Flash Marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน - ตอนที่ 591
บทที่ 591 โชว์รักกันหวานชื่น
ผ่านไปพักใหญ่ สีหน้าของมู่วี่สิงก็เริ่มอึมครึม
เขาเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ รังสีที่แผ่ออกมาทั่วตัวยิ่งดูน่าเกรงกลัวยิ่งกว่าเดิม
เกาเชียนยืนอยู่ข้างๆ ด้วยสีหน้าเคร่งขรึมเช่นเดียวกัน
“ประธานมู่ ผมเชื่อว่าคุณเวินไม่มีความผิดครับ”
สีหน้าของมู่วี่สิงเรียบนิ่ง ไม่อาจมองเห็นอารมณ์ใดๆบนสีหน้าได้เลย
“แจ้งทนาย” ผ่านไปพักใหญ่ เขาถึงได้เอ่ยพูดออกมานิ่งๆ และในตอนนี้น้ำเสียงของเขาก็เริ่มสงบลงเยอะแล้ว
ในตอนนี้เองที่เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นมา เป็นสายของมู่เฉิงที่โทรมาจากประเทศC
“วี่สิง แกจะแต่งงานกับโจวหย่านเมื่อไหร่? ฉันเห็นข่าวพวกนั้นหมดแล้วนะ”
“คุณปู่ครับ มันไม่ใช่ข่าวจริงนะครับ” มู่วี่สิงอธิบาย
“ฉันไม่สน ตอนนี้เรื่องมันใหญ่ถึงขนาดคนเขารู้กันทั่วทั้งเมืองแล้ว โจวหย่านกำลังป่วยหนัก ถ้าแกสลัดเธอทิ้ง สิ่งที่จะแปดเปื้อน ก็คือชื่อเสียงของบริษัทมู่ซื่อกรุ๊ปของเรา!”
ตอนนี้ทั้งเมืองเต็มไปด้วยข่าวที่มู่วี่สิงเฝ้าดูแลแฟนที่กำลังป่วยหนัก และถ้าหากจู่ๆถูกเปิดเผยออกไปว่าจริงๆแล้วมันเป็นแค่เรื่องเข้าใจผิด คงส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงของมู่วี่สิงแน่
ครั้งนี้ ตระกูลโจวขุดกับดักไว้ลึกมาก
“คุณปู่ครับ บริษัทมู่ซื่อกรุ๊ปจะไม่เป็นอะไร ปู่วางใจเถอะ” มู่วี่สิงพูดขึ้นมา จากนั้นก็วางสายโทรศัพท์ไปอย่างรวดเร็ว
แต่ว่าถึงแม้มู่วี่สิงจะปฏิเสธไปยังไง มู่เฉิงก็ยังร่วมมือกับโจวเซินประกาศเรื่องที่ทั้งสองตระกูลจะเกี่ยวดองกันภายในวันและเวลาเดียวกัน พร้อมกันนั้นสิทธิ์ผู้ถือหุ้นที่มีอยู่ในมือของมู่วี่สิงก็ถูกมู่เฉิงยึดคืนกลับมาชั่วคราว ขณะเดียวกันส้งวี่ก็ถูกให้ออกจากตำแหน่ง บริษัทมู่ซื่อกรุ๊ปจึงวุ่นวายไปทั้งบริษัท
เรื่องราวเหล่านี้ เวินจิ้งที่อยู่ประเทศFก็เพิ่งจะได้รับรู้หลังจากผ่านไปนานพอสมควร
ตอนที่เธอฟื้นขึ้นมาก็เป็นเวลาสามวันให้หลัง สิ่งที่ปรากฏเข้ามาในดวงตาล้วนแล้วแต่เป็นสภาพแวดล้อมที่แปลกตา การตกแต่งภายในห้องประณีตและงดงามมาก แต่เธอกลับรู้สึกไม่ค่อยชอบเท่าไหร่
เมื่อลุกขึ้นนั่ง เธอก็เปิดผ้าห่มออกอย่างงุนงง เสื้อผ้าบนตัวของเธอเป็นชุดใหม่ทั้งหมด ใครเป็นคนเปลี่ยนให้เธอ?
ในตอนนี้เอง ที่ร่างสูงโปร่งเดินเข้ามาจากหน้าประตู เมื่อช้อนตาขึ้นไปมอง ใบหน้าหล่อเหลาของโจวเซินก็ปรากฏสู่สายตา
“คุณมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง…..ฉัน….แล้วฉันอยู่ที่ไหน?” เธอเอ่ยถามอย่างหวาดระแวง
“ประเทศF ผมพาคุณมาเอง” โจวเซินพูดอย่างตรงไปตรงมา
“คุณหมายความว่ายังไง!” เวินจิ้งลุกขึ้นยืนอย่างฉับพลัน แต่เพราะร่างกายไม่มีแรง เธอเลยล้มลงไปนั่งบนเตียงอีกครั้ง
“โจวเซิน! คุณทำอะไรฉัน?”
“ผมไม่กล้าทำอะไรคุณหรอกน่า แต่ผมขอบอกคุณไว้ก่อนนะ อย่าคิดที่จะกลับไปที่เมืองหนานเฉิงอีก”
“มู่วี่สิงล่ะ?” เธอพึมพำ ไม่อยากต่อล้อต่อเถียงกับโจวเซินเลยสักนิด จากนั้นจึงเริ่มมองหาโทรศัพท์
ข้างๆมีโทรศัพท์วางอยู่ แต่เป็นเครื่องใหม่ ไม่ใช่เครื่องเดิมของเธอ
“อย่าเสียแรงเลยน่า ในเมื่อผมพาคุณหนีมาด้วยขนาดนี้แล้ว จะให้คุณติดต่อกับมู่วี่สิงได้ยังไง ไปอาบน้ำล้างหน้าไป ผมจะพาคุณไปโรงพยาบาล” พูดจบ คนรับใช้ก็ถือชุดใหม่เอี่ยมอ่องเข้ามาในห้องอย่างรวดเร็ว
เวินจิ้งนั่งนิ่งเป็นการต่อต้านโจวเซิน
“คุณไม่อยากเจอแม่คุณเหรอ?” โจวเซินกระตุกริมฝีปาก
“แม่ฉันอยู่ที่เมืองหนานเฉิง!” เวินจิ้งนิ่งไป ยังไม่ทันได้รู้ตัว
“ผมหมายถึงเจี่ยนอี”
“อะไรนะ?” เวินจิ้งเบิกตาโพลงขึ้นมาในทันที
เจี่ยนอี…….หลังจากที่เจี่ยนอีหายไปกับเวินโม่ เธอก็ลองติดต่อหาเจี่ยนอีอยู่เสมอ แต่ว่าไม่เคยได้รับข่าวคราวอะไรเลย
“ถ้าอยากเจอเธอก็มากับผม” โจวเซินพูดทิ้งท้ายเอาไว้อย่างเนิบนาบ
เวินจิ้งตัวแข็งทื่อ ในเวลานี้สมองประมวลผลอะไรไม่ได้เลย เหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันมันเกินขอบเขตที่เธอจะรับไหว
แต่เธอก็อยากเจอเจี่ยนอีจริงๆ
“โทรศัพท์ฉันล่ะ?” เมื่อโจวเซินกำลังจะออกไป เวินจิ้งก็เรียกเขาเอาไว้
“ทิ้งไปละ”
“นี่! โจวเซิน คุณต้องการอะไรกันแน่!” เวินจิ้งโมโหสุดๆ
แต่โจวเซินกลับไม่สะทกสะท้าน ทำเหมือนกำลังควบคุมเธออยู่อย่างไรอย่างนั้น
“ผมต้องการอะไรน่ะเหรอ?” เขากระตุกริมฝีปากขึ้นอย่างหยอกล้อ
“เวินจิ้ง ผมกำลังช่วยคุณอยู่นะ” เขาพูดทิ้งท้ายเอาไว้ด้วยถ้อยคำคลุมเครือ
เมื่อโจวเซินออกไป เวินจิ้งก็มองชุดกระโปรงที่วางอยู่ข้างๆ จากนั้นก็ขยี้ผมอย่างหงุดหงิด
“มู่วี่สิง คุณจะรู้ไหมนะว่าฉันอยู่ที่ประเทศF?” เธอพึมพำ
เมื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้วเดินออกมา เวินจิ้งถึงได้รู้ว่าตัวเองกำลังอาศัยอยู่ในคฤหาสน์แห่งหนึ่ง การตกแต่งดูเรียบง่ายด้วยโทนขาวดำ ทั่วทุกบริเวณต่างแสดงให้เห็นถึงรสนิยมชั้นดี
แต่เธอไม่ได้สนใจอะไรเลยสักนิด
เมื่อเข้ามานั่งในรถ ก็เห็นว่าโจวเซินกำลังนั่งทำหน้านิ่งอยู่ข้างๆ ผ่านไปพักใหญ่ เขาก็เปิดข่าวขึ้นมา แล้วยื่นมาตรงหน้าเธอ “นี่อะไร?”
เธอหลุบตาลงมอง ในตอนที่เห็นรูปสนิทชิดใกล้ของมู่วี่สิงกับโจวหย่าน ชั่วพริบตาไอเย็นๆก็แพร่กระจายไปทั้งร่างกาย
ในรูปนั้น ถึงแม้มู่วี่สิงจะหลับตาอยู่ แต่เขาก็ไม่ได้ใส่เสื้อ ทั้งยังกำลังจูบหน้าของโจวหย่านอยู่ด้วย
ไม่ว่าใครได้เห็นรูปนี้ ก็คงคิดแค่ว่าทั้งสองคนนี้กำลังโชว์รักกันหวานชื่น
เป็นไปได้ยังไง…..
เธอไม่เชื่อเด็ดขาด แต่กระนั้นก็ยังอดไม่ได้ที่จะเลื่อนอ่านดูเนื้อหาข่าวอย่างจริงจัง ตอนนี้ตระกูลมู่กับตระกูลโจวกำลังเตรียมจัดงานแต่งงานให้ทั้งสอง
แล้วเธอล่ะ?
น้ำตาพรั่งพรูออกมาอย่างตั้งตัวรับไม่ทัน เธอหันหน้าออกไปมองนอกหน้าต่าง ไม่อยากให้โจวเซินต้องมาเห็นสภาพอันน่าเวทนาของเธอ
แต่ก็หนีไม่พ้นสายตาของโจวเซิน
เขาเม้มริมฝีปาก แล้วเอ่ยพูดขึ้นว่า “มู่วี่สิงจะรับรักษาโจวหย่าน เพราะว่าตระกูลโจวได้ทำข้อตกลงกับคุณปู่มู่ไว้ตั้งแต่แรกแล้ว เธอต้องแต่งเข้าตระกูลมู่ตระกูลมู่ไม่เคยยอมรับคุณเลย เวินจิ้ง ผมไม่อยากเห็นคุณได้รับความไม่เป็นธรรม…..”
“คุณหุบปากไป!” เวินจิ้งปิดหู ไม่อยากฟังที่โจวเซินพูดมาเลยแม้แต่น้อย
“ได้ ผมจะหุบปาก อีกเดี๋ยวคุณก็เชื่อฟังที่เจี่ยนอีพูดด้วยล่ะ ผมไม่อยากให้คุณเสียใจทีหลัง”
“ฉันไม่เคยเสียใจ!” เวินจิ้งพูดเสียงโกรธๆ
“โจวเซิน ฉันไม่เชื่อคุณหรอก!” เวินจิ้งถลึงตาแดงๆมองมาที่เขา
เธอจะไปเชื่อผู้ชายที่เหมือนปีศาจคนนี้ได้ยังไง เขาเอาแต่ขู่เธอมาตลอด
บรรยากาศภายในรถหรูตึงเครียด โจวเซินไม่ได้พูดอะไรอีก เพียงแต่ว่าสีหน้าของเขาก็ยังดูมั่นใจมาตลอด
เมื่อมาถึงโรงพยาบาล เวินจิ้งก็เดินตามโจวเซินไปด้วยอารมณ์ที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก
แม่จะมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง……ในหัวของเธอมีคำถามมากมาย แต่ก็ทำได้แค่รอให้เจอเจี่ยนอีก่อนแล้วค่อยถามแล้วกัน
เมื่อประตูเปิดออก ฝีเท้าของเวินจิ้งก็แข็งค้าง พอนับวันเวลาดู ก็พบว่าเธอกับเจี่ยนอีไม่ได้พบกันมาตั้งปีหนึ่งแล้ว
เธอไม่เข้าใจ ทำไมแม่ถึงไม่ยอมติดต่อเธอมาเลย
แต่เธอก็ไม่ละความพยายามในการติดต่อเจี่ยนอี
“ผมจะรออยู่ข้างนอกนะ” โจวเซินช่วยเธอเปิดประตู แล้วยืนรออยู่ข้างนอก
เวินจิ้งกัดริมฝีปาก การก้าวเดินเริ่มสั่นเทิ้ม
ในวินาทีที่ได้เจอเจี่ยนอี น้ำตาของเวินจิ้งก็ไหลลงมาอีกครั้งอย่างไม่อาจควบคุมได้
หนึ่งปีมานี้ เธอคิดถึงเจี่ยนอีมากจริงๆ
“แม่——“ ส่งเสียงเรียกออกไป จากนั้นก็โถมตัวใส่อ้อมกอดของเธอ
“เด็กนี่ ร้องไห้ทำไม แม่แกยังไม่ตายสักหน่อย” เจี่ยนอียังคงมีนิสัยโผงผางเหมือนเดิม แต่เวินจิ้งกลับยิ่งร้องไห้หนักยิ่งกว่าเก่า
“แม่ ทำไมแม่เปลี่ยนเบอร์ แล้วก็ไม่มาหาฉันด้วย ฉันเป็นห่วงแม่มากเลยนะ…..”
“เฮ้อ” เจี่ยนอีถอนหายใจออกมา จากนั้นก็กอดลูกสาวเอาไว้อย่างรักใคร่ ความหงอยเหงาในดวงตายิ่งแพร่กระจายเป็นวงกว้าง
“แม่ผิดเองแหละ หนึ่งปีมานี้เกิดเรื่องขึ้นมากมาย แม่เลยไม่อยากไปรบกวนชีวิตแก”
“ไม่สักหน่อย ฉันยอมให้แม่รบกวนได้เต็มที่เลย” เวินจิ้งเช็ดจมูก มองเจี่ยนอีด้วยดวงตาแดงก่ำ
เมื่อเธอมองแม่ สีหน้าของเธอก็ขาวซีด เสียงพูดก็ไร้เรี่ยวแรง “แม่ แม่เป็นอะไรไป?”
เมื่อเวินจิ้งกุมมือแม่เอาไว้ ถึงได้พบว่าอุณหภูมิร่างกายของแม่เย็นมาก