Flash Marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน - ตอนที่ 370
บทที่ 370 กลัวเข้าไปถึงกระดูก (10)
เสียงของมู่วี่สิงยังดังก้องค้างอยู่เป็นเวลานาน ภายในสมองของฉีเซินมีแต่เสียง “ปัง” ดังกังวานไปหมด ราวกับถูกอะไรบางอย่างกระแทกเข้าให้
เมื่อตั้งสติกลับมาได้ ก็ไม่เห็นร่างของทั้งมู่วี่สิงและมู่ซือซือเสียแล้ว
“ขยะ! ขยะกันทั้งหมด!” มองดูบอดี้การ์ดที่ยังคงงงงวยอยู่ที่ด้านข้าง ฉีเซินจึงระเบิดความโกรธครั้งใหญ่ออกมา
ในเวลาเดียวกัน ณ ระเบียงทางเดิน
มู่ซือซือยังคงดิ้นรนขัดขืนเหมือนเช่นเดิม
“พี่ ฉันอยากตีเขาให้ตาย……” มู่ซือซือกล่าวด้วยความขุ่นเคือง
มู่วี่สิงมีสีหน้าเคร่งเครียด ขาอันแสนยาวหยุดนิ่งลงในทันที
เขาหันไปมองดูมู่ซือซือด้วยสีหน้าที่แสนเยือกเย็นเป็นอย่างมาก
“มู่ซือซือ ถ้าเธอยังเรียกฉันว่าพี่ชาย ก็ช่วยหยุดพฤติกรรมเด็กเอาแต่ใจของเธอเสียทีได้ไหม”
เมื่อได้ยินดังนั้น เสียงของมู่ซือซือก็หยุดนิ่งไปในทันที
น้ำตาของเธอเอ่อล้นขึ้นมาในนัยน์ตา แต่เธอไม่อดกลั้นเอาไว้
เธอรู้ดีมาโดยตลอดว่าฉีเซินต้องการฟ้องร้องเธอ ความจริงแล้ว เธอไม่มีโอกาสชนะเลยสักนิดเดียว
เว้นเสียแต่ว่า เรื่องที่เคยผ่านมาในอดีตจะถูกเปิดเผยออกมาทีละเล็กทีละน้อย
“ฉัน…..ฉันอดไม่ไหวจริง ๆ ” มู่ซือซือพึมพำเบา ๆ
ภายในสมองของเธอ มีแต่ความเกลียดชังอยู่เต็มไปหมดเท่านั้น
“พี่จะไม่ยอมให้เธอออกจากบ้านอีก” มู่วี่สิงทำใจแข็ง
ไม่นานนัก ส้งวี่ก็มาถึง เมื่อรู้ว่ามู่ซือซือตั้งใจจงใจหลอกใช้เขา แววตาของเขาจึงเต็มไปด้วยความผิดหวัง
แต่เขาก็ยังเดินเข้าไปหา และสวมกอดเธอเอาไว้ “คุณไม่เชื่อใจผมกับพี่ชายคุณเลยหรือไงกัน”
มู่ซือซือเม้มปาก ความคิดที่ต้องการทำลายฉีเซินภายในหัวของเธอนั้น หยั่งรากลึกลงไปมากเสียแล้ว
เธอนั่งยอง ๆ ลง อาการวิงเวียนศีรษะแล่นเข้ามาโจมตีในทันที เธอหายใจหอบ สุดท้ายแล้วก็อดทนต่อไปไม่ไหว และเป็นล้มหมดสติไปในที่สุด
“ซือซือ!”
ส้งวี่กอดมู่ซือซือ และหันหลังกลับเข้าไปในโรงพยาบาล ร่างกายของมู่วี่สิงแข็งทื่อแน่นิ่งอยู่ที่ประตูทางเข้าเช่นเดิม
เวินจิ้งยืนอยู่ไม่ไกลนัก และสามารถรับรู้ได้ถึงความเจ็บปวดของเขาได้อย่างชัดเจน
เธอต้องการเดินเข้าไปใกล้ แต่ก็กลับหยุดนิ่งอยู่ที่นั่น
ในตอนนั้น คงจะเป็นการดีกว่าถ้าปล่อยให้เขาอยู่ตรงนั้นคนเดียว
เมื่อหันหลังกลับไป ก็มีเสียงของมู่วี่สิงดังขึ้นมาจากข้าง ๆ
“มานี่สิ”
เวินจิ้งเงยหน้าขึ้น และสบเข้ากับสายตาอันแสนลึกซึ้งของมู่วี่สิง อารมณ์ที่แสดงผ่านออกมาทางแววตาช่างซับซ้อนเสียเหลือเกิน จนเธอไม่อาจเข้าใจได้
“ขอบคุณนะที่บอกให้ผมมาที่นี่” มู่วี่สิงกล่าวด้วยเสียงเข้ม
ไม่อย่างนั้น วันนี้จะต้องเกิดโศกนาฏกรรมขึ้นอีกครั้งอย่างแน่นอน
ฉีเซินจะต้องอาศัยจังหวะนี้ในการก่อความวุ่นวายขึ้นแน่นอน
“ฉันบังเอิญเห็นเข้าก็เท่านั้นเองค่ะ”
“คุณช่วยผมดูมู่ซือซือนะ ผมต้องไปแล้ว” มู่วี่สิงไม่ต้องการอยู่ที่นี่ต่อ
ในตอนนั้น ชายหนุ่มคนนั้นแผ่ซ่านออร่าที่ทำให้คนไม่กล้าเข้าใกล้ออกมา
เวินจิ้งกัดริมฝีปาก และพยักหน้าอย่างช้า ๆ
จนกระทั่งร่างของมู่วี่สิงหายวับไปจากสายตาของเธอโดยสมบูรณ์ ความเจ็บปวดที่ยากจะอธิบายได้ก็เอ่อล้นจนท่วมท้นออกมาในทันที
ถ้าเขาทุกข์ใจ เธอเองก็ทุกข์ใจเช่นกัน
…….
ตอนบ่าย เมื่อเวินจิ้งส่งรายงานการผ่าตัดเมื่อวานนี้ที่จัดการเสร็จเรียบร้อย และช่วยไป๋สือจัดการกับการตรวจคนไข้แล้ว จึงเดินไปดูอาการของมู่ซือซือ
เธอฟื้นขึ้นมาแล้ว และส้งวี่กำลังนั่งอยู่ข้าง ๆ เธอ
สีหน้าของมู่ซือซือซีดเผือดอยู่เสมอ และมีท่าทางอ่อนเพลียมากเหลือเกิน
เมื่อเห็นเวินจิ้ง สีหน้าของเธอก็เพิกเฉยไม่แยแส
“พี่ชายของฉันอยู่ไหน” เธอถาม
“เขากลับไปแล้วล่ะ”
เมื่อได้ยินดังนั้น เห็นได้ชัดว่ามู่ซือซือรู้สึกผิดหวัง
“พี่ชายของฉันทำให้ฉันผิดหวังเสียแล้วเหรอ” เธอพึมพำบางอย่างออกมา
ส้งวี่ไม่ตอบอะไร มู่วี่สิงไม่มีทางไม่สนใจมู่ซือซือแน่นอน แต่ทว่าบางทีอาจเป็นเพราะรู้สึกห่วงมากเกินไป ดังนั้นจึงยิ่งทนไม่ได้ที่จะต้องมาเห็นสภาพของมู่ซือซือในตอนนี้
เมื่อแน่ใจแล้วว่าอาการของมู่ซือซือไม่ได้มีอะไรร้ายแรงนัก และส้งวี่ก็สามารถช่วยรักษาจิตใจให้กับมู่ซือซือได้ เวินจิ้งจึงไม่ได้อยู่ที่นั่นต่อ
หลังจากพิมพ์วีแชตบอกมู่วี่สิงแล้ว เธอจึงตัดสินใจกลับโรงเรียน
แต่ทว่าเมื่อกำลังจะเดินทางกลับ ก็พบกับหลินเวยเข้าโดยบังเอิญ
“เสี่ยวจิ้ง ลูกมาทำอะไรที่นี่”
“ปกติแล้ว ลูกฝึกงานอยู่ที่นี่งั้นเหรอ” หลินเวยนึกคิดมาได้อย่างฉับพลัน
เวินจิ้งพยักหน้า “ใช่ค่ะ แม่”
“เย็นนี้มีเรียนหรือเปล่า ถ้าไม่มี ไปดูอาการฉีเซินเป็นเพื่อนแม่ แล้วกินข้าวด้วยกันดีไหม”
“ได้ค่ะ”
ความจริงแล้ว เวินจิ้งอยากรู้ทัศนคติของฉีเซิน
มู่ซือซือก่อเรื่องวุ่นวายครั้งใหญ่ในวันนี้ เกรงว่าเขาคงจะไม่มีทางล้มเลิกการฟ้องร้องมู่ซือซือยิ่งกว่าเดิมสินะ
ร่างกายของฉีเซินดีขึ้นมากทีเดียว แต่ทว่าต้องพักรักษาตัวต่ออีกประมาณหนึ่งสัปดาห์ ถึงจะออกจากโรงพยาบาลได้
เมื่อหลินเวยกับเวินจิ้งขึ้นไปชั้นบน ฉีเซินก็กำลังคุยเรื่องการฟ้องร้องมู่ซือซือกับทนายของเขาอยู่พอดี
“ผมจะต้องทำให้ยายมู่ซือซือเข้าคุกให้ได้!”
ทั้งสองคนต่างได้ยินคำพูดที่เต็มไปด้วยความโกรธเคืองของฉีเซิน
เวินจิ้งตัวสั่นเล็กน้อย มันคือความกลัวที่สะท้านเข้าไปถึงกระดูก
เธอไม่ได้เข้าไป ยังคงยืนรออยู่ที่ด้านนอกพร้อมกับหลินเวย
“วันนี้มู่ซือซือมาที่นี่เหรอ” หลินเวยจึงรู้เรื่องราวเข้า
“อืม” น้ำเสียงของฉีเซินไม่แยแส
“เธอคลั่งไปแล้ว” หลินเวยถอนหายใจ
“ก็สมควร”
หลินเวยขมวดคิ้วเข้าหากัน ทันใดนั้น ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรออกมาดี
เมื่อหันหลังกลับไป กลับไม่เห็นเวินจิ้งเดินเข้ามา
ฉีเซินรับรู้ได้ถึงสายตาของหลินเวย จึงถามอย่างเย็นชาว่า “ใครมาครับ”
“เวินจิ้ง”
“ผมคิดถึงเธอ” น้ำเสียงของฉีเซินดูคลุมเครืออย่างชัดเจน
เวินจิ้งยืนอยู่ที่ระเบียงทางเดิน เสียงของฉีเซินไม่ดังมาก แต่ทว่าเธอก็ได้ยินอย่างชัดเจน
เธอรู้สึกหนาวสะท้านขึ้นมาในทันที
“พูดไร้สาระอะไรน่ะ”
“ไม่อย่างนั้น แม่จะคาดหวังให้หลิงอี้แต่งงานกับเธองั้นเหรอครับ” ฉีเซินกล่าวอย่างติดตลก
ตระกูลหลินต่างคอยวาดหวังให้เวินจิ้งแต่งงานกับหลิงอี้เสมอ
“แม่เคารพในการตัดสินใจของเสี่ยวจิ้งนะ”
“ถ้าเกิดเธอกลับมาแต่งงานกับมู่วี่สิงใหม่ล่ะ” ฉีเซินถามอย่างเย็นชา
อย่างที่คิดไว้ สีหน้าของหลินเวยไม่น่าดูเป็นอย่างมาก
“ตราบใดที่เธอชอบเขา” หลินเวยถอนหายใจ
ที่ด้านนอก เวินจิ้งหรี่ตาลง ดูเหมือนว่าทุกคนล้วนแต่คิดว่าเธอกับมู่วี่สิงจะกลับมาแต่งงานกันอีกครั้ง แต่ทว่าระหว่างพวกเขาทั้งสองคน จะเป็นแบบนั้นได้ไปได้อย่างไรกัน
หลังจากกินข้าวกับหลินเวยเสร็จ ก็เป็นเวลาดึกแล้ว เมื่อกลับมาถึงยังหอพัก เวินจิ้งกลับได้รับสายจากเกาเชียน
“คุณเวิน คุณสามารถมาที่บริษัทมู่ซื่อกรุ๊ปได้ไหมครับ”
“เกิดเรื่องอะไรขึ้นเหรอคะ” เวินจิ้งถามด้วยความตึงเครียด
เกาเชียนแทบจะไม่เคยโทรศัพท์มาหาเธอเลย เว้นเสียแต่ว่า…..จะเกิดเรื่องขึ้นกับมู่วี่สิง
เธอรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาเป็นอย่างมาก
“ประธานมู่ขังตัวเองอยู่ภายในห้องทำงาน ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถเข้าไปได้ ตอนนี้ก็ร่วมห้าชั่วโมงได้แล้วครับ”
เกาเชียนหมดหนทางแล้ว จึงตัดสินใจโทรศัพท์หาเวินจิ้ง
เมื่อได้ยินดังนั้น สีหน้าของเวินจิ้งก็ซีดเผือดทันที
เป็นเพราะห่วงมู่ซือซืออย่างนั้นหรือ
“คุณเวินครับ นอกจากเรื่องการงานที่ล่าช้าเป็นจำนวนมากแล้ว วันนี้ประธานมู่ยังไม่ได้ทานอะไรเลยสักคำ ผมเป็นห่วงว่า…….”
“ฉันรู้ค่ะ แต่ว่าคุณควรจะแจ้งคนในตระกูลมู่นะคะ” เวินจิ้งกล่าวอย่างเย็นชา
“คุณเป็นคนสำคัญที่สุดที่อยู่ข้างกายของประธานมู่ คุณเวินครับ มีเพียงแต่คุณเท่านั้นที่พอจะโน้มน้าวเขาได้” น้ำเสียงของเกาเชียนเป็นกังวลอย่างมาก
เขาทำงานอยู่เคียงข้างเจ้านายมานานตั้งขนาดนั้น ใครที่สามารถอยู่เคียงข้างประธานได้ เขาย่อมรู้ดีเป็นที่สุด
คนที่ใกล้ชิดกับมู่วี่สิงที่สุด มีเพียงแต่เวินจิ้งเท่านั้น
ณ บริษัทมู่ซื่อกรุ๊ป
เป็นเวลาค่ำแล้ว แต่ทว่าทั่วทั้งอาคารยังคงเปิดไฟสว่างไสวเหมือนเช่นเดิม
เนื่องจากเกาเชียนเรียกให้เธอมาที่นี่ก่อนหน้านี้ เวินจิ้งจึงขึ้นมาถึงชั้นบนสุดได้โดยไม่ถูกขัดขวางเลยแม้แต่น้อย
“คุณเวิน ในที่สุดคุณก็มาแล้ว”
เมื่อเห็นเวินจิ้ง เกาเชียนราวกับได้พบอัศวินขี่ม้าขาวโดยบังเอิญ
“เขายังไม่ออกมาอีกเหรอคะ” เวินจิ้งขมวดคิ้ว มองดูประตูห้องทำงานที่ยังคงปิดสนิท
เกาเชียนส่ายหัว “คุณเวิน ผมขอส่งต่อให้คุณนะครับ”
เวินจิ้งยืนอยู่ที่หน้าประตู และรู้สึกลังเลเล็กน้อย
เกาเชียนกลับไปแล้ว จึงเหลือเธอยืนอยู่ที่นี่เพียงคนเดียวเท่านั้น
ภายในหัวปรากฏภาพของมู่วี่สิงในสภาพต่าง ๆ นานา เธอเป็นคนที่ปลอบโยนใครไม่เป็น
เมื่อมาถึงนี่แล้ว จะเปลี่ยนแปลงอะไรได้กันเล่า
หลังจากยืนแข็งทื่อที่หน้าประตูอยู่เป็นเวลานาน จนกระทั่งเดินไปหยุดที่หน้าประตูเข้า แต่ประตูกลับเปิดออกแล้ว
มู่วี่สิงคาดไม่ถึงว่าข้างนอกยังจะมีคนเหลืออยู่ ความตะลึงงันปรากฏขึ้นมาในแววตาของเขา จนเขาเกือบจะเดินชนเวินจิ้งเข้า
สายตาของทั้งสองคนสอดประสานสบเข้าหากันภายในวินาทีนั้น