Flash Marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน - ตอนที่ 646
บทที่ 646 ผมก็แค่อยากกินฝีมือคุณ
มู่วี่สิงนิ่ง ผ่านไปนาน ถึงได้ยื่นผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งไปให้เธอ
“ลูกไม่เป็นอะไรใช่ไหม?” เขาถามเสียงนิ่ง
“อืม ตอนนี้ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง”
“ทำไมพาเขามาที่นี่?” น้ำเสียงของมู่วี่สิงเข้มขึ้นเล็กน้อย
ไม่ใช่ว่าหลิงเหยาไม่สังเกตเห็นความโกรธของเขา ถึงอย่างนั้นก็ยังคงพูดขึ้นว่า “คุณวางแผนว่าจะอยู่ที่ประเทศFยาวๆ งั้นฉันกับเสี่ยวจุนก็จะมาอยู่ที่นี่ด้วย”
“ผมไม่อนุญาต” มู่วี่สิงพูดเสียงเย็น
“แต่พี่ฉันเตรียมทุกอย่างไว้เรียบร้อยแล้วนะ” หลิงเหยาพูดอย่างดื้อดึง “หรือว่า คุณคิดจะกลับไปหา
เวินจิ้งจริงๆ?”
“หลิงเหยา อย่าพยายามคาดเดาจุดประสงค์ของผมเลย” ดวงตาของมู่วี่สิงดุดัน
หลิงเหยาแค่นยิ้มออกมาเย็นๆ “เพราะฉันเดาถูกใช่ไหม?”
“มู่วี่สิง อย่าลืมสิว่าคุณรับปากอะไรมู่ซือซือไว้ เสี่ยวจุน คือลูกของคุณนะ” หลิงเหยาย้ำเตือนกับเขาอีกครั้ง
……
ด้านนอกโรงพยาบาล เวินจิ้งก็ยังถูกเกาเชียนดักเอาไว้ได้อยู่ดี
“คุณเวินครับ ประธานมู่ออกคำสั่งมา ว่าให้คุณรอเขาอยู่ที่นี่ อีกสักพักเขาก็จะลงมาแล้วครับ”
“เขาว่างมากเหรอ?” เวินจิ้งถามอย่างโมโห
เกาเชียนก้มหน้าลง ไม่กล้าตอบอะไรกลับไป
จนกระทั่งผ่านไปสิบนาที ร่างที่คุ้นเคยของใครคนนั้นก็ปรากฏอยู่ในสายตาของเวินจิ้ง
เธอขึ้นรถไปก่อน มู่วี่สิงมองเห็นใบหน้าซีดๆของเธอได้ทัน เขาจึงขมวดคิ้ว แล้วมองไปทางเกาเชียน
ถึงเกาเชียนจะติดตามมู่วี่สิงมาหลายปี แต่ถ้าเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเวินจิ้ง บางครั้งเขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าควรจัดการอย่างไรดี
เขามองตอบกลับไปที่บอสตรงๆ จากนั้นก็ได้ยินเขาพูดว่า “นายกลับไปก่อน เอากุญแจรถมาให้ฉัน”
มู่วี่สิงเข้ามานั่งบนเบาะคนขับ อารมณ์ของเขาเหมือนจะดีไม่น้อย เขากระตุกริมฝีปากแล้วถามขึ้นว่า “กินข้าวเย็นหรือยัง?”
“ยัง” เวินจิ้งหลุบตาลง มองหาอะไรทำอย่างไม่เป็นธรรมชาติ
เธอก้มหน้ามองนาฬิกา จึงพบว่าใกล้จะสี่ทุ่มแล้ว
พวกเขายังคงนั่งอยู่บนรถคันเดิมที่ขับมาตอนแรก จู่ๆมู่วี่สิงก็ถามออกมาว่า “ทักษะการเข้าครัวมีอะไรก้าวหน้าหรือยัง?”
เวินจิ้งเม้มริมฝีปาก ไม่ได้ตอบอะไรกลับไป
ทักษะการเข้าครัวของเธอแย่มาตลอด สามปีมานี้ที่อาศัยอยู่ตระกูลโจว ก็แทบจะไม่เคยย่างกายเข้าไปในห้องครัวเลย แต่เพราะช่วงที่ผ่านมานี้สุขภาพร่างกายของแม่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ บางครั้งเธอจึงต้องเรียนรู้วิธีการทำซุปและทำอาหาร ก็พูดว่าได้มีพัฒนาการอยู่นิดหน่อย
รสชาติแน่นอนว่าเทียบกับฝีมือที่คนใช้ทำไม่ได้ แต่ว่าคุณแม่ก็กินอย่างเอร็ดอร่อย เธอจึงพึงพอใจแล้ว
“คุณยายให้ผักสดกับเนื้อตากแห้งมาเยอะเลย คุณลองทำดูไหม? หืม?” มู่วี่สิงยิ้มออกมาบางๆ แต่น้ำเสียงกลับแกมบังคับ
“ดึกขนาดนี้แล้ว ถ้าคุณหิว ก็ไปหากินที่ร้านอาหารหลานกุ้ยเถอะ ฉันทำไม่อร่อยหรอก”
ร้านอาหารหลานกุ้ยเป็นร้านอาหารที่เวินจิ้งชอบไปมาก อยู่แถวๆโรงพยาบาลด้วย
เมื่อเห็นว่าเวินจิ้งปฏิเสธ มู่วี่สิงก็ยิ่งตื๊อต่อ “ผมก็แค่อยากกินฝีมือคุณ”
เวินจิ้งแค่นยิ้มออกมา พยักพเยิดให้เขามองเวลา “สี่ทุ่มแล้ว ซุปเปอร์มาเก็ตก็ปิดไปหมดแล้ว ที่ห้องเครื่องปรุงอะไรก็ไม่มีด้วย”
มู่วี่สิงขมวดคิ้ว จากนั้นก็มองเธอราวกับกำลังคิดอะไรอยู่ รถแล่นมาถึงทางแยกพอดี เขาจึงเลี้ยวกลับกะทันหัน แล้วยิ้มออกมาบางๆ “ผมมีวิธี”
รถหรูขับไปด้วยความรวดเร็ว ไม่นานก็มาจอดอยู่ที่บริเวณใจกลางเมืองที่คนพลุกพล่านมากที่สุด แต่ถึงอย่างนั้นในเวลานี้ร้านค้าต่างๆก็พากันปิดไปหมดแล้ว คนก็ค่อยๆเหลือน้อยลงเรื่อยๆ
เวินจิ้งมองเขาขับรถไปจอดที่ลานจอดรถใกล้ๆ จากนั้นก็พาเธอลงจากรถ แล้วเดินตรงไปยังหน้าทางเข้าของห้างสรรพสินค้า
เพราะห้างปิดตอนสี่ทุ่ม จึงมีการสะสางสินค้าแล้วเรียบร้อย ประตูห้างปิดสนิท มองเห็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยกำลังตรวจสอบความเรียบร้อยอยู่ไกลๆ
เวินจิ้งยืนอยู่ข้างๆเขา เมื่อเห็นว่ามู่วี่สิงยังนิ่งอยู่ เธอก็เอ่ยพูดขึ้นว่า “ไปกันเถอะ มันปิดแล้ว”
มู่วี่สิงกลับยืนอยู่ที่เดิม จากนั้นก็ก้มหน้าส่งยิ้มให้เธอ “รอแป๊บ”
ไม่นานหลังจากนั้น ก็มีคนลอดออกมาจากช่องประตู แล้วเดินเข้ามาหาด้วยลมหายใจหอบๆ “ขออภัยคุณมู่ ที่ให้รอนานครับ”
เขาพยักหน้าให้ส่งๆ “ยังซื้อของในห้างได้อยู่ไหม? รบกวนด้วย คงเสียเวลาเลิกงานนายแย่”
ประตูอัตโนมัติที่ตอนแรกเลื่อนลงได้ถึงครึ่งก็ค่อยๆเลื่อนเปิดออกช้าๆ คนคนนั้นปาดเหงื่อ ไม่กล้าแสดงสีหน้าอารมณ์อะไรออกมา ทำได้เพียงแค่ยิ้มแล้วพูดว่า “ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลยครับ ถึงยังไงสองสามวันมานี้ก็ทำโอทีอยู่แล้ว”
สามปีที่เวินจิ้งมาอยู่ที่ประเทศF ทุกครั้งที่เดินผ่านหรือเดินเข้ามาในห้างนี้ ก็มักจะเห็นคนพลุกพล่านไปหมด แต่นี่กลับเป็นครั้งแรกที่เดินเข้ามาแล้วเจอกับบรรยากาศเงียบๆแบบนี้
รองเท้าส้นสูงกระทบกับพื้นที่เพิ่งเช็ดถูทำความสะอาดเสร็จจนเกิดเสียงดังฟังชัด ไฟในห้างถูกปิดไปแล้วหลายดวง ร้านแบรนด์เนมต่างๆก็ปิดไปหมดแล้ว ภายใต้แสงไฟกึ่งมืดกึ่งสว่าง กลับเผยให้เห็นความหรูหราแบบเรียบง่าย ความรู้สึกต่างกันกับเวลามาเดินในตอนปกติอย่างสิ้นเชิง
ราวกับสังเกตได้ว่าเวินจิ้งกำลังรู้สึกแปลกใหม่ ดวงตาเรียวของชายหนุ่มจึงทอประกายขึ้นมา เขาก้มพูดอยู่ข้างๆหูเธอว่า “อยากไปเดินดูไหม?”
ไอความร้อนพัดเข้ามาในหูของเธอ เวินจิ้งรู้สึกตั้งตัวไม่ทันนิดหน่อย จากนั้นจึงส่ายหน้าแล้วพูดเสียงเรียบว่า “ไม่ต้องหรอก ยุ่งยาก”
เธอพอจะเดาได้ว่าที่นี่คงเป็นห้างที่บริษัทมู่ซื่อกรุ๊ปลงทุน ดังนั้นมู่วี่สิงถึงได้เลื่อนเวลาปิดห้างได้อย่างง่ายดาย อย่างนี้
ถ้าเป็นคำสั่งของมู่วี่สิง คาดว่าเหล่าพนักงานก็คงต้องทำงานล่วงหน้ากันจริงๆแล้วล่ะ
แต่เหมือนมู่วี่สิงจะไม่ฟังที่เธอพูด พาเธอเดินลงบันไดเลื่อน มายังซุปเปอร์มาเก็ตที่อยู่ชั้นหนึ่งของห้าง
เสียงอัตโนมัติของบันไดเลื่อนดังขึ้นเมื่อลงมาถึง ชั้นล่างไม่ค่อยมืดเหมือนชั้นบน กลับกันแสงไฟกลับสว่างไสวเป็นอย่างมาก
เวินจิ้งไม่ชินกับแสงที่แยงตาเสียเท่าไหร่ ซุปเปอร์มาเก็ตที่มีผู้คนขวักไขว่ในเวลาปกติ พอตอนนี้บรรยากาศรอบๆกลับเงียบเชียบและดูโล่งๆ แต่บนชั้นสินค้าก็ยังคงมีสินค้าจัดวางไว้อย่างเป็นระเบียบ
เครื่องคิดเงินสิบกว่าเครื่องถูกปิดใช้งานไปเกือบหมด มีเหลือเอาไว้แค่เครื่องเดียว ข้างๆมีพนักงานคนหนึ่งยืนอยู่ พร้อมกับเตรียมรถเข็นเอาไว้ให้ จากนั้นก็ส่งเสียงทักทายขึ้นมาอย่างนอบน้อม “คุณมู่”
มู่วี่สิงหยุดฝีเท้าลง แล้วเหลือบมองเวินจิ้ง “อยากซื้ออะไรก็ไปหยิบมา”
เวินจิ้งจับรถเข็นเงียบๆ เธอเดินนำอยู่ข้างหน้า ส่วนมู่วี่สิงก็เดินตามเธออยู่ไม่ห่างอย่างไม่รีบไม่ร้อน
ตอนนี้เธอพักอยู่ที่คอนโดของมู่วี่สิง ห้องครัวแทบไม่เคยผ่านการใช้งานเลยสักครั้ง แต่อุปกรณ์และถ้วยชามในครัวกลับครบครัน ขาดก็แค่วัตถุดิบปรุงรส
เวินจิ้งเดินวนอยู่รอบหนึ่ง ไม่นานก็ซื้อของครบ หันหน้ากลับไปก็เห็นว่ามู่วี่สิงกำลังยืนกอดอกพิงชั้นวางสินค้ามองมาที่ตัวเอง แสงไฟส่องกระทบดวงตาลึกล้ำของเขา มันเรียบนิ่งไร้ซึ่งความเคลื่อนไหวใดๆ
“เสร็จแล้ว” เธอไม่ได้พูดอะไรกับเขามากความ จากนั้นก็เดินเข้าไปหาไม่กี่ก้าวแล้วเอ่ยถามอย่างลังเลว่า “คิดเงินเลยไหม?”
มู่วี่สิงกระตุกรอยยิ้มจางๆ เดินมาหยุดอยู่ข้างๆเธอ จากนั้นก็โอบไหล่ของเธอเอาไว้อย่างเป็นธรรมชาติ “ไหนๆก็มาแล้ว ซื้อไปเยอะๆสิ”
เวินจิ้งกำที่จับรถเข็นแน่น เพราะว่าออกแรงจับมากเกินไป ดังนั้นหลังมือขาวๆของเธอจึงมีเส้นเลือดผุดขึ้นมา “ยังจะซื้ออะไรอีก?”
เขาพาเธอมายังโซนผักและผลไม้ จากนั้นก็ยื่นมือออกไปหยิบผักมาวางไว้ในรถเข็น
เวินจิ้งทำเพียงแค่ยืนนิ่งๆ ผ่านไปสักพัก เธอก็พูดออกมาว่า “อาหารแค่มื้อเดียว ซื้อไปเยอะขนาดนั้นมันจะไม่สิ้นเปลืองเหรอ?”