Flash Marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน - ตอนที่ 599
บทที่ 599 ต่อให้ต้องบังคับ เธอก็ต้องเป็นของเขา
วันต่อมา ตอนเวินจิ้งตื่นขึ้นมาก็เป็นเวลาเกือบๆเที่ยง
เมื่อดูเวลา เธอก็รู้สึกหงุดหงิดเอามากๆ
เพราะในวันนี้ของทุกๆปี เธอจะไปไหว้เจี่ยนอีที่สุสานตั้งแต่เช้าๆตลอด
เมื่อลงมายังห้องรับแขก โจวเซินก็เตรียมของสำหรับไปไหว้ไว้แล้วเรียบร้อย บนโต๊ะอาหารก็มีอาหารเที่ยงวางอยู่เรียงราย และเขาก็ยังนั่งอยู่ตรงนั้น เพื่อรอเวินจิ้งมากินด้วยกัน
“กินข้าวเสร็จแล้วค่อยออกแล้วกัน”
“รบกวนคุณด้วยนะ” เวินจิ้งดึงริมฝีปากขึ้นเบาๆ
วินาทีนั้น โจวเซินคิดว่าเวินจิ้งยิ้มให้เขา ถึงจะเป็นแค่รอยยิ้มแค่บางๆ แต่เท่านี้เขาก็พอใจแล้ว
เมื่อกินข้าวเสร็จ โจวเซินอารมณ์ก็ดีมาก เวินจิ้งไม่ได้มองเขา เอาแต่ตอบคำถามของคนไข้ทางออนไลน์
“กินเนื้อเยอะๆหน่อย” คำพูดของโจวเซินทำให้เวินจิ้งเงยหน้าขึ้นมาทันที
ด้านโจวเซินก็ใช้ตะเกียบคีบเนื้อไก่มาวางไว้บนจานของเธอ
เวินจิ้งขมวดคิ้ว ไม่ได้แตะต้องเนื้อไก่ชิ้นนั้น แต่กลับคีบชิ้นอื่นมากินเอง
มาถึงสุสานก็เป็นเวลาบ่ายพอดี เวินจิ้งถือช่อดอกไม้ ส่วนโจวเซินยืนอยู่ข้างหลังเธอในระยะครึ่งเมตร
“แม่ ฉันมาเยี่ยม” เวินจิ้งหลุบตา จากนั้นก็ค่อยๆนั่งคุกเข่าลงอย่างช้าๆ
เมื่อมาอยู่ต่อหน้าแม่ เวินจิ้งก็ไม่สามารถปกปิดอารมณ์ความรู้สึกได้อีกต่อไป ชีวิตที่ต้องคอยสวมหน้ากากเอาไว้บนหน้า เธอรู้สึกอึดอัดเอามากๆ
แต่ตอนนี้ก็ค่อยๆรู้สึกว่า บางทีต่อจากนี้ไปตัวเองอาจจะเป็นแบบนี้ไปตลอดเลยก็ได้
“แม่ ฉันจะพยายามลืมมู่วี่สิงให้ได้” เธอพูดเสียงเบา
คำพูดก่อนจะจากไปของผู้เป็นแม่หลั่งไหลเข้ามาในหูของเธออีกครั้ง “ลูก ถ้าแกยังเห็นฉันเป็นแม่ แกห้ามกลับไปหามู่วี่สิงอีก ผู้ชายคนนั้น…..น่ากลัวเกินไป…….”
น้ำตาของเธอไหลอาบใบหน้าเล็กๆ ร้องไห้อย่างไร้เสียงสะอื้น
ทิชชูแผ่นหนึ่งถูกยื่นมาตรงหน้าเธอ เวินจิ้งรับมา จากนั้นก็เช็ดหน้าลวกๆ หันหน้าหนีเพื่อไม่ให้โจวเซินเห็นสภาพอันน่าเวทนาของเธอ เขาไม่ได้เข้าไปใกล้ วันนี้ของทุกๆปี เวินจิ้งก็จะปลดปล่อยอารมณ์ออกมาแบบนี้แหละ
เมื่อกลับมาถึงตระกูลโจว หลินเวยกับโจวเซิ่งก็กลับมาถึงตอนเย็นๆพอดี
เมื่อเวินจิ้งเข้าไปหาแม่ที่ห้อง ก็พบว่าหลินเวยกำลังอารมณ์ดีมาก ยกมือขึ้นไปหาเวินจิ้งแล้วพูดว่า “เสี่ยวจิ้ง มาหาแม่หน่อยสิ ช่วงนี้แม่ก็คิดแล้วคิดอีก อายุแกก็ไม่ใช่น้อยๆแล้ว อีกอย่างก็โสดมาหลายปี แม่เลยว่าจะแนะนำคู่ดูตัวให้แกสักคนสองคนเป็นไง?”
ได้ยินดังนั้น เวินจิ้งก็นิ่งอึ้ง คำพูดของหลินเวยเป็นอะไรที่เหนือความคาดหมายของเธอมาก
เธอไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้เลย………
“แม่ ฉันยังไม่อยาก…….” เวินจิ้งขมวดคิ้ว
แม้จะรู้มาว่าหลินเวยมักจะคอยเร่งรัดอยู่ตลอด แต่ว่าสามปีมานี้ เธอก็คิดว่าชีวิตของตัวเองในตอนนี้…..มันดีมากๆแล้ว
“เสี่ยวจิ้ง แกลองดูไม่ได้เหรอ? แม่ก็ไม่ได้บอกให้แกต้องแต่งงานเดี๋ยวนี้ แกค่อยๆศึกษาดูใจกับอีกฝ่ายก็ได้ ลองเปิดใจดูหน่อยเถอะนะ” หลินเวยพูดออกมาอย่างจริงใจและมีความหมาย
เวินจิ้งหลุบตาลง ไม่ได้ส่งเสียงอะไรออกมา
หลินเวยกำลังจะพูดอะไรต่อ แต่ในตอนนี้เอง ที่เสียงฝีเท้าจากหน้าประตูดังขึ้นมา เพราะประตูไม่ได้ปิด โจวเซินจึงได้ยินบทสนทนาของทั้งสองมาตั้งแต่แรก
บนใบหน้าของเขาไม่สามารถปกปิดความเยือกเย็นเอาไว้ได้เลย “แม่ เวินจิ้งคือคนของผม”
เมื่อคำพูดนี้ถูกปล่อยออกมา คนที่หน้าซีดเผือดไม่ได้มีแค่หลินเวย แต่ยังมีเวินจิ้งด้วย
“แกพูดอะไร…….”
“โจวเซิน คุณอย่าพูดอะไรไร้สาระนะ!” เวินจิ้งเริ่มโกรธ
ผู้ชายคนนี้มักจะพูดอะไรที่ทำให้คนเข้าใจผิดอยู่เรื่อย……
“แม่ครับ คนที่เวินจิ้งต้องแต่งงานด้วย ต้องเป็นผมเท่านั้น” โจวเซินเดินเข้ามา แล้วจับข้อมือของเวินจิ้งเอาไว้ จากนั้นก็กระชากเธอเข้ามาในอ้อมกอดอย่างเอาแต่ใจ
หลินเวยตกตะลึง เธอรู้มาตลอดว่าโจวเซินคิดยังไง แต่เขาก็ไม่เคยแสดงออกมาชัดเจนเหมือนตอนนี้
“เสี่ยวจิ้ง พวกแก…..” หลินเวยไม่ค่อยเชื่อโจวเซิน จึงหันไปถามเวินจิ้ง
“แม่ มันไม่มีอะไรเลยนะ โจวเซิน ฉันเห็นคุณเป็นแค่พี่ชายมาตลอด” เวินจิ้งพูดเสียงเย็น
ด้านโจวเซินกลับแสยะยิ้ม “พี่ชายงั้นเหรอ? เวินจิ้ง แต่ผมไม่เคยมองคุณเป็นน้องสาวเลยสักครั้ง”
“เหลวไหล!” ในตอนนี้เอง เสียงโกรธๆของโจวเซิ่งก็ดังขึ้นมาจากหน้าประตู
“เซิ่ง” หลินเวยขมวดคิ้ว จากนั้นก็จับแขนของโจวเซิ่งเอาไว้
โจวเซิ่งเดินเข้ามาใกล้ มองมาที่โจวเซินด้วยสายตาโกรธๆ แต่โจวเซินกลับยังคงมีท่าทางนิ่งเฉยเหมือนเดิม
“โจวเซิน ฉันจะไม่แต่งงานกับคุณ” เวินจิ้งพูดออกมาอย่างโมโห จากนั้นก็วิ่งออกไปจากห้อง
โจวเซินขมวดคิ้ว กำลังจะตามเธอไป แต่โจวเซิ่งก็ปิดประตูเอาไว้เสียก่อน
“ฉันได้สั่งสอนแก……ให้กลายมาเป็นลูกไม่รักดีแบบนี้เหรอ!” โจวเซิ่งโกรธถึงขีดสุด
“พ่อไม่เคยสอนผมว่าถ้าเป็นเรื่องแบบนี้ควรใช้ความคิดมากเท่าไหร่นี่ครับ” โจวเซินกระตุกริมฝีปากอย่างส่อเสียด
“แก!” โจวเซิ่งโกรธจนหน้าเขียว
หลินเวยลูบแขนเขาให้เขาอารมณ์เย็นลง จากนั้นก็ถอนหายใจแล้วเอ่ยปากพูดว่า “โจวเซิน เสี่ยวจิ้งไม่ได้ชอบแก แล้วทำไมแกต้องดึงดันด้วย”
“แต่เธอก็ไม่ได้ชอบคนอื่นนี่ ถ้าแต่งกับผม เราก็จะเป็นครอบครัวเดียวกัน ไม่ดีเหรอครับ?” โจวเซินเอ่ยพูดออกมา
พวกเขาอยู่ในบ้านหลังเดียวกันมาแล้วตั้งสามปี เขาคิดว่าเวลาสามปีน่าจะเปลี่ยนใจของเวินจิ้งได้ แต่พอดูจากตอนนี้แล้ว เขาไม่ควรรอให้ถึงวันนั้นอีกต่อไป
ต่อให้ต้องบังคับ เธอก็ต้องเป็นของเขา
“ฉันจะหาคู่หมั้นคนอื่นให้แก แกไม่เห็นหรือไงว่าเวินจิ้งปฏิเสธแกแค่ไหน!” โจวเซิ่งพูดอย่างโมโห
ถึงยังไงตอนนี้เวินจิ้งก็นับว่าเป็นลูกสาวของเขาแล้วเหมือนกัน ความสัมพันธ์ของเธอกับโจวเซินอยู่ในสายตาของเขามาตลอด ถ้าปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไป ครอบครัวคงยากที่จะสงบสุขแล้ว!
“พ่อครับ ถ้าไม่ใช่เวินจิ้ง ผมก็จะไม่แต่งกับใครทั้งนั้น!” พูดจบ โจวเซินก็หันหลังเดินออกไป
โจวเซิ่งโกรธจนหอบ มองไปทางลูกไม่รักดี จากนั้นก็หยิบแจกันดอกไม้ขึ้นมาปาใส่
โจวเซินหลบได้อย่างว่องไว ผ่านไปไม่นาน อารมณ์ขอโจวเซิ่งก็เย็นลง
“เวยเวย คุณไม่ต้องห่วงนะ ผมจะไม่ให้เวินจิ้งรู้สึกอึดอัดใจเด็ดขาด ถึงยังไงเธอก็ถือว่าเป็นลูกสาวของผมเหมือนกัน” โจวเซิ่งพูดเสียงหนัก
หลินเวยกัดริมฝีปาก เมื่อก่อนเธอก็เคยคิดว่ายังไงสักวันก็ต้องมีวันนี้ แค่ไม่คิดว่ามันจะมาถึงเร็วขนาดนี้
“งั้นก็ให้โจวเซินไปเปิดตลาดทางฝั่งยุโรปชั่วคราวดีไหม”
“อืม ผมจะเสนอเรื่องนี้กับบอร์ดบริหาร คุณเองก็เตรียมหาคู่ดูตัวไว้ให้เวินจิ้งทำความรู้จักก็แล้วกัน”
เมื่อกลับเข้ามาในห้อง เวินจิ้งก็รู้สึกไม่สบายใจอยู่ตลอด
เธอกลัวว่าโจวเซินจะบุกเข้ามา และเธอคงไม่สามารถต่อต้านเขาได้แน่ๆ
เพราะไม่ได้หลับทั้งคืน เวินจิ้งจึงลงมากินข้าวเช้าตั้งแต่ยังเช้าตรู่ ตั้งใจเอาไว้ว่าจะออกจากบ้านไปก่อนโจวเซิน แบบนี้จะได้ไม่ต้องให้เขาไปส่ง เพียงแต่ว่าพอลงมา ก็เห็นโจวเซิน และข้างกายของเขาก็มีกระเป๋าเดินทางอยู่หนึ่งใบ
“ผมต้องไปทำงานนอกสถานที่ประมาณครึ่งเดือน” เขาเดินมาหยุดอยู่ข้างๆเวินจิ้ง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก
เมื่อวานหลังจากทะเลาะกับพ่อเขาก็ได้รับข้อความว่าต้องออกไปทำงานนอกสถานที่จากบอร์ดบริหาร และดูเหมือนว่าโจวเซิ่งจะจงใจเตรียมการเอาไว้
“อืม” เวินจิ้งตอบรับ ไม่ได้เงยหน้าขึ้นไปมอง
โจวเซินขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ เขาอยากจะโกรธ แต่ควรโกรธเรื่องอะไรล่ะ?
ต่อให้เขาโกรธ เวินจิ้งก็ไม่สนใจเขาอยู่ดี
“ดูแลตัวเองดีๆ มีปัญหาอะไรก็โทรหาผม” โจวเซินกำชับ
“อืม”
เมื่อเห็นโจวเซินเดินออกจากบ้านไป เวินจิ้งถึงได้ค่อยๆผ่อนคลาย ครึ่งเดือนงั้นเหรอ……
ครึ่งเดือนต่อมา เธอก็คงย้ายบ้านออกไปแล้ว
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ เธอก็คิดว่ารอให้แม่ลงมากินอาหารเช้า แล้วจะพูดถึงเรื่องนี้
“แกจะย้ายออก? เพราะโจวเซินใช่ไหม?” หลินเวยรีบรับรู้ถึงสาเหตุได้ในทันที
เวินจิ้งกัดริมฝีปาก ไม่ได้พยักหน้าแต่ก็ไม่ได้ส่ายหน้า
แต่หลินเวยก็รู้จักนิสัยเวินจิ้งดี ถึงได้ถอนหายใจออกมา “แม่ไม่อยากให้แกย้ายออกไป”