Flash Marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน - ตอนที่ 501
บทที่ 501 อนาคต อาจจะกลับมา
เวินจิ้งรีบรับสายทันที “โจวหย่านเป็นอย่างไรบ้าง?”
“จิ้งจิ้ง คุณเป็นห่วงโจวหย่าน หรือเป็นห่วงผม?” มู่วี่สิงกล่าวด้วยน้ำเสียงสัพยอก
“ต้องห่วงคุณสิ!”
“อาการไม่ค่อยสู้ดีนัก การรักษาด้วยการผ่าตัดมีความเสี่ยงสูง แต่การรักษาด้วยยาก็แทบจะไม่เห็นผลเลย”
“งั้นคุณจะรักษาเธอด้วยการผ่าตัดเหรอ?” เวินจิ้งถามด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง
ในฐานะคนที่เป็นหมอเหมือนกัน เวลารักษาคนไข้แทบจะไม่ได้คิดถึงฐานะของคนไข้เลย
หล่อนเองก็ไม่ได้หวังให้มู่วี่สิงเห็นคนจะตายแล้วไม่ช่วย
“ตอนนี้ฉันไม่ได้เป็นหมอแล้ว ถ้าจะให้ฉันลงมือผ่าตัดล่ะก็ โรงพยาบาลก็ต้องคืนตำแหน่งให้ฉัน
“มู่วี่สิง คุณอาศัยบารมีของตระกูลโจวคืนตำแหน่งให้ตัวเอง” เวินจิ้งเอ่ยอย่างคาดเดา
หากว่ามู่วี่สิงดึงดันที่จะรั้งตำแหน่งเอาไว้ แผนเล่นงานของมู่เฉิงย่อมไม่ใช่ปัญหาอะไร
เพียงแต่ ตอนนี้ต้องทำให้มู่เฉิงคลายความระแวงลง
ดังนั้นตอนที่เลี่ยวหยงเอ่ยเรื่องการรักษาโจวหย่านกับเขา เขาจึงไม่ปฏิเสธเลยสักคำ
“เรื่องคืนตำแหน่งก็เรื่องหนึ่ง ถ้าผมไม่ตอบโต้บ้าง เกรงว่าคุณปู่คงจะลืมว่า ตอนนี้ใครเป็นคนกุมอำนาจ” น้ำเสียงของมู่วี่สิงทุ้มต่ำลงหลายส่วน
เวินจิ้งนิ่งอึ้ง มู่วี่สิงในยามนี้ทำให้หล่อนรู้สึกห่างเหินเหมือนไม่เคยรู้จักกันขึ้นมาในทันใด
หล่อนมองมู่วี่สิงในฐานะหมอมาโดยตลอด ทว่ากลับลืมไปเสียสนิทว่า เขาเองก็เป็นถึงท่านประธานของบริษัทมู่ซื่อกรุ๊ปที่มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่ว
หลังจากวางสาย เวินจิ้งก็ล้มตัวลงนอนบนเตียง ในสมองก็ผุดเรื่องที่คุยกับหลินเวยเมื่อสักครู่ขึ้นมา
ถ้ากลับไปที่มหาวิทยาลัยหลินไห่ หล่อนก็ไม่แน่ใจแม้กระทั่งว่าจะมีอาจารย์ท่านใดยอมสอนหล่อนต่อหรือไม่ ถ้าไม่มี หล่อนก็ไม่อยากให้มู่วี่สิงใช้สายสัมพันธ์มาช่วยเหลืออีก
พลิกไปพลิกมาอยู่เช่นนั้น เวินจิ้งเลยไม่ได้หลับเลยทั้งคืน พอเช้าวันถัดมาก็รีบไปพบศาสตราจารย์ไป๋ทันที
เพราะพักอยู่ในโครงการเดียวกัน เวินจิ้งเลยมาถึงอย่างรวดเร็ว ที่เปิดประตูต้อนรับคือ·คนรับใช้
“คุณเหวิน คุณท่านรอคุณอยู่ที่ห้องสมุด”
เวินจิ้งพยักหน้าตอบ ฝีเท้าพลันย่างลงอย่างหนักแน่น
ถึงแม้จะเพิ่งรู้จักศาสตราจารย์ไป๋มาได้เพียงครึ่งปี แต่หล่อนก็รู้สึกชอบเรียนกับไป๋สือจริง ๆ ไม่ว่าความสามารถหรือระดับมาตรฐาน ไป๋สือก็คือศาสตราจารย์ที่ยอดเยี่ยมที่สุด อีกทั้งยังมีเมตตาอารีต่อผู้คน ไม่เคยวางท่าเลยสักนิด
“ศาสตราจารย์” ครั้นเดินเข้าไปในห้องสมุด เวินจิ้งก็พลันสะอึกสะอื้น
เห็นได้ชัดว่าตอนมาก็ยังควบคุมอารมณ์ได้ดี แต่พอได้พบไป๋สือ น้ำตาก็ไหลพรั่งพรูออกมาอย่างควบคุมไม่ได้ราวกับทำนบพังเช่นนั้น
ไป๋สือทอดถอนใจ ก่อนจะตบที่ตำแหน่งข้างกาย
เดิมทีการตัดสินใจเกษียณก่อนกำหนดนี้อยู่ในแผนมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว เพียงแต่เพราะต้องการตอบแทนน้ำใจของมู่วี่สิง ก็เลยรับเวินจิ้งคนนี้เป็นลูกศิษย์ ทว่าไม่คิดว่าจะมีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้นมากมาย ในเมื่อเวินจิ้งเปลี่ยนที่เรียน เขาก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องอยู่ต่อแล้ว
“เวินจิ้งเอ๊ย ตัดอาลัยจากศาสตราจารย์ไม่ได้หรือ?”
“แน่สิคะ ศาสตราจารย์เป็นอาจารย์ที่ดีที่สุด ศาสตราจารย์จะเป็นศาสตราจารย์ที่หนูเคารพนับถือที่สุดตลอดไป” เวินจิ้งสูดน้ำมูกสะอึกสะอื้น
วิชาความรู้ที่ไป๋สือถ่ายทอดให้แก่หล่อน ใช้ได้ทั้งชีวิต
“หนูเป็นลูกศิษย์ที่ฉลาดและกระตือรือร้นที่สุดที่ศาสตราจารย์เคยสอนมา ศาสตราจารย์เองก็ตัดอาลัยไม่ลงเหมือนกัน เพียงแต่กฎระเบียบของมหาวิทยาลัยหลินไห่ นับวันยิ่งทำให้ศาสตราจารย์รู้สึกรับไม่ได้ พอรู้ว่าหนูถูกไล่ออกโดยไร้สาเหตุ ครั้งนี้ศาสตราจารย์โมโหเลยไม่ทำมันแล้ว…” ไป๋สือทอดถอนใจ
ถึงแม้จะรู้ว่าตอนนี้เวินจิ้งสามารถกลับไปเรียนต่อได้แล้ว แต่เขาไม่อยู่แล้ว เกรงว่าก็คงไม่ยอมรับไม้ต่อจากศาสตราจารย์ของหล่อน
ไป๋สือรู้สึกผิดอยู่บ้าง
“ศาสตราจารย์ หนูเข้าใจค่ะ หนูเองก็ไม่แน่ว่าจะกลับไปเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยหลินไห่ ครั้งนี้ที่มาหา ก็แค่มาเยี่ยมศาสตราจารย์เท่านั้นเองค่ะ”
“แม่หนู เธอช่างใส่ใจนัก ถึงอย่างไรก่อนหน้านี้ตอนที่หนูเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยหนานเฉิงก็มีเรื่องแปดเปื้อนมลทินอยู่แล้ว ถึงแม้จะพิสูจน์ความบริสุทธิ์ล้างมลทินได้ แต่ทางมหาวิทยาลัยก็ยังคงตื่นตัวกับเรื่องนี้อยู่ดี ถ้าหนูยังอยู่ในประเทศต่อไปเกรงว่าสถานะของหนูคงจะไม่ดีไปกว่านี้เสียเท่าไร หากไปอยู่ต่างประเทศล่ะก็ อาจจะมีตัวเลือกที่ดีกว่าก็เป็นได้”
“หนูเข้าใจค่ะ ตอนนี้หนูก็คิดอย่างนี้เหมือนกันค่ะ” เวินจิ้งกล่าวอย่างเสียไม่ได้
“แต่หนูกับเจ้าหนุ่มวี่สิงนั่น ก็ต้องแยกจากกันน่ะสิ ตอนนี้มีแผนว่าจะแต่งงานใหม่กันไหม?” ไป๋สือถามไถ่อย่างห่วงใย
“เรื่องแต่งงานใหม่คงต้องเลื่อนออกไปก่อน ตอนนี้การเรียนคือเรื่องที่สำคัญที่สุดของหนู”
“เจ้าหนุ่มวี่สิงนั่นก็ลำบากไม่น้อย ตอนนี้ต้องมารับภาระดูแลบริษัทมู่ซื่อกรุ๊ป ครั้นจะกลับไปเป็นหมอ ก็คงไม่ง่าย ช่วงเวลาหนุ่มสาวของพวกเธอยังเหลืออีกมาก ไม่ต้องรีบหรอก…”
อยู่คุยเป็นเพื่อนศาสตราจารย์ไป๋ทั้งเช้า ศาสตราจารย์เลยรั้งเวินจิ้งให้อยู่รับประทานมื้อเที่ยงด้วยกัน
พอมู่วี่สิงรู้ เลยมาหาเช่นกัน
ทว่าคนที่มาด้วยกันยังมีไป๋ลู่ที่เพิ่งกลับมาด้วย
ช่วงนี้มู่เหิงถูกทำทัณฑ์บน อารมณ์ของไป๋ลู่เลยไม่ค่อยดีเสียเท่าไร
“ที่บ้านไม่ได้คึกคักเช่นนี้มานานแล้ว” ไป๋สือดีใจมาก ทุกคนปักหลักอยู่ในห้องอาหาร ไป๋สือยังเปิดไวน์แกล้ม
มู่วี่สิงก็มิได้ขัดศรัทธาของไป๋สือ ดื่มเป็นเพื่อนไป๋สือเล็กน้อย ทั้งสองพูดคุยเรื่องโรงพยาบาลและมหาวิทยาลัย เวินจิ้งเองก็รู้เรื่องที่ทำให้มู่วี่สิงลำบากใจช่วงฝึกงานไม่น้อย
ถึงแม้ คุณหมอมู่ จะปราดเปรื่องมีพรสวรรค์ แต่เพิ่งจะเคยเข้าร่วมผ่าตัดของจริงในโรงพยาบาล เป็นเพราะชอบครุ่นคิดและขี้สงสัย เลยถามปัญหาเชิงลึกหลายข้อกับศาสตราจารย์ไปไม่น้อย ถึงกับมีช่วงหนึ่งที่มีแต่ไป๋สือเท่านั้นที่ยอมสอนเขา
มู่วี่สิงก้าวหน้าไวมาก เข้ามาอยู่ที่โรงพยาบาลได้ไม่ถึงปีก็สามารถผ่าตัดคนเดียวได้แล้ว นับเป็นแพทย์ผู้อำนวยการที่เติบโตเร็วที่สุดในโรงพยาบาล ทั้งยังอายุน้อยที่สุดอีกด้วย
อายุยี่สิบห้าก็เรียนจบดอกเตอร์แล้ว ประวัติย่อของมู่วี่สิงช่างแพรวพราวเหลือเกิน
ทว่าตอนนี้มู่วี่สิงกลับเลือกที่จะรับช่วงต่อดูแลกิจการตระกูล ถึงอย่างไรไป๋สือก็รู้สึกเสียดายมาก
“เจ้าหนุ่ม อนาคตไม่คิดจะกลับมาทำงานโรงพยาบาลแล้วหรือ?” ไป๋สือดื่มจนเริ่มเมาได้ที่ แต่มีคนอยู่เป็นเพื่อน เขารู้สึกสมใจมาก
“อนาคต อาจจะกลับมาครับ” มู่วี่สิงกล่าวด้วยน้ำเสียงแข็งขัน
อาชีพนี้ เขาไม่เคยนึกตัดใจได้มาก่อน
ถึงอย่างไรเขาก็มีอุดมการณ์ของตัวเอง
“งั้นก็ดี งั้นก็ดี”
ไป๋สือดื่มจนฟุบหลับไปถึงยอมปล่อยให้มู่วี่สิงลาจาก ไป๋ลู่ พยุงผู้เป็นพ่อกลับห้อง เห็นทั้งสองกำลังจะไป เลยกล่าวด้วยมารยาท “วันนี้ขอบคุณพวกเธอมากนะที่อยู่เป็นเพื่อนคุณพ่อ ที่บ้านไม่ได้คึกคักเช่นนี้มานานแล้ว”
เวินจิ้งเผยยิ้ม “ฉันเคยรับปากศาสตราจารย์ไป๋เอาไว้ ว่าต่อไปถ้ามีเวลาจะมาเยี่ยมท่านบ่อย ๆ ท่านเป็นอาจารย์ของฉัน และก็เป็นบุคคลที่ฉันเคารพรักที่สุดด้วย”
พอออกจากบ้านมา บรรยากาศอันอบอุ่นเมื่อครู่ก็พลันมลายหายไป หัวใจของเวินจิ้งเต็มไปด้วยความรู้สึกเคว้งคว้าง
“ฉันจะกลับ ตระกูลหลิน” เวินจิ้งไม่ยอมขึ้นรถ
ตอนนี้หล่อนอยากอยู่คนเดียว
ทว่ามู่วี่สิงกลับจับมือของหล่อนไว้ ก่อนจะพาหล่อนขึ้นรถโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง
“จิ้งจิ้ง เรื่องศาสตราจารย์ไป๋ลาออก ผมเองก็นึกไม่ถึงเหมือนกัน” มู่วี่สิงกล่าวเสียงต่ำ
เวินจิ้งนิ่งเงียบ ไม่ส่งเสียงใด ๆ
อิงแอบอยู่ในอ้อมอกของมู่วี่สิง ตอนนี้หล่อนเห็นหนทางข้างหน้าพร่ามัวไปหมด
“ขอบคุณสำหรับเรื่องที่ผ่านมานะ ขอบคุณที่ทำให้ฉันได้รู้จักกับอาจารย์ดี ๆ อย่างศาสตราจารย์ไป๋” เวินจิ้งกล่าวขอบคุณด้วยใจจริง
เป็นเพราะมู่วี่สิง หล่อนถึงได้มีช่วงเวลาดี ๆ เช่นนี้
“การเกษียณก่อนกำหนดของไป๋สือเป็นความสูญเสียของมหาวิทยาลัยหลินไห่ แต่ศาสตราจารย์ตรากตรำมาหลายปีแล้ว พักบ้างก็ถือว่าสมควรแล้วล่ะ”
ในฐานะแพทย์ ทั้งยังเป็นศาสตราจารย์ในเวลาเดียวกัน ทุกวันของพวกเขาล้วนแต่ทุ่มเทสุดชีวิต
“ที่มหาวิทยาลัยหลินไห่ คุณมีศาสตราจารย์คนไหนที่อยากจะเรียนด้วยไหม?” มู่วี่สิงเอ่ยถาม
เวินจิ้งนิ่งเงียบ อันที่จริงก็ไม่มี
“ฉันอาจจะไม่เรียนที่มหาวิทยาลัยหลินไห่แล้ว” เวินจิ้งกล่าวอย่างหนักแน่น
แววตาของมู่วี่สิงเย็นเยียบลงหลายส่วน