Flash Marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน - ตอนที่ 58
บทที่ 58 สูญเสียการควบคุม
เวินจิ้งไม่สามารถมองไปที่มู่วี่สิงได้ เพราะมองไปทีไรเขาก็เอาแต่พูดว่า : “ผู้ติดตามตัวน้อยของฉัน”
มันน่าหงุดหงิดจริงๆ เธอเป็นแค่เลขาต่างหากล่ะ!
เลขา!
พอเสี้ยวหงเดินออกไป เวินจิ้งก็อาละวาดใส่เขาทันที
“มู่วี่สิง นี่นายตั้งใจใช่ไหม”
“ตั้งใจอะไร”
“ก็ตั้งใจมาแกล้งฉันไง”
“ฉันไม่ทำตัวเด็กเหมือนเธอหรอกน่า” มู่วี่สิงพูดยิ้มๆ
“นี่นายมาทำงานจริงๆหรอ” เวินจิ้งถามย้ำเพื่อความแน่ใจ
“ก็ไม่เชิง หรือเธอคิดว่าที่ฉันมาที่นี่ก็เพื่อที่จะมาคอยตามดูเธอล่ะ” มู่วี่สิงเลิกคิ้วถาม
เวินจิ้งเงียบ ไม่มีทางที่เธอจะคิดแบบนั้นอยู่แล้ว
แต่เธอไม่อยากให้เขามาที่นี่เลยจริงๆ
…
พอทานข้าวเสร็จ ก็มีคนขับรถมารับพวกเขาไปส่งที่ฐานวิจัย ตลอดทางมู่วี่สิงก็ก้มหน้าก้มตาดูรายงานไปด้วยอย่างจริงจัง
เวินจิ้งมองไปที่ใบหน้าของเขา เธอชอบเขาในตอนนี้จัง
จะว่าไปก็อิจฉาพยาบาลที่ได้ทำงานข้างๆเขาเหมือนกันนะ
ด้วยความที่ทางขึ้นเขานั้นเป็นหลุมเป็นบ่อเยอะมาก เลยทำให้ตัวของเธอนั้นเอนไปเอนมา
พอมู่วี่สิงเห็นอย่างนั้นก็เข้ามาโอบที่ไหล่ของเธอ จนทำให้หัวใจของเธอนั้นเต้นแปลกๆ
“ฉันไม่เป็นไร” เธอพูด พลางนั่งหลังตรง
แต่มู่วี่สิงไม่ยอมปล่อย และพูดเสียงดุๆว่า : “พิงมา”
“อืม” พอเวินจิ้งถูกเขาพูดเสียงดุๆใส่ เธอก็ไม่กล้าปฏิเสธ
ครึ่งชั่วโมงผ่านไป รถก็หยุดอยู่ที่ด้านหน้าตึกใหญ่ๆตึกนึง ทั้งสองลงจากรถโดยมีเจ้าหน้าที่คอยดูแลและพาชมอยู่
เวินจิ้งเดินอยู่ข้างๆมู่วี่สิง แต่หลังจากที่ขึ้นไปถึงชั้นที่สามเธอก็เริ่มเดินช้าลง แล้วพอเธอหันมาอีกทีก็ไม่เจอมู่วี่สิงแล้ว
“หมอมู่… “ เธอตะโกนเรียก แต่ก็ไม่มีใครตอบ
เธอกังวลนิดหน่อย ตึกนี้เป็นตึกที่พึ่งจะซ่อมเสร็จ ไม่ว่าเธอจะยืนอยู่ตรงไหนก็รู้สึกหนาวไปหมด อีกทั้งเดินไปตรงไหนก็มีแต่เสียงสะท้อน จนเธอรู้สึกกลัว
หลังจากเดินไปได้ไม่นาน เวินจิ้งก็เห็นประตูบานนึง เธอเลยเปิดประตูบานนั้นแล้วเดินเข้าไปข้างใน แต่ทันใดนั้นเอง ประตูที่เปิดอยู่มันก็ปิดลงเองจนเธอออกไปไม่ได้!
เธอหน้าซีด ในห้องๆนั้นมีแต่เครื่องมือทางเคมีเต็มไปหมด และกลิ่นของพวกมันก็แรงมากจนเธอต้องสำลักออกมา
เธอหยิบหน้ากากอนามัยที่อยู่ข้างๆมาใส่ หลังจากนั้นก็เดินไปเปิดหน้าต่าง แต่หน้าต่างพวกนั้นกลับถูกล็อคเอาไว้หมด
เธอได้แต่กลั้นหายใจ พร้อมกับความรู้สึกที่เบลอมากขึ้นเรื่อยๆ…
…
ที่ชั้นหนึ่ง ฉืออี้เหิงที่พึ่งจะขึ้นลิฟต์มา ก็กำลังจะเข้ามาสมทบกับมู่วี่สิง
แต่พอประตูลิฟต์เปิดออก เขาก็สังเกตเห็นว่าบริเวณหน้าจอนั้นมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้น อีกอย่างเขาเป็นคนควบคุมการสร้างที่นี่เอง เขาจึงรู้ดีว่ามีบางอย่างผิดปกติ
มีคนเข้าไปที่ห้องทดลองนั่นแน่ๆ!
เขารีบเปิดกล้องวงจรปิดดู พอเห็นร่างของเวินจิ้งนอนอยู่ เขาก็รีบวิ่งไปที่ห้องนั้นทันที
หนาว… หนาวเหลือเกิน
เวินจิ้งกอดตัวเองไว้ด้วยความหนาว พอเธอได้ยินเสียงฝีเท้าวิ่งเข้ามา เธอก็อยากจะลืมตาขึ้นมามอง แต่ตาของเธอนั้นกลับหนักอึ้ง
“จิ้ง!” ฉืออี้เหิงรีบถอดเสื้อนอกมาคลุมตัวเธอไว้ แล้วรีบอุ้มเธอออกมาจากห้องนั้น
เวินจิ้งขมวดคิ้ว มีคนมาช่วยเธอแล้วงั้นเหรอ
ใช่มู่วี่สิงหรือเปล่านะ…
“หมอมู่” เธอพึมพำแล้วคว้าเสื้อของเขาไว้โดยไม่รู้ตัว
พอได้ยินอย่างนั้น เท้าของฉืออี้เหิงก็แข็งทื่อ สีหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นเยือกเย็นขึ้นมาทันที
ทันใดนั้น มู่วี่สิงที่ตามมาพอดี พอเขาเห็นว่าฉืออี้เหิงอุ้มเวินจิ้งอยู่ เขาก็ก้าวเท้าเข้ามา
“ขอบคุณที่ช่วยชีวิตภรรยาของผมไว้นะครับ หัวหน้าฉือ”
พูดจบ เขาก็ยื่นมือออกมา
ฉืออี้เหิงเม้มปาก อุ้มเวินจิ้งอยู่ไม่ยอมปล่อย แต่ร่างของคนที่อยู่ในอ้อมกอดของเขานั้นเอาแต่พึมพำเรียกมู่วี่สิง : “มู่วี่สิง ฉันหนาว”
เสียงนั้น… ทำให้เขาต้องยอมปล่อยมือออกจากตัวของเธอ
มู่วี่สิงรับตัวเธอมา พร้อมกับมองเธอด้วยสีหน้ากังวลใจ
…
ณ โรงพยาบาล
เวินจิ้งถูกส่งเข้าห้องฉุกเฉิน ส่วนฉืออี้เหิงก็เดินเข้ามาขวางมู่วี่สิงไว้
“มู่วี่สิง ทำไมเธอถึงเข้าไปอยู่ในห้องทดลองนั่นคนเดียว! เธอไม่ได้เดินตามคุณไปหรือไง” ฉืออี้เหิงถามอย่างเกรี้ยวกราด
เคมีในห้องนั่นมันมีความผันผวนมาก ถ้าเกิดอะไรขึ้นมา มันอาจจะถึงแก่ชีวิตได้เลยนะ
ถ้าเขาเข้าไปช้ากว่านี้… ไม่อยากจะคิดถึงผลที่จะตามมาเลย
มู่วี่สิงมองเขาด้วยความรำคาญใจ
ห้องแต่ละห้องในอาคารนั้นล้วนถูกตั้งค่าให้ล็อคเองจากด้านนอกทั้งหมด ซึ่งคนข้างในจะไม่สามารถออกไปเองได้
เวินจิ้งเดินตามมู่วี่สิงไม่ทันสินะ ถึงเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น
“คุณไม่ได้รักเธอเลย มู่วี่สิง คุณไม่รู้หรอว่าเธอเป็นพวกหลงทางง่ายน่ะ” ฉืออี้เหิงพูดเสียงเย็น
มู่วี่สิงหรี่ตามอง : “ผมรักหรือไม่รักมันก็เรื่องของผม คุณเลิกยุ่งกับภรรยาของผมสักทีเถอะ เพราะคุณไม่สมควรที่จะทำแบบนี้”
“ผมไม่สมควรที่จะทำแบบนี้ แล้วคุณสมควรที่จะทำแบบนั้นเหรอ”
“หัวหน้าฉือ อีกสามวันคุณก็จะแต่งงานแล้วนะ หรือคุณอยากจะพังมันเองซะก่อน ผมไม่สนหรอกนะว่าชื่อเสียงของคุณจะเป็นยังไง แต่เวินจิ้งคือภรรยาของผม และผมก็ดูแลของผมเองได้”
ใช่แล้ว อีกสามวัน เขาก็จะต้องแต่งงานกับฉินเฟยแล้ว
แต่ดูเหมือนว่าเขาจะยังปล่อยเวินจิ้งไปไม่ได้สักที
สามปีหลังจากที่เขากลับมาจากประเทศ B เขาก็กลัวมาตลอดว่าเขาจะอดไม่ได้ที่จะตามหาเวินจิ้ง เขาได้แต่ควบคุมตัวเองมาโดยตลอด
แต่ดูเหมือนว่า ตอนนี้เขาจะสูญเสียการควบคุมไปแล้วจริงๆ
“คนที่เธอรักมาตลอดก็คือผม พวกเราคบกันมาสามปีแล้ว เธอเคยพูดว่าเธออยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีผม” ฉืออี้เหิงพูด
“นั่นมันเป็นอดีตที่เลวร้ายของเธอไปแล้ว ตอนนี้เธอโอเคแล้ว” มู่วี่สิงพูดเข้าประเด็น
ในขณะเดียวกัน ไฟในห้องฉุกเฉินก็ดับลง พร้อมกับเตียงของเวินจิ้งที่ถูกเข็นออกมา
“คนไข้พ้นขีดอันตรายแล้วครับ แต่ว่าเธอสูดเคมีในขนาดที่มากเกินไป อาจจะอีกนานครับกว่าเธอจะฟื้น”
มู่วี่สิงเดินเข้าไปที่ห้องพักฟื้น เขามองใบหน้าที่ซีดเผือดของเวินจิ้งด้วยอาการสั่นเทา
เขาพยายามที่จะสงบสติอารมณ์ และทำใจให้นิ่ง
ไม่มีใครรู้ว่าหนึ่งชั่วโมงก่อนหน้าร่างที่เขาอุ้มอยู่บนแขนนั้นเย็นมากแค่ไหน และมันทำให้เขารู้สึกกลัวมากขนาดไหน
“จิ้งจิ้ง” เขาพูดกับเธอ
เวินจิ้งนิ่ง ใบหน้าที่สวยงามของเธอนั้นยังคงมีเสน่ห์แต่ไร้ซึ่งชีวิตชีวา
…
ฉืออี้เหิงยืนอยู่หน้าประตูกำมือแน่น ความรู้สึกลึกๆของเขาค่อยๆเผยออกมา
ขณะเดียวกับ ลิฟต์ที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลก็ถูกเปิดออกพร้อมกับร่างของฉินเฟยที่รีบเดินตรงเข้ามาหาเขา
ที่จริงเธอก่ะจะมาเซอร์ไพรส์ฉืออี้เหิง แต่พอมาถึงเธอโทรหาเขากี่ครั้งก็โทรไม่ติด เธอก็เลยโทรหาเลขาของเขาแทน ถึงจะรู้เรื่องที่เวินจิ้งเข้าโรงพยาบาล แล้วคนที่ช่วยเธอเอาไว้ก็คือฉืออี้เหิง!!
“อาเหิง” เธอเดินเข้ามาจับมือของฉืออี้เหิง
มือของเขาเย็บเฉียบและสั่นเทา
เธอรู้สึกได้เลยว่าเขาเป็นกังวลกับเรื่องเวินจิ้งมาก
“พวกเรากลับกันเถอะ เธอไม่เป็นไรแล้วแหละ” ฉินเฟยพยายามลากเขาเดินออกไป
ฉืออี้เหิงได้แต่มองเวินจิ้ง แล้วค่อยๆหันตัวกลับไป
พอออกมาจากโรงพยาบาลแล้ว ฉินเฟยก็ปล่อยมือเขา
“ฉืออี้เหิง นี่มันอะไรกัน” ฉินเฟยถาม
“หมายถึงอะไร” ฉืออี้เหิงถามเสียงเรียบ
เวินจิ้งยังไม่ฟื้น จะให้เขาวางใจได้ยังไง
“คุณใช่ไหมที่ช่วยเธอออกมา ฉืออี้เหิง พวกคุณเลิกกันแล้วนี่ อีกอย่างคนที่อยู่ข้างคุณมาตลอดหลายปีนี้ก็คือฉันนะ เพราะงั้นคุณช่วยแคร์กันบ้างได้ไหม”
“แต่นี่มันเกี่ยวกับชีวิตคนนะเฟยเฟย จะให้ผมมองข้ามไปได้ยังไง” ฉืออี้เหิงอธิบาย
“แต่ตอนนี้เธอก็ปลอดภัยแล้วไง แล้วคุณยังจะห่วงอะไรอีก”
“ไม่มีอะไร ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับพวกเราแล้ว เฟยเฟย เรากลับกันเถอะ อย่าเสียงดังเลย” ฉืออี้เหิงจับมือเธอขึ้นรถ
ฉินเฟยสะบัดมือออกจากเขา : “ฉันเปล่าเสียงดังซะหน่อย ฉืออี้เหิง ฉันไม่ใช่ของเล่นของคุณนะ หลายปีมานี้คุณรักฉันบ้างไหม ถามจริง”
เธอมองเข้าไปในตาของเขา แต่กลับไม่ได้อะไรเลย
ยิ่งเวลาผ่านไป เธอก็ยิ่งคาดเดาเขายากขึ้น
“ผมรักคุณนะเฟยเฟย คุณเลิกสงสัยในตัวผมเถอะ” ฉืออี้เหิงพูด พร้อมกับจูบที่หัวของเธอเบาๆ
แต่ในขณะที่เขาจูบเธอนั้น ใจของเขากลับไม่ได้อยู่ที่เธอเลยแม้แต่นิดเดียว