Flash Marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน - ตอนที่ 202
บทที่202 ชีวิตของเธอก็คือชีวิต
เวินจิ้งเดินเข้าไป “คุณนายฉีเป็นอะไร”
ฉีเซินขมวดคิ้ว “เลือดคุณเป็น RH ลบใช่ไหม”
เวินจิ้งได้หยุดชะงัก และพยักหน้าอย่างช้าๆ เธอมีกรุ๊ปเลือดที่หายากมาตั้งแต่เด็ก แต่ฉีเซินรู้ได้ยังไง
“แม่ของฉันก็เป็นคนกรุ๊ปเลือดนี้เหมือนกัน พบชื่อของคุณอยู่ในคลังเลือด” น้ำเสียงของฉีเซินกลายเป็นหนักแน่นขึ้น
“คุณนายฉีต้องการให้ชั้นบริจาคเลือดให้เขาหรอ” เวินจิ้งเริ่มจะเข้าใจได้ในทันที
ฉีเซินพยักหน้า
เวินจิ้งมองไปยังสายตาของมู่วี่สิงโดยไม่ได้ตั้งใจ เพื่อจะขออนุญาตจากเขา
มู่วี่สิงได้ขมวดคิ้ว “ถ้าร่างกายเธอพร้อมก็โอเค ฉันไม่มีปัญหา”
“ฉันไปกับคุณ” เวินจิ้งมองไปยังฉีเซิน “คุณนายฉีได้รับบาดเจ็บเพราะอะไร”
“เขาได้เกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ และต้องการความช่วยเหลือ” ความเยือกเย็นได้แสดงออกผ่านฉีเซิน
ขณะที่พูด ผู้ชายที่ไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องอะไร ตัวของเขาเริ่มสั่นด้วยความกลัว
ในใจของเวินจิ้ง ก็ค่อยๆเจ็บปวด
“คุณนายฉีจะต้องไม่เป็นอะไร” เวินจิ้งกระซิบ
เมื่อได้มาถึงห้องเก็บเลือด หมอก็ทำการตรวจร่างกายเธอเป็นอันดับแรก เพียงแต่เวินจิ้งได้ถ่ายเลือดไปเมื่อสามเดือนก่อน ร่างกายของเธอตอนนี้ได้มีอาการของโรคโลหิตจาง
“คุณเวิน ร่างกายของคุณตอนนี้ไม่เหมาะที่จะบริจาคเลือด” หมอพูดอย่างเคร่งขรึม
มู่วี่สิงและฉีเซินอยู่นอกม่าน เสียงของหมอก็ไม่ได้เบา ทั้งสองก็สามารถได้ยินได้
เสียงที่ลอดออกมา มู่วี่สิงแทบจะเข้าไปในทันที “งั้นก็ไม่ต้องบริจาคเลือดแล้ว”
“คุณมู่ ให้เวินจิ้งได้ตัดสินใจด้วยตัวเองเถอะ” ฉีเซินก็ได้เข้ามาด้วยน้ำเสียงเย็นชา
ในเวลานั้น แพทย์แผนกฉุกเฉินได้รีบมา “ผู้ป่วยยังมีเลือดออกมาก มีใครที่มีกรุ๊ปเลือดเข้ากันได้บ้าง! ไม่อย่างนั้นผู้ป่วยจะอยู่ในภาวะวิกฤต!”
พยาบาลเหล่านั้นยังคงติดต่อกับผู้ที่มีกรุ๊ปเลือดที่เหมาะสมในคลังเลือด เพียงแต่ตอนนี้ก็มีเพียงเวินจิ้งที่มาถึงแล้ว
“เอาเลือดฉันไปเถอะ ฉันโอเค” เวินจิ้งพูดอย่างใจเย็น
เดิมที่คิดว่ากลับไปโดยไม่บริจาค แต่เมื่อได้ยินคำพูดที่ตกอยู่ในภาวะวิกฤต ความเจ็บปวดที่อยู่ภายในใจของเวินจิ้งก็ได้ซึมซาบออกมา
หากทำไม่ได้ก็กลับไป
“ผมไม่อนุญาต!” มู่วี่สิงจับมือเธอขึ้นมา ไม่ต้องสงสัยว่าเขาพาเวินจิ้งออกไป
หน้าตาที่บึ้งตึงของมู่วี่สิง ทำให้เวินจิ้งกัดริมฝีปาก และพยายามดึงมือออก แต่สู้แรงของมู่วี่สิงไม่ได้
เมื่อได้เห็นเธอถูกพาออกจากห้องถ่ายเลือด ฉีเซินก็ได้หยุดเขาทั้งสองไว้
“มู่วี่สิง ปล่อยเธอ!” ฉีเซินพูดอย่างเย็นชา และได้จับมืออีกข้างหนึ่งของเวินจิ้ง
“อย่าแม้แต่จะคิด!” มู่วี่สิงหรี่ตาแคบอย่างอันตราย และได้ดึงเวินจิ้งออกไป
เวินจิ้งยังคงยืนอยู่ข้างๆฉีเซิน และได้ก้าวเท้าออกอย่างช้าๆ
เธอได้มองไปยังมู่วี่สิง “ครั้งนี้ถ้าฉันทำได้ค่อยออกไป”
ความรู้สึกอย่างนี้ แม้แต่เธอเองก็ไม่สามารถอธิบายได้ จริงๆกับคุณนายฉีก็ไม่ได้สนิทกันมาก แต่ทุกครั้งที่ได้พบคุณนายฉี เธอก็รู้สึกได้ถึงความอ่อนโยนอบอุ่นและใกล้ชิดสนิทสนม
เธอไม่สามารถเพิกเฉยได้
มู่วี่สิงหรี่ตาแคบ และเขาได้เอ่ยน้ำเสียงอันนุ่มนวลบริเวณข้างหูของเวินจิ้ง ท้ายที่สุดเขาก็ใจอ่อน
เขาได้เม้มริมฝีปากเรียวบาง และเงยหน้าขึ้นมองไปยังหมอ “บริจาคเลือดได้ หากร่างกายของเธอเกิดปัญหาอะไรขึ้น พวกคุณจะต้องรับผิดชอบ!”
หมอได้ขมวดคิ้ว มองไปที่รายงานสุขภาพของเวินจิ้ง “สูบ150ซีซี ต่ำสุดเพื่อลดความเสี่ยงต่อร่างกาย”
“เวินจิ้ง ขอบคุณค่ะ” ใบหน้าที่ตึงเครียดของฉีเซิน ในที่สุดก็ค่อยๆคลายลง มองไปยังเวินจิ้ง อารมณ์ข้างในก็เกิดความซับซ้อนขึ้น
“ฉันแค่ช่วยคุณนายฉี” เวินจิ้งพูดอย่างเงียบๆ และนอนลงอย่างรวดเร็ว
มู่วี่สิงอยู่ข้างๆเธอ จับมือเธอไว้แน่นตลอด มือและเท้าของเธอก็ได้เย็นเยือก ตอนนี้ก็ยิ่งทำให้เขาขมวดคิ้วด้วยความกังวล
หลังจากที่ให้เลือดเสร็จ เวินจิ้งหลับตาลง ความอ่อนแอของร่างกายทำให้ใบหน้าของเธอได้ซีดเซียว
“คุณนายมู่ ฉันทุกข์ใจมาก” มู่วี่สิงพูดด้วยเสียงต่ำและหนักแน่น
เวินจิ้งยิ้มอย่างเกร็งๆ “ฉันไม่เป็นไร แค่เหนื่อยนิดหน่อย ชีวิตคนเป็นเรื่องสำคัญเท่าฟ้า ไม่อาจเฉยเมยได้”
“ชีวิตของคุณก็คือชีวิตเหมือนกัน คุณเคยพูด แค่ครั้งนี้ครั้งเดียว ทีหลังผมจะไม่ยอมให้คุณต้องเสี่ยงอีก” มู่วี่สิงพูดอย่างโกรธเคือง
เวินจิ้งพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง หลับตาไม่นานก็เผลอหลับไป มู่วี่สิงช่วยห่มผ้าให้เธอ และเดินออกไปข้างนอก
ไฟสีแดงของห้องฉุกเฉินยังไม่ดับ หลินเวยยังคงได้รับความช่วยเหลือ
ฉีเซินยืนอยู่ระหว่างทางเดิน นิ้วคีบบุหรี่ที่ยังไม่ได้จุด ดวงตาของเขาไม่สดใส
เมื่อได้เห็นมู่วี่สิง เขาก็ขยับปากบางๆอย่างเหน็บแนม พร้อมดึงคอเสื้อมาอย่างแรง เมื่อมู่วี่สิงได้เห็นเขากำหมัด มู่วี่สิงก็ได้หยุดเขาอย่างรวดเร็ว
เขาเตะไปที่เท้าและเข่าของฉีเซิน จนเขาไม่สามารถจะยืนไหว แต่โชคดีที่ข้างหลังเป็นกำแพง
ระหว่างกระพริบตา มู่วี่สิงได้กดเขาไว้กับกำแพง
“เกรี้ยวกราดอะไรขนาดนี้” มู่วี่สิงพูดอย่างเยือกเย็น และเบามือลง
ฉีเซินบีบข้อมือของเขา ดวงตาที่ดุร้ายของเขาได้แสดงออกขึ้นมาและค่อยๆกำหมัดแน่น
“แกยั่วโมโหฉัน!” ฉีเซินพูดด้วยความโกรธ
“ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับเวินจิ้ง ผมไม่ปล่อยคุณไว้แน่” มู่วี่สิงพูดอย่างเลือดเย็น
ฉีเซินได้หรี่ตาลงอย่างหดหู่ ชกหมัดเข้าไปที่กำแพง พยาบาลที่ผ่านมาต้องการที่จะเตือนเขา แต่ก็ไม่กล้าเข้าไปใกล้
หลังจากสองชั่วโมงผ่านไป เวินจิ้งก็ได้ตื่นขึ้นมา ร่างกายของเธอค่อนข้างอ่อนแอ ตอนนี้เธอก็ได้รับการฉีดยา
เธอถูกย้ายจากห้องถ่ายเลือดไปยังห้องผู้ป่วยทั่วไป และมู่วี่สิงก็อยู่ที่นั่น
เมื่อเห็นเธอตื่นขึ้นมา มู่วี่สิงยังคงขมวดคิ้ว “รู้สึกยังไงบ้าง”
“ดีขึ้นเยอะแล้ว”
เมื่อคิดถึงคุณนายฉี เวินจิ้งก็ได้ถามอย่างเป็นห่วง “แล้วคุณนายฉีเป็นไงบ้าง”
“พ้นขีดอันตรายแล้ว” สีหน้าของมู่วี่สิงดูเซ็งๆ
“งั้นก็ดีแล้ว” เวินจิ้งรู้สึกโล่งใจ
หลังจากให้น้ำเกลือเสร็จก็ออกจากโรงพยาบาลได้ เวินจิ้งอยากไปพบหลินเวย มู่วี่สิงทำหน้านิ่งและดูอึดอัดใจ
เวินจิ้งได้มุ้ยปากและได้แกว่งแขนของชายคนนั้น “ฉันแค่จะไปดูหน่อย คุณคงไม่น้อยใจนะ”
น้อยใจอะไร
ในตอนนั้นมู่วี่สิงได้โกรธมาก ที่ภรรยาของเขาเจ็บปวดจากการให้เลือดให้กับคนที่ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกัน จนทำให้ตัวเองต้องมาเจ็บจากการถ่ายเลือด เขาจะใจเย็นได้อย่างไร
“อืม ก็น้อยใจสิ” มู่วี่สิยอมรับ
“ฉันอยากจะไปดูจริงๆ มู่วี่สิง คุณหมอมู่ พ่อเทพบุตรมู่…..” เวินจิ้งมองดูเขาอย่างคาดหวัง ดวงตาคู่นั้นอ่อนนุ่มราวกับน้ำ
มู่วี่สิงได้มองไปตรงหน้า ขณะนั้นประตูลิฟต์ที่อยู่ข้างหน้าก็ได้เปิดออก เขาจับเธอเข้าไปโดยไม่บอกกล่าว เวินจิ้งรู้สึกไม่พอใจและได้เหวี่ยงมือของมู่วี่สิงออก
มู่วี่สิงกอดเอวของเธอ ไม่ยอมให้เธอดิ้น
เวลานี้ เสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์ก็ดังขึ้น เป็นสายเรียกเข้าของเจี่ยนอี
“แม่เหรอ”
“ฉันได้ข่าวว่าคุณนายฉีได้รับบาดเจ็บ เธอไปเยี่ยมเขารึยัง” เจี่ยนอีถามด้วยความกังวล
“ฉันไปโรงพยาบาลมาแล้ว ให้เลือดเขาแล้วด้วย แต่ยังไม่ได้ไปเยี่ยมเขาเลย” เวินจิ้งได้ขมวดคิ้ว อดไม่ได้ที่จะจ้องมองไปยังมู่วี่สิง
“ถ้ามีเวลาเธอก็ไปดูหน่อย ฝากความห่วงใยของฉันไปด้วยก็ได้แล้ว” เจี่ยนอีกำชับ
“ฉันรู้แล้ว”
เวินจิ้งมองไปยังมู่วี่สิง “นี่เป็นคำสั่งของแม่ฉัน ไม่สามารถขัดคำสั่งได้”
พูดจบ เวินจิ้งก็ได้กลับไปยังห้องผู้ป่วย
ครั้งนี้มู่วี่สิงไม่ได้ปฏิเสธแต่อย่างใด นึกถึงกรุ๊ปเลือดพิเศษของเวินจิ้งและท่าทีของเจี่ยนอีแล้ว อาการในดวงตาของเขาก็หม่นหมอง