Flash Marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน - ตอนที่ 290
บทที่ 290 สมบัติของฉันเป็นของเธอทั้งหมด
ทันใดนั้น ในลิฟต์ก็มีเสียงดังรุนแรงขึ้น เสียงเตือนภัยใช้ได้แล้ว
เวินจิ้งรีบหยิบสายโทรขึ้นมาทันที “พวกเราติดอยู่ในลิฟต์ค่ะ”
“ผมเรียกคนไปช่วยแล้วคุณหญิงมู่มีผมอยู่”
มีผมอยู่
ความตื่นตระหนกของเวินจิ้งค่อยๆผ่อนคลายลง
เพียงแต่วินาทีต่อมา จู่ๆลู่หวั่นก็มาดึงศีรษะเวินจิ้งอย่างบ้าคลั่ง
“นางสาวเลว เธอไม่ได้ตายดีแน่ๆ……”
“อ้า” เวินจิ้งเจ็บจนร้องเสียงหลงออกมา พอได้สติก็ผลักลู่หวั่นออกไป
สมองด้านหลังถูกกระแทก ล้มลงไปทั้งตัว
เวินจิ้งตกใจ พลิกตัวกลับมา ได้กลิ่นเลือดเข้าจมูกเต็มๆ ทำให้เวินจิ้งเกร็งไปทั้งตัว
ลู่หวั่นแทบจะไม่ขยับตัวเลย
เธอไม่สนใจที่จะคุยกับมู่วี่สิงแล้ว รีบนั่งลงเพื่อจะพยุงลู่หวั่นขึ้นมา
แต่เธอไม่มีการตอบโต้อะไรเลย
“ลู่หวั่น!”
เธอหยิบไฟฉายมาส่อง เห็นหน้าผากของลู่หวั่นได้รับบาดเจ็บ จำเป็นต้องรีบทำแผลทันที แต่ตอนนี้ไม่มีอะไรเลย
เธอรีบหยิบวิทยุสื่อสาร “มู่วี่สิง……ลู่หวั่นอาการโคม่าแล้ว……”
ไม่ได้ยินเสียงของมู่วี่สิงเลย เวินจิ้งกลัวมาก
หลายนาทีผ่านไป ข้างนอกก็มีเสียงของมู่วี่สิงดังขึ้นมา
“คุณหญิงมู่”
เวินจิ้งเงยหน้า มองเห็นรีบค่อยๆเปิดออก ในที่สุด ร่างที่สูงใหญ่ของมู่วี่สิงปรากฏอยู่ตรงหน้า
เธอถอนหายใจแรง เรี่ยวแรงทั่วร่างกายราวกับถูกกระชากออกไปหมด ทั้งตัวของเธอล้มลงอยู่ที่พื้น
มู่วี่สิงรีบก้าวเข้ามา จับมือที่เย็นชาของเวินจิ้ง และกอดเธอไว้ในอ้อมอก
สายตามองลงไปที่ใบหน้าของลู่หวั่นเต็มไปด้วยเลือด พลางขมวดคิ้ว
เขาสั่งให้รปภ.ที่อยู่ข้างหลัง “เรียกรถพยาบาลเร็ว”
“เรากลับกันก่อนเถอะ” มู่วี่สิงไม่อยากให้เธออยู่ในสถานที่เต็มไปด้วยเลือด
เวินจิ้งพยักหน้า แต่พอนึกถึงลู่หวั่น เธอจึงถาม “เธอเป็นน้องสาวคุณ คุณจะไปโรงพยาบาลด้วยมั้ย”
“ผมจะเรียกอานเฉิงมา”
เวินจิ้งเม้มปาก ขึ้นรถแล้ว สีหน้าของเธอก็ยังไม่ดีขึ้น
เสียงที่น่ากลัวของลู่หวั่นเมื่อกี้นั้นวนเวียนอยู่ข้างๆหูเธอ
“เมื่อก่อนเธอเคยมีประวัติถูกล่วงละเมิดหรือเปล่า?” เวินจิ้งถาม
พอได้ยิน มู่วี่สิงก็ขมวดคิ้ว “อืม ตอนเด็กเขาพักอยู่บ้านตระกูลลู่ คุณอาเคยใช้ความรุนแรงกับเธอ หลังจากนั้นผมเลยพาเธอมาอยู่กับตระกูลมู่”
เวินจิ้งตกใจ เพราะเติบโตในสภาพแวดล้อมแบบนั้น ถึงได้มีเงาด้านมืดอยู่ในตัว
มู่วี่สิงเป็นคนช่วยเธอออกมาจากสภาพที่ลำบาก งั้นที่ลู่หวั่นมีความรู้กสึกดีๆกับเขา เธอเองก็พอจะเข้าใจแล้ว
“คิดอะไรอยู่?” เห็นเวินจิ้งไม่พูดไม่จา มู่วี่สิงหันหน้าเธอมา เวินจิ้งส่ายศีรษะ ทั้งๆที่ใบหน้าแสดงออกมาอย่างชัดเจน
“ฉันกำลังคิด ทำไมคุณถึงไม่ชอบเธอ” เวินจิ้งพูดพึมพำ
มู่วี่สิงเหล่ตามองเคาะศีรษะของเธอ “อย่ามัวแต่คิดเรื่องไม่เป็นเรื่อง”
“โอ๊ย”
ในเวลานี้ มู่วี่สิงมองลงไปที่แขนของเธอ มีบาดแผลอยู่หลายจุด
น่าจะถูกลู่หวั่นทำร้ายเมื้อกี้
“ผมไม่น่าอนุญาตให้คุณทำงานร่วมกับเธอเลย” มู่วี่สิงพูดอย่างเย็นชา
“เมื่อกี้มันเป็นอุบัติเหตุ ไม่ได้เกี่ยวกับเธอเลยนะ” เวินจิ้งอธิบาย
“พวกคุณไม่ถูกกัน ผมรู้”
เวินจิ้งเม้มปาก ทันใดนั้นก็หัวเราะออกมา “คนที่รักคุณมีเยอะขนาดนั้น ถ้าหากฉันต้องมาหลบทุกคน ไม่เหนื่อยแย่หรอ?”
มู่วี่สิงหันหน้ามา ยกริมฝีปากบางขึ้น “ทำไมผมถึงได้กลิ่นของความหึงหวงนะ?”
แก้มทั้งสองของเวินจิ้งแดงก่ำ “มีที่ไหน”
กลับถึงบ้านหลิน มู่วี่สิงสั่งให้คนใช้หยิบกล่องปฐมพยาบาลมา
เวินจิ้งนั่งบนโซฟา มู่วี่สิงทายาให้เธอ
หลิงอี้รู้เรื่องที่เกิดขึ้นในลิฟต์ จึงรีบกลับมา พอเจอคนรับใช้ ก็รับกล่องปฐมพยาบาลมาทันที
มาถึงห้องรับแขก ก็เห็นแผลที่แขนของเวินจิ้งอย่างชัดเจน
“เจ็บมั้ย?” ใบหน้าหลิงอี้แสดงความห่วงใยอย่างไม่ปิดบัง
เวินจิ้งขมวดคิ้ว พอเห็นเขา ก็แสดงสีหน้าไม่พอใจเล็กน้อย
มู่วี่สิงรับกล่องปฐมพยาบาลมาจากเขา พูดอย่างเย็นชาว่า “ไม่รบกวนคุณหลิงแล้วครับ ผมจะทายาให้ คุณหญิงมู่เอง”
แต่หลิงอี้กลับนั่งอยู่ตรงข้าม มองพวกเขาสองคน
เวินจิ้งรู้สึกอึดอัด
“เรื่องที่เกิดขึ้นผมสืบมาชัดเจนแล้ว มีคนตัดไฟ” หลิงอี้พูด
เวินจิ้งตอบรับอย่างนิ่งๆ
“ถ้าหากคุณยังรู้สึกไม่สบาย ช่วงนี้ก็พักผ่อนอยู่บ้านไปก่อน ไม่ต้องไปที่ห้องทดลองแล้ว”
“ก็แค่แผลเล็กๆ แต่อาการบาดเจ็บของลู่หวั่นรุนแรงกว่าเยอะ เกรงว่าจะกระทบต่อการวิจัย” เวินจิ้งคิดขึ้นมา
ลู่หวั่นเป็นคนสำคัญที่สุดในการวิจัยพัฒนา เธอไม่อยู่ ก็ไม่มีใครสามารถทำตำแหน่งแทนเธอได้
“อืม ผมจะจัดการให้ผู้เชี่ยวชาญคนอื่นมาทำ”
“พรุ่งนี้คุณก็พักอยู่บ้าน ไม่ต้องไปไหนทั้งนั้น” มู่วี่สิงหันหน้าของเวิ้นจิ้งมา
เวินจิ้งขมวดคิ้ว “ฉันก็ไม่ได้เป็นอะไร……”
เห็นสีหน้าที่บึ้งตึงและแววตาที่มองมา ทำให้เธอไม่กล้าออกเสียง
“ไม่อยากอยู่บ้าน ก็มาบริษัทมู่ซื่อกรุ๊ปกับผม”
เธอรู้แล้ว ผู้ชายคนนี้ไม่อยากให้เธอไปที่ห้องทดลองนั้น
แต่เธอรับปากคุณตาแล้ว
“อาทิตย์หน้าเราก็กลับไปเมืองหนานเฉิง แล้วนะ”
“ทำไมเร็วจัง?”
พวกเขามาก็แค่ครึ่งเดือนเอง อีกอย่าง ช่วงนี้ก็ยุ่งกับการวิจัย มีเวลาดูแลคุณตาน้อยมาก
“คุณอยากอยู่เพื่อคบหาหลิงอี้ต่อ?” มู่วี่สิงเข้ามาใกล้ โกรธจนจะระเบิดออกมา
เวินจิ้งทำปากจู๋อย่างสงบนิ่ง
จริงๆแล้ว หลิงอี้คนนี้ เธอไม่ได้อยากใกล้ชิดกับเขาเลย
อีกอย่างเขาเข้าออกตระกูลได้อย่างอิสระ ปกติก็อยู่บริษัทหลินซื่อ เธอก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงที่จะพบเจอเขาได้
“งั้นช่วงนี้ฉันจะอยู่เป็นเพื่อนคุณตา”
วันรุ่งขึ้น เวินจิ้งพักผ่อนอยู่ที่บ้าน หลังกินมื้อเช้าก็เดินเล่นเป็นเพื่อนคุณตา
เรื่องที่จะกลับเมืองหนานเฉิง เธอก็ไม่รู้จะเอ่ยปากกับคุณตายังไง
รู้สึกได้ว่าเวินจิ้งมีเรื่องที่อยากจะคุยด้วย หลินเจิ้นนั่งลง “มีเรื่องอะไรก็พูดมา เป็นเรื่องที่คุณตาจะต้องโกรธใช่มั้ย?”
เวินจิ้งเม้มปาก “คุณตา อาทิตย์หน้าหนูจะกลับเมืองหนานเฉิงแล้วนะ”
เป็นอย่างที่คิดไว้ หลินเจิ้นหน้าบึ้งตึง
“มู่วี่สิงขอร้อง?”
“ไม่ใช่ค่ะ ใกล้จะเปิดเทอมแล้ว หนูอยากกลับไปทบทวนบทเรียนก่อนล่วงหน้า”
“จริงหรอ?” หลินเจิ้นลูบคางพร้อมกับหรี่ตา
เวินจิ้งพยักหน้า แน่นอนเธอพูดไม่ได้ว่าเป็นคำขอร้องของมู่วี่สิง
เดิมทีความสัมพันธ์ของหลินเจิ้นกับมู่วี่สิงก็ไม่ค่อยดีเท่าไรนัก เธอมักจะรู้สึกแปลกใจนิดหน่อย
เวลาที่สองคนเจอกันทีไร ก็มีมารยาทกันมาก
“เธอกลับไปครั้งนี้ คุณตาก็ไม่รู้จะได้เห็นหน้าเธออีกเมื่อไร” หลินเจิ้นเสียงถอดถอนใจ
เวลาของเขา เหลืออีกสี่เดือน
เวินจิ้งก็รู้ ใบหน้าเต็มไปด้วยความเศร้าโศก
ทุกวินาทีที่อยู่กับคุณตา ก็คือการนับเวลาถอยหลัง
“คุณตาคะ หนูจะกลับมาเยี่ยมคุณตาทุกเดือนค่ะ” เวินจิ้งสะอึกสะอื้น
“ความห่วงใยของเธอ ตารู้แล้ว พวกเธอยังวัยรุ่น ควรใช้ชีวิตของตัวเอง”
“คุณตา”
หลินเจิ้นโบกมือ “ฉันทำพินัยกรรมไว้แล้ว สมบัติของฉันเป็นของเธอหมดเลย”
เวินจิ้งก้มหน้า ในใจไม่ได้ดีใจเลยสักนิด
เธอรู้ นี่คือภาระหน้าที่ที่เธอจะไม่รับผิดชอบไม่ได้
“ตอนนี้บริษัทหลินซื่อแม่ของเธอเป็นคนดูแลกิจการในประเทศอยู่ ส่วนอุตสาหกรรมการผลิตในต่างประเทศหลิงอี้ดูแลชั่วคราว แต่ต่อไป ก็จะมอบคืนให้เธอ”