เขาส่งไปเมื่อปีนั้น เพียงแต่ฉบับนี้ มองดู
ก็รู้ว่าไม่ใช่เธอเขียน
“คุณเอามาได้ยังไง?” เวินจิ้งถามอย่างแปลกใจ
“คุณปู่ของผมเป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยหนานเฉิง หลายปีก่อนผมก็เป็นผู้ออกทุน ถ้าจะ
เอาวิทยานิพนธ์คุณมาก็ไม่ได้ลำบากอะไร” มู่วี่สิงพูดเสียงเบา
“ที่แท้เป็นแบบนี้นี่เอง ก็ไม่แปลกที่คุณบอกว่าช่วยฉันได้ตั้งแต่แรก” เวินจิ้งก้มลงมอง
วิทยานิพนธ์ นี้ก็คงจะเป็นการสอบป้องกันวิทยานิพนธ์ที่ครูได้รับในปีนั้น แต่หากไม่ใช่ฉบับที่
เธอเขียนด้วยตัวเองฉบับนั้น งั้นวิทยานิพนธ์ฉบับนั้นของเธอล่ะ?
ถ้าหากโดนสับเปลี่ยนกระเป๋าจริง แล้วใครจะเป็นคนทำอย่างนี้นะ? ใครกันที่โกรธเธอรุนแรงได้
ขนาดนี้
“คุณเชื่อมั้ย วิทยานิพนธ์ฉบับนี้ความจริงแล้วไม่ใช่ที่ฉันเขียนฉบับนั้น” เวินจิ้งเบะปากเย้ยหยัน
มู่วี่สิงขมวดคิ้ว รับวิทยานิพนธ์ของเวินจิ้งมาดูคร่าวๆ ค่อยๆ หน้านิ่วคิ้วขมวด
“ผมจะช่วยคุณตรวจสอบอย่างชัดเจนเอง” น้ำเสียงของเขาเด็ดขาด
“จะลำบากมากมั้ยคะ?”
“เอามาให้ผม”
คำพูดของมู่วี่สิง มักจะทำให้เธอเชื่อมั่นเสมอ
เธอหรี่ตาลง สายตาที่เย็นชาค่อยๆจางหายไป
“ฉันสงสัยฉินเฟยมาตลอด แต่ไม่มีหลักฐาน เขาก็ไม่ยอมรับ”
“อืม ฉันจะไปตรวจสอบตามเบาะแสนี้”
“มู่วี่สิง ขอบคุณนะ” เวินจิ้งมองเขาอย่างจริงจัง
“จำไว้นะ คุณคือคุณหญิงมู่ สิ่งที่ผมต้องการคือ สามารถเป็นที่พึ่งพิงและได้รับความเชื่อใจจาก
คุณ แต่ไม่ใช่คำขอบคุณ”
“แต่ว่าคุณมักจะช่วยเหลือฉัน ดูเหมือนฉันจะมีแต่ทำให้คุณเดือดร้อน” เวินจิ้งพูดอย่างรู้สึกไม่
สบายใจ
เขาไม่อยากสร้างความลำบากให้กับมู่วี่สิงเลย เพราะทั้งสองนั้นไม่ได้มีความสัมพันธ์ฉันสามี
ภรรยากันจริงๆ การที่เขาช่วยเหลือนั้น เธอเองก็ไม่รู้ว่าจะตอบแทนยังไง
ภายในใจนั้นรู้สึกอึดอัดไม่สบายใจ
“ผมชอบให้คุณหญิงมู่สร้างปัญหาให้ ไม่อย่างนั้นผมก็เป็นสามีที่ว่างมากเลยสิ?” มู่วี่สิงหรี่ตาลง
แววตาที่ลึกซึ้งนั้นถึงแม้เวินจิ้งจะไม่เข้าใจ แต่ยินยอมที่จะตกอยู่ในห้วงแห่งความอบอุ่นของเขา
วันต่อมา เวินจิ้งมีบินไฟลท์เช้า
มู่วี่สิงตื่นเช้ากว่าเธอ ทำแซนด์วิชไว้สองชุด เวินจิ้งรีบอาบน้ำออกมาอย่างรวดเร็ว มู่วี่สิงได้ช่วย
เธอจัดเก็บกระเป๋าเสร็จเรียบร้อยแล้ว
เขายังคงใส่เสื้อเชิ้ตสีขาวกางเกงสีดำเหมือนเคย ก็เห็นกันอยู่แล้วว่าเขาแต่งตัวใส่ชุดสูท
เหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง แต่กลับแสดงถึงบุคลิกที่อบอุ่นสุภาพเรียบร้อย ดูสง่าผ่าเผย
ไม่มีใครคาดเดาได้ว่าปกติเขาจะเป็นคนที่ชอบอยู่บ้านขนาดนั้น
“ฉันไม่รู้ว่าออกเดินทางครั้งนี้จะนานแค่ไหน” เวินจิ้งกอดเขา ลูบไล้ที่หน้าอกของเขาเบาๆ
พอนึกได้ว่าอีกนานกว่าจะไม่ได้เจอมู่วี่สิง ภายในใจของเวินจิ้งรู้สึกอ้างว้างขึ้นมาเล็กน้อย
ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ ที่เธอรู้สึกเคยชินกับการมีเขาอยู่เคียงข้างกาย
ที่สำคัญหลังจากที่ย้ายเข้ามาอยู่ในตระกูลมู่ ถึงคนรับใช้จะไม่ค่อยได้มา แต่มู่วี่สิงก็ดูแลเธอเป็น
อย่างดี
เวินจิ้งเผลอยิ้มที่มุมปาก
เธอเขย่งเท้า ดวงตามองดูสุภาพบุรุษที่อยู่ใกล้ๆ ริมฝีปากเชอร์รีแทบจะจูบลงบนปากบางๆของ
เขา
มู่วี่สิงยิ้มตาหยี คิ้วที่เข้มของเขาขมวดขึ้น “ถ้าไปทำงานนานเกินไป ผมจะไปตามกลับมา”
เวินจิ้งหัวเราะออกมา “เหมือนครั้งที่แล้วหรอคะ? จะว่าไปเป็นเพราะฉัน คุณถึงต้องไปเมืองB
ใช่มั้ยคะ?” ถามขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
“คิดถึงคุณหญิงมู่ก็ไปหาเลย เสียดายมีบางคนไม่สนใจ ทิ้งผมไว้คนเดียว” น้ำเสียงของมู่วี่สิงนั้น
น้อยอก น้อยใจ
ฟังแล้วยิ่งทำให้เวินจิ้งยิ้มกว้างขึ้น ยิ่งไปกว่านั้นรอยยิ้มเต็มไปด้วยความหวานละมุนละไม
อ๋อ ที่แท้เป็นอย่างนี้นี่เอง
“คุณก็ไม่ได้บอกฉัน อีกอย่างธุระทางนั้นก็จัดการเรียบร้อยแล้ว ฉันคงไม่สามารถเอาเงิน
ส่วนรวมมา แล้วไม่ทำงานนะ” เวินจิ้งอธิบาย
“ที่คุณเอาไปก็เป็นเงินส่วนรวมของผม ของผมก็เหมือนของคุณ เนอะ?” มู่วี่สิงเชยคางเธอขึ้น
ด้วยน้ำเสียงที่ทำให้คนหลงใหล
เวินจิ้งแก้มแดง มองนัยน์ตาสีดำของมู่วี่สิงราวกับหินภูเขาไฟ สะท้อนใบหน้าแดงก่ำของเธอ
เธอทนไม่ไหว โผเข้าสู่อ้อมแขนเขา วาจาแห่งรักของคุณหมอมู่นับวันยิ่งทำให้เธอหมดทางสู้
หลังจากผ่านไปสามชั่วโมง เวินจิ้งมาถึง เมืองB
ออกจากสนามบินห่างออกมาไกล เห็นเงาที่คุ้นเคยยืนอยู่ไม่ไกล พอมองเห็นเวินจิ้ง เขาค่อยๆเดินเข้ามาหาเธอ
เวินจิ้งขมวดคิ้ว พร้อมกลับหยุดเดิน และเผยสายตาที่ระมัดระวัง
จะทำเป็นมองไม่เห็นเขา แต่ฉีเซินกลับเดินมาอยู่ข้างๆเธอแล้ว
“นางสาวเวินผมตั้งใจมารอคุณเลยนะ” ฉีเซินล้วงมือเข้ากระเป๋าพร้อมกับน้ำเสียงที่เยือกเย็น
“ฉันจำไม่ได้แล้วว่าฉันกับฉีเซินมีงานอะไรที่ต้องพบปะกัน” เวินจิ้งขมวดคิ้วอย่างไม่สบายใจ
ฉีเซินยิ้ม “ใครจะรู้ล่ะ? อย่าพึ่งพูดแบบมั่นใจขนาดนี้สิ”
“คุณคิดยังไงกันแน่?” เวินจิ้งมองที่เขา
“ผมอยากกินข้าวกับคุณก็แค่นั้น ที่จริงแล้วใน B 市 มีอุตสาหกรรมการผลิตของตระกูลฉีไม่
น้อยเลยนะ คุณมาในเขตของผมแล้วผมก็ต้องต้อนรับสิ เป็นเรื่องปกติไม่ใช่หรอ?” ฉีเซินพูดด้วย
น้ำเสียงที่หนักแน่น
“คุณรู้ได้ไงว่าฉันจะมา?” เวินจิ้งเหล่มองเขา แผนการเดินทางของเวินจิ้งดูเหมือนฉีเซินจะรู้
ตั้งแต่แรกแล้ว
นอกจากเธอติดต่อกับทีมร่วมงานแล้ว แผนการเดินทางของเธอก็ไม่เคยเปิดเผยให้คนอื่นเลย
“ต่อไปคุณจะรู้เอง” ฉีเซินโน้มตัวลงเชิญเวินจิ้งขึ้นรถอย่างเป็นมารยาท
เวินจิ้งไม่สนใจเขา หันหลังกลับเพื่อจะไปดักรอรถแท็กซี่
ฉีเซินเหล่ตามองอย่างเย็นชา ความเย็นชานั้นแพร่กระจายไปทั่วสายตา
“เวินจิ้ง เป็นแม่ผมต่างหากที่เชิญคุณไปกินข้าว