Flash Marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน - ตอนที่ 203
บทที่203 ทิ้งไม่ลงจริงๆ
หลินเวยอาการยังคงโคม่าอยู่ ที่มือและเท้าของเธอได้รับบาดเจ็บอย่างรุนแรง ร่างกายของเธอเต็มไปด้วยผ้าพันแผล สถานการณ์ยังไม่ดีขึ้นเท่าไหร่
ต้องใช้เวลาอย่างน้อยสิบสองชั่วโมง ถึงจะพ้นขีดอันตราย
ฉีเซินยืนอยู่ข้างๆ ด้วยใบหน้าที่ตึงเครียดตลอดเวลา
ได้เห็นเวินจิ้งเข้ามา เขาก็หยุดชะงัก ตอนเธอกำลังเดินมา
“เวินจิ้ง ครั้งนี้ขอโทษจริงๆ” ฉีเซินได้ขอโทษอย่างสุภาพอีกครั้ง
ขณะที่แม่เขาเพิ่งจะกำลังตกอยู่ในอันตราย เขาไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากจำเป็นต้องให้เวินจิ้งไปบริจาคเลือด
แต่หลังจากที่เธอได้นอนสลบไป เขาก็เริ่มหงุดหงิด
“มันเป็นเรื่องยากที่คุณจะต้องมาพูดคำขอโทษ” เวินจิ้งกระซิบและให้ความสนใจไปยังร่างของหลินเวย
เมื่อได้เห็นบาดแผลมากมายบทร่างของเขา นัยน์ตาของเวินจิ้งก็เผยให้เห็นถึงความรู้สึกเจ็บปวด
“แม่ฉันได้กำชับฉันไว้ ว่าเขากังวลคุณนายฉีมาก”
แววตาลึกๆของฉีเซิน มองไปยังเงามืดของเวินจิ้ง พลางทำคิ้วอ่อนนุ่มลง
“ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม ตระกูลฉีของเราเป็นหนี้บุญคุณคุณ คุณจะให้ผมช่วยเหลืออะไรก็ได้ ขอให้คุณบอกมา”
เวินจิ้งได้หยุดชะงัก ขอความช่วยเหลืองั้นเหรอ
เธอคิดอย่างจริงจังเกี่ยวกับคำขอร้อง แต่ดูเหมือนว่ามู่วี่สิงก็สามารถช่วยเหลือเธอได้ทั้งหมด …….
“รอฉันคิดออกค่อยพูดอีกที ถ้าคุณนายฉีฟื้นแล้ว รบกวนคุณบอกฉันด้วย” เวินจิ้งอยู่ได้ไม่นาน
สุดทางของระเบียง มู่วี่สิงได้โทรหาเกาเชียน “ฉันต้องการข้อมูลทั้งหมดของหลินเวยกับเจี่ยนอี”
เมื่อทั้งสองกลับถึงโรงแรม ทันที่ที่เข้าถึงล็อบบี้ ร่างสูงชะรูดของลี่หนานเฉิงก็เดินเข้ามา “โย่ พวก ฉันรอนายตั้งนาน!”
มู่วี่สิงพลางทำคิ้วนุ่มนวล “มีอะไร”
ลี่หนานเฉิงได้มองเวินจิ้ง และพูดด้วยเสียงต่ำ “เสี้ยวหงก็มาแล้ว หลายคนก็อยากพบนาย แต่ดูเหมือนนายจะไม่สะดวก”
“ไม่สะดวกจริงๆ วันอื่นเถอะ” พูดจบ มู่วี่สิงก็โอบกอดเวินจิ้ง
เวินจิ้งเพิ่งได้ยินคำพูดของลี่หนานเฉิง และได้ดึงมู่งวี่สิงอย่าไม่ตั้งใจ “คุณมีธุระก็ไปเถอะ ฉันกลับไปก็จะนอนแล้ว”
มู่วี่สิงขมวดคิ้ว พลางยกหน้าเล็กๆของเธอขึ้น “ถ้าคุณไปเป็นเพื่อนผม ผมก็จะไป”
“ฉันง่วงแล้ว ……” เวินจิ้งกระซิบ ถึงแม้ว่าจะได้มีโอกาสนอนมาแล้วตอนอยู่โรงพยาบาล แต่ร่างกายของเธอก็ยังรู้สึกไม่ค่อยสบาย
“งั้นผมก็จะไปนอนเป็นเพื่อนคุณ” มู่วี่สิงพูดอย่างตามใจ
ลี่หนานเฉิงได้ตามเข้าไปในลิฟท์อย่างอึดอัด เมื่อได้ยินคำสองคำนี้ หน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นหน้าตำ
“ได้เลย ถ้าจะทำกับฉันเหมือนหมาที่โดดเดี่ยวตัวนึง” ลี่หนานเฉิงพูดอย่างไม่พอใจ
หากมู่วี่สิงไม่ไป ก็ไม่สามารถรวมกลุ่มได้
เวินจิ้งยิ้มขึ้นทันที แต่นึกขึ้นได้ว่าไม่นานมานี้ ได้เห็นลี่หนานเฉิงใกล้ชิดกับผู้หญิงคนหนึ่ง
ปีศาจอย่างลี่หนานเฉิง มีความเป็นไปได้น้อยมากที่ยังโสดอยู่
อย่างไรก็ตาม ลี่หนานเฉิงก็คือเจ้านายของเธอ เวินจิ้งจึงไม่กล้านินทาเรื่องส่วนตัวของเขา
“พรุ่งนี้เช้าประชุมเก้าโมง หลังจากนั้นเวลาของคุณ ก็เป็นของมู่วี่สิงแล้ว” หลังออกไปลี่หนานเฉิงก็ได้พูดกับเวินจิ้ง
แก้มของเวินจิ้งก็เริ่มแดง “ถ้าไม่มีอะไร ฉันก็จะกลับไปที่หนานเฉิงแล้ว”
“ฮื้ม จะทิ้งคนบางคนได้เหรอ” ลี่หนานเฉิงแกล้ง
มู่วี่สิงงอริมฝีปากบางๆ “ทิ้งไม่ลงจริงๆ”
“ฮึ้ม” เวินจิ้งได้สับสนมึนงง ถ้าไม่กลับไป แล้วจะอยู่ที่นี่ทำไม
แต่ก่อนที่จะแยกกัน เธอต้องไปเยี่ยมคุณนายฉี
“อีกสักสองวันค่อยกลับ” มู่วี่สิงไม่ได้พูดอย่างละเอียด
เวินจิ้งมองไปที่ใบหน้าอันหล่อเหลา และอดไม่ได้ที่จะทำตาม
วันรุ่งขึ้น ลี่หนานเฉิงและเวินจิ้งได้มาถึงบริษัทโป๋ทงกรุ๊ปตรงเวลา และฉืออี้เหิงกำลังรออยู่ในห้องประชุม
การสนทนาครั้งล่าสุด ทั้งสองบริษัทได้นำข้อกำหนดใหม่มาใช้ ถ้าไม่มีปัญหาบริษัทโป๋ทงกรุ๊ปก็จะเริ่มทำการขายได้อย่างเป็นทางการ
ทุกอย่างเป็นที่แน่นอนแล้ว ท่าทีของฉืออี้เหิงนั้นดีกว่าเมื่อก่อน
อย่างไรก็ตามอีกฝ่ายคือลี่หนานเฉิง ลูกชายคนที่สามของตระกูลลี่ เมื่อก่อนหนานเฉิงก็เป็นบุคคลที่โด่งดัง ทุกคนต่างก็หวาดกลัว
หลังจากการประชุมสิ้นสุดลง ลี่หนานเฉิงก็ได้ออกไปก่อน เวินจิ้งยังคงอยู่เพื่อติดตามงานต่อไป
ฉืออี้เหิงนั่งอยู่ตรงข้ามเธอ เมื่อมองไปยังเวินจิ้งเขาพลางขมวดคิ้วอย่างเบาๆเล็กน้อย
“คุณฉือ นี่เอกสาร ช่วยเซ็นชื่อหน่อยค่ะ” เวินจิ้งได้มอบเอกสารไปยังเขา
สายตาที่ลึกลับของฉืออี้เหิง ทำให้เวินจิ้งขมวดคิ้ว
“อืม” เขาตอบรับแล้วเซ็นชื่อ เขาถาม “รอทานข้าวด้วยกันไหม”
“ขอโทษด้วยค่ะ ฉันยังมีธุระอื่นจะต้องทำ”
“เดี๋ยวผมคงจะอยู่ในเมือง B อีกนาน เกรงว่าไม่น่าจะกลับไปเมืองหนานเฉิง” ฉืออี้เหิงกล่าวขึ้น
เมื่อได้ยิน เวินจิ้งก็ได้ยิ้ม “นี่มันไม่ใช่เรื่องที่ดีเท่าไหร่ค่ะ ได้เข้ามาที่บริษัทโป๋ทงกรุ๊ปก็ไม่ต่างอะไรกับบริษัทฉินซื่อกรุ๊ปหรอกค่ะ”
คำพูดประชดประชัดของเวินจิ้งนั้น ฉืออี้เหิงได้ยินอย่างชัดเจน
เขาได้ทำหน้าเย็นชา “ใช่ ไม่เพียงแต่พวกเราเป็นหุ้นส่วนกัน เวินจิ้ง พวกเราก็ได้เจอกันบ่อยๆ”
เวินจิ้งขมวดคิ้ว เธอรู้ดี และกลัวว่าที่จะต้องติดต่อกับฉืออี้เหิงไปอีก
“อืม ตราบใดที่คุณฉือไม่ต่อต้าน ความร่วมมือของพวกเราก็ราบรื่นค่ะ” เวินจิ้งยิ้มอย่างเฉยเมย และกลับออกไป
เมื่อเดินออกจากห้องประชุม รอยยิ้มบนใบหน้าของเธอก็ค่อยๆจางไป
ขณะนั้น โทรศัพท์ก็ได้ดังขึ้น เป็นสายโทรเข้าของมู่วี่สิง
เขากำลังรอเธออยู่ชั้นล่างแล้ว
ขณะนั้น เสียงของฉืออี้เหิงก็ได้ดังขึ้นอยู่ข้างหลัง
“รีบร้อนอะไรกัน มู่วี่สิงมาแล้วเหรอ” ฉืออี้เหิงพูดอย่างเย้ยหยัน
เวินจิ้งเงิยหน้าด้วยแววตาที่เย็นชา “มันเป็นเรื่องส่วนตัวของฉัน คุณฉืออย่าได้กังวลอะไรไปเลยค่ะ”
“งั้นเหรอ” ฉืออี้เหิงได้เอามือทั้งสองล้วงกระเป๋ากางเกง และก้าวเข้ามาใกล้
เวินจิ้งถอยหลังกลับอย่างไม่รู้ตัว แต่กลับกลายเป็นว่าได้ถูกเขาบังคับให้ติดกับผนัง และอดไม่ได้ที่จะโกรธ “ฉืออี้เหิง คุณกำลังจะทำอะไร!”
“แกล้งคุณ” ชายคนนั้นได้หยอกเย้าริมฝีปากอย่างสนุกสนาน
เวินจิ้งทำหน้านิ่ง ผลักเขาอย่างไวและเดินเข้าลิฟต์ไปอย่างรวดเร็ว รอยยิ้มที่เยือกเย็นของฉืออี้เหิง ได้สะท้อนอยู่ในหัวกับเรื่องที่ไม่สามารถลืมได้
“เกิดอะไรขึ้นเหรอ” เมื่อได้ขึ้นรถ สีหน้าของเวินจิ้งได้ซีดเซียว
เธอส่ายหัว และถูกมู่วี่สิงกุมมือไว้ เธอรู้สึกอยากได้ที่พึ่งจากเขา
มู่วี่สิงขมวดคิ้ว และสังเกตเห็นได้ชัดถึงความผิดปกติของเวินจิ้ง
“ฉืออี้เหิงเหรอ” น้ำเสียงเขาเยือกเย็นมาก
เวินจิ้งได้ตัวแข็งทื่อ “ไม่เป็นไรจริงๆ”
มู่วี่สิงไม่ได้ถามต่อ ใบหน้าหล่อเหลาได้ส่งประกายความน่ากลัวออกมา
ในเช้าวันนี้หลินเวยได้ฟื้นขึ้นมาแล้ว เวินจิ้งได้ไปเยี่ยมเธอ และมู่วี่สิงกำลังรอเธออยู่ข้างนอก
ฉีเซินได้ออกไปยืนอยู่ข้างๆ ยืนอยู่ข้างหลังเวินจิ้ง
เมื่อได้เห็นเวินจิ้ง เผยให้เห็นถึงรอยยิ้มที่อ่อนแอของหลินเวย “เธอ ยังอยู่ในเมือง B เหรอ”
“อีกไม่กี่วันก็กลับแล้วค่ะ คุณนายฉี ฉันและแม่เป็นห่วงคุณมาก”
“ฉันรู้ว่าเธอเป็นคนบริจาคเลือดให้ฉัน ลำบากเธอแล้ว” หลินเวยจับมือของเวินจิ้ง ความเย็นนั้นทำให้เวินจิ้งสั่นไหว
เธอนั่งลง จับมือของหลินเวยแทน “ฉันก็ทำเต็มที่ที่สุด คุณนายฉีไม่ต้องห่วงเรื่องนี้”
“ก็ไม่ได้หรอก เธอได้ช่วยชีวิตฉันเอาไว้ เสี่ยวจิ้ง ฉันอยากให้เธอมาเป็นลูกบุญธรรมของฉัน เธอยินดีไหม” หลินเวยมองเธออย่างคาดหวัง
เวินจิ้งตกตะลึง คิดไม่ถึงไม่ถึงว่าหลินเวยจะขอร้องแบบนี้
“เธอเป็นเด็กที่ฉันชอบมาก ดูแล้วฉันก็มีเพียงแค่ฉีเซินลูกชายคนเดียว คิดอยู่เสมอว่าอยากจะมีทั้งลูกชายและลูกสาว ถ้าเธอยอมให้ฉันเป็นแม่ของเธอ ฉันก็ไม่เสียดายอะไรแล้ว” คำพูดของหลินเวยค่อนข้างจริงจัง
พูดจบ แต่ฉีเซินกลับชิงพูดก่อน “แม่ ผมไม่เห็นด้วย”