Flash Marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน - ตอนที่ 445
บทที่445 พยายามทำทุกวิถีทาง
“ในสมองของฉัน ทำไมถึงได้มีชิปอยู่…..”
“ตอนที่คุณเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ ฉีเซินได้จัดการหาแพทย์มาผ่าตัดให้คุณ ตำแหน่งของชิปถูกปิดบังไว้อย่างมิดชิด CTสแกนก็เห็นไม่ชัด ดังนั้นก่อนหน้านี้ผมก็เลยไม่สังเกตเห็น” น้ำเสียงของหมู่วี่สิงหงุดหงิดเล็กน้อย
ถ้า ถ้าเขาระแวดระวังสักหน่อย
อย่างนั้นตอนที่ทำการผ่าตัดสมองก็มีโอกาสจะนำชิปออกมา
ตอนนี้เพียงได้แต่ล่าช้าออกไปชั่วคราวเท่านั้น
“เป็นฝีมือของฉีเซินเหรอ” เวินจิ้งบ่นพึมพำ
“ถ้าดูแล้วตอนนี้ ก็ใช่ ผมไปที่เมือง B ก็เพื่อไปตามหาหมอที่ทำการผ่าตัดคุณในตอนนั้น แต่เขาหนีไปแล้ว” น้ำเสียงของมู่วี่สิงดูสงบลง
แต่ตอนนี้โจวเซินก็อยู่ที่เมืองB อย่างนั้นเขาก็นำเขาอยู่เพียงก้าวเดียว
เวินจิ้งนิ่งลง แต่ทำไมฉีเซินต้องทำแบบนี้ด้วย
เพราะเขาเกลียดเธอหรือ
หรือว่าใช้เธอข่มขู่มู่วี่สิง
เธอหัวเราะอย่างเยือกเย็น “ถ้าฉันไม่กินยา ฉันจะตายไหม”
มู่วี่สิงขมวดคิ้ว แล้วปิดปากเธอไว้ “อย่าพูดเหลวไหล ผมบอกแล้วว่าผมไม่ปล่อยให้คุณตายหรอก!”
เขาปั้นสีหน้า ดวงตาดำขวับ
แต่ในใจลึกๆ ไม่สามารถจะปล่อยวางได้เลย
น้ำตาของเวินจิ้งไหลแรงขึ้น
“ทำไมฉีเซินต้องทำแบบนี้…หรือว่าชิปนี้จะทำอันตรายอะไรกับสมองของฉัน”
อารมณ์ของเวินจิ้งค่อยๆเย็นลง ในเมื่อทุกอย่างเกิดขึ้นแล้ว เธอก็ได้แต่เผชิญหน้า
เธอต้องมีชีวิตต่อไป
“จิ้งจิ้ง” มู่วี่สิงหันหลังกลับ มองเธออย่างเปล่งประกาย
“ถ้าผมบอกว่า ผมไม่รู้”
ดังนั้น เขาจึงพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้พบกับหมอคนนั้น แม้ว่าตอนนี้จะสามารถกินยาเพื่อควบคุมได้ แต่เขาก็ยังไม่วางใจ
ในวันหนึ่งชิปนี้ที่อยู่ในสมองของเวินจิ้ง ก็สามารถระเบิดได้ตลอดเวลา
เวินจิ้งจับแขนเสื้อของมู่วี่สิงไว้แน่น และค่อยๆปล่อยออกอย่างช้าๆ
“ฉันคิดว่า ฉีเซินคิดจะใช้ฉันมาข่มขู่คุณรึเปล่า ข่มขู่ให้คุณเลิกฟ้องร้องเขา” เวินจิ้งกล่าวในทันที
มู่วี่สิงเม้มปาก และไม่ได้ปฏิเสธ
ฉีเซินเคยติดต่อให้เขาไปเยี่ยม เขาไม่ได้สนใจ
ดังนั้นเขาจึงติดต่อไปยังหลินเวย หลินเวยเป็นคนบอกเขาเกี่ยวกับเรื่องนี้
แต่ในที่สุด เขาเองที่เป็นคนส่งเขาเข้าคุก แม้กระทั่งตอนนี้เขาจะอยู่ในคุก เขาก็อยู่อย่างทรมาน
“งั้นคุณ ปฏิเสธไปแล้วสิ” เวินจิ้งพูดเบาๆ
“จิ้งจิ้ง คุณไม่คิดเหรอว่า หากผมนิ่งเฉยต่อความปลอดภัยของคุณ ผมคงจะถอนฟ้องฉีเซิน แล้วเขาจะเอาชิปออกให้คุณได้ยังไง เขาไม่ใช่หมอ!” น้ำเสียงของมู่วี่สิงเยือกเย็นมาก
คำพูดของเวินจิ้งเมื่อสักครู่ เขายังไม่เชื่อในตอนนี้
เวินจิ้งเริ่มตื่นตระหนก ความโกรธของมู่วี่สิงได้แสดงออกอย่างชัดเจน
เธอ…..เพียงแต่เพิ่งพูดโพล่งออกมา
สมองของเธอตอนนี้สับสนมาก และไม่รู้เลยว่าตัวเองกำลังพูดอะไรอยู่
มีเพียงความคิดเดียวก็คือ เธอต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป
“ผมขอโทษ” พักหนึ่ง มู่วี่สิงกอดเธอไว้แน่น เสียงของเขาต่ำมาก
สามคำนี้ บ่งบอกถึงความรู้สึกทั้งหมดได้มากมาย
เวินจิ้งลดตาลงและเช็ดน้ำตา กัดฟันแน่นต่อหน้ามู่วี่สิง ไม่ได้พูดอะไรอยู่สักพัก
คำพูดของเขายังคงติดอยู่ในหูของเธอ
อันที่จริงแล้ว ฉีเซินไม่ใช่หมอ เขาได้จัดการให้คนอื่นผ่าตัดให้เธอ ดังนั้นกุญแจสำคัญคือต้องหาหมอคนนั้นให้เจอ
“ฉันควรจะขอโทษ อารมณ์ของฉันตกใจเกินไป” เวินจิ้งนั่งตัวตรง พยายามเอามือออกจากมือของมู่วี่สิง มู่วี่สิงไม่ยอมปล่อยมือ
มู่วี่สิงกลับไม่ปล่อยมือ ค่อยๆดึงเข้ามา เวินจิ้งจึงถูกกอดอยู่ในอ้อมแขนเขาอีกครั้ง
คางของเขาเข้ามาค้ำอยู่บนศีรษะของเธอ ฝ่ามือที่ดูอบอุ่นกอดอยู่ที่ข้างหลังเธอ
“ผมจะไม่มีทางให้คุณเป็นอะไร” นี่คือคำสัญญาของเขา
เสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์ทำลายบรรยากาศที่เงียบสงบ มู่วี่สิงมองไปดูที่โทรศัพท์พบว่าเป็นคุณปู่
วันนี้เป็นวันหยุด ปกติแล้วต้องไปทานข้าวกันที่บ้านใหญ่
“คุณกลับไปเถอะ ฉันกลับบ้านเองได้” เวินจิ้งพูดเบาๆ
มู่วี่สิงขมวดคิ้ว สั่งให้คนขับรถออกรถ จุดหมายไปที่บ้านใหญ่ โดยที่ไม่ได้เปิดโอกาสให้เวินจิ้งลงจากรถ
“ตาฉันบวมหมดแล้ว ไม่เหมาะจะไปเจอคุณปู่หรอก” เวินจิ้งมองไปที่กระจก
“คุณปู่ไม่สนใจหรอก” มู่วี่สิงกล่าวอย่างหนักแน่น
“อื้ม”
“ถ้าไม่อยากไปจริงๆ ผมส่งคุณกลับไปที่ตระกูลก่อน” เขารู้ภายในใจของเงินจิ้ง มู่วี่สิงจึงไม่บังคับอีก
เวินจิ้งเริ่มใจอ่อนแล้ว จึงไม่ให้เขาพูดต่อ “ไปเถอะ ฉันก็ไม่ได้เจอรุณปู่นานแล้ว เขากลับมาหานานเฉิงตั้งแต่เมื่อไหร่”
“สัปดาห์ที่แล้ว”
“คุณมีเวลาอยู่กับเขาน้อยสินะ”
มู่วี่สิงเม้มปาก เขาคุ้นเคยกับการใช้ชีวิตที่ยุ่งวุ่นวายมานานแล้ว
“ดังนั้น คุณก็ช่วยผมอยู่เป็นเพื่อนเขาให้มากไป ฮื้ม” มู่วี่สิงยิ้มมุมปาก ดวงตาดูออดอ้อน
“ได้สิ ช่วงนี้ฉันหยุดอยู่คงมาได้บ่อยๆ ซือซือก็อยู่ด้วยรึเปล่า” เวินจิ้งถาม
ตอนนี้ความสัมพันธ์ระหว่างเธอและมู่ซือซืออ่อนโยนลงไปมาก แต่ก็เป็นเพราะมู่วี่สิง
“ช่วงนี้เขากำลังเตรียมสอบ และไปอยู่กับส้งวี่ ไม่ได้อยู่ที่บ้านใหญ่”
เวินจิ้งค่อนข้างประทับใจส้งวี่ ราวกับว่าเป็นหมอในใจของหมู่ซือซือ
แต่ความสัมพันธ์ของทั้งสอง เท่าที่เธอได้เห็นก็ใกล้ชิดสนิทสนมกันมาก
มาถึงบ้านใหญ่ มู่เฉิงอยู่ที่ห้องหนังสือ คนใช้ได้จัดเตรียมอาหารเย็นไว้แล้ว
วิลล่าทั้งหมดถูกปล่อยร้างมานาน มันเคยมีชีวิตชีวามาก่อน เวินจิ้งรู้สึกไม่ชินนิดหน่อย
รู้ว่าเวินจิ้งมาถึงแล้ว มู่เฉิงจึงลงมาพร้อมไม้เท้า
สุขภาพของคุณปู่ดูแย่ลงไปมาก มือที่ค้ำไม้เท้าก็สั่น เวินจิ้งจึงรีบเข้าไปประคองเขาทันที
“คุณปู่ สุขภาพช่วงนี้เป็นอย่างไรบ้างคะ” เวินจิ้งถามด้วยความกังวล
“แก่แล้ว ก็อย่างนั้นแหละ” จิตใจของหมู่เฉิงไม่ค่อยจะดี
เวินจิ้งมองไปที่มู่วี่สิง ทำไมรู้สึกว่าสองคนนี้ดูแปลกๆ
มู่เฉิงนั่งอยู่ที่ตำแหน่งประธาน มู่วี่สิงและเวินจิ้งนั่งอยู่ด้านเดียวกัน
อาหารของมู่เฉิงที่ทำขึ้นมีรสชาติจืดทั้งหมด เวินจิ้งคอยดูแลมู่เฉิง แต่ดวงตาที่แดงก่ำของเธอได้ถูกหมู่เฉิงสังเกตเห็นแล้ว
“เวินจิ้ง หลานของฉันรังแกอะไรเธอรึเปล่า” ดวงตาที่คมชัดของมู่เฉิงมองไปยังมู่วี่สิง และเริ่มไม่พอใจ
“คุณปู่ ไม่มีค่ะ” เวินจิ้งลดตาลงแล้วส่ายหน้า
“บอกปู่มา หรือว่าช่วงนี้เจ้าเด็กคนนี้ไม่ฟังคำของฉันแล้ว ฉันมันก็แค่คนแก่ที่เป็นหม้ายคนหนึ่ง นับวันยิ่งไม่มีตำแหน่งอะไรแล้ว” มู่เฉิงถอนหายใจ
เวินจิ้งนิ่งไปครู่หนึ่ง ตอนนี้แน่ใจมากว่าทั้งสองต้องมีอะไรขัดเคืองกัน
มู่วี่สิงไม่ได้พูดอะไร สีหน้ายังคงเคร่งขรึมและกินข้าวต่อไป
เวินจิ้งได้แต่พูดออกไปอย่างเด็ดขาด “คุณปู่ มู่วี่สิงไม่ได้รังแกฉันพวกเราตอนนี้ดีมากๆ”
“โอ้ แต่งงานใหม่แล้วเหรอ” ในที่สุดสีหน้าของมู่เฉิงก็ดูสดใสขึ้นมา
“คุณปู่ ถ้าแต่งงานใหม่แล้วก็ต้องบอกคุณปู่แล้วสิ” มู่วี่สิงพูดอย่างเฉยเมย
“ฮึ ฉันไม่ได้อยากคุยกับแก!” มู่เฉิงตอบเหมือนเด็กน้อย
เวินจิ้งอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ แต่กลับรับรู้ได้ถึงสายตาอันเยือกเย็นของมู่วี่สิง
มู่วี่สิงก็ยังคงไม่ได้พูดอะไรต่อไป แต่กลับคอยดูแลเวินจิ้ง และช่วยเธอคีบอาหารที่เธอชอบกินให้เธอ
อารมณ์ของเวินจิ้งค่อยๆดีขึ้นมา
ในตอนเย็นมู่เฉิงต้องการรั้งเธอไว้ แต่เวินจิ้งต้องการจะกลับไปตระกูลหลิน แต่ทางคุณปู่ยากที่จะปฏิเสธการเชื้อเชิญ
“พาว่าที่หลานสะใภ้ของฉันไปส่งกลับบ้าน แล้วไม่ต้องกลับมาหาฉันอีก” มู่เฉิงโบกมือให้ด้วยความผิดหวังและพูดอย่างออกคำสั่ง
เวินจิ้งสัญญากับเขา “คุณปู่ ถ้ามีเวลาฉันจะมาหาคุณ”
ตลอดทางที่ออกมาจากบ้านใหญ่ มือทั้งสองของหมู่วี่สิงล้วงอยู่ในกระเป๋า ดูเยือกเย็นมาก ท่าทางของเขาเปล่งออร่าที่ไม่มีใครเข้าถึงได้
เวินจิ้งอดไม่ได้ที่จะถามออกไป “คุณกับคุณปู่เกิดอะไรขึ้นเหรอ”