Flash Marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน - ตอนที่ 67
บทที่ 67 อยากยืนยาวชั่วฟ้า
เวินจิ้งยิ้มขำ มองดูตัวเองในโทรทัศน์แวบหนึ่ง วันนี้เธอไม่ได้แต่งแต้มใบหน้าก็ออกจากบ้านแล้ว แต่ว่าไปพอขึ้นกล้องก็ไม่ได้ขี้เหร่หรินะ!
แต่นี่ยังไม่ทันได้ดื่มด่ำกับความสุขไปเท่าไหร่เลย มู่วี่สิงกลับเอ่ยพูดอยู่ข้างกาย “วันนี้คุณไม่ได้สระผมออกจากบ้านไปนะ?”
เวินจิ้งใบหน้าไม่สบ เธอแค่ไปซื้อวัตถุดิบผักเอง ใครจะไปคิดว่าจะต้องเจอนักข่าวเยอะแยะมากมายแบบนี้หละ……..
“ยุ่งหน่าคุณ?” เวินจิ้งไม่สุข
“คุณเป็นภรรยาผมนะ ผมต้องยุ่งสิ” มู่วี่สิงโอบรัดกอดเอวบางเธอไว้
มู่เฉิงอยู่ด้วย เวินจิ้งจึงไม่สะดวกพลักไสเขา
มู่เฉิงมองดูทั้งสองหวานละมุนจนมดขึ้น เลยยิ้มขบขำอย่างชอบใจมากโข
เพราะบทสัมภาษณ์นี้ของเวินจิ้ง บริษัทฉินซื่อกรุ๊ปจึงถูกโจมตีอีกครั้ง เดิมทีระดับหุ้นค่อย ๆ กลับมาขึ้นแล้วแต่กลับต้องดิ่งเหมือนลงเหวอีกครั้ง
และครั้งนนี้ ขึ้นอยู่กับมู่วี่สิงแล้วว่าจะสามารถดึงหน้ากลับมาได้อีกหรือไม่
เวินจิ้งไม่ได้สนใจเรื่องพวกนี้เลย เวลาหยุดพักช่วงนี้จึงผ่อนคลายไม่ตึงเครียด มู่วี่สิงผู้ที่ยุ่งเป็นปกติ แต่ก็กลับมาบ้านทุกค่ำคืน เวินจิ้งเองก็ไปเยี่ยมเหยียนเจี่ยนอีเป็นบางครั้งบางคราว แต่เพราะมู่วี่สิงไม่ได้ไปพร้อมกับเธอด้วย เจี่ยนอีเลยบ่นพึมพำ
“เวินจิ้ง ตอนนี้ลูกเป็นคนดังในระแวกนี้ของพวกเราไปแล้วนะ” เจี่ยนอีตบต้นขาเอ่ย อย่างตื่นเต้น
สองวันก่อนเวินจิ้งขึ้นข่าวหน้าหนึ่ง เพราะเธออยู่ชุมชนอันหนิงตั้งแต่เล็กจนโต ผู้คนย่านนี้จึงล้วนรู้จักเธอดี และยังรู้ด้วยว่าเธอแต่งงานไปกับผู้ชายสูงส่งคนหนึ่ง
“แม่คะ หนูกับหมอมู่ใช้ชีวิตอย่างปกติดีคะ”
“ปกติไม่เป็นไรก็ดีแล้ว ตอนนี้แม่ก็โอเคกับพวกเขามาก และแม่ก็ไม่ได้ขอให้พวกแกต้องจัดงานตงงานแต่งอะไร ได้ใช้ชีวิตอยู่อย่างเป็นสุขก็ดีแล้ว การเคียงข้างกันคือคำสารภาพรักที่ยาวนานที่สุดนะ”
จู่ ๆ เจี่ยนอีก็พูดจาโลดโผนถึงเรื่องความรักอย่างซาบซึ้ง จนเวินจิ้งยิ้มขบขำ “รู้แล้วค่ะแม่”
เมื่อไปจากชุมชนเล็ก ๆ เวินจิ้งก็มาถึงบริเวณห้างสรรพสินค้าแถวนี้ เพราะค่ำคืนนี้เธอและอั้ยเถียนนัดชวนมาเดินถนนคนเดินทานข้าวดูหนังกัน ทั้งคู่ไม่ได้พบเจอกันมาอาทิตย์หนึ่งแล้ว และเวินจิ้งเองก็อยากถามเรื่องตรวจสอบเรื่องนั้นด้วย
เพราะอยู่ไม่ไกลห่างมาก เวินจิ้งเลยเดินไป ทว่า ราวมีคนจ้องตามหลังอยู่ตลอดเวลา เวินจิ้งเดินไปหยุดอยู่ถนนมุมหนึ่งลง
รอให้หญิงสาวเดินมาก่อนตอนนั้น เวินจิ้งจึงรั้งขวางเธอไว้
ฉือซิน?
“คุณน้าคะ คุณน้าต้องการจะทำอะไรอีกค่ะ?” เวินจิ้งม่สบอารมณ์
คราวก่อนเรื่องที่ฉือซินพยายามลักพาตัวเธอไปจนตอนนี้เงายังไม่จางหายไปจากหัวเธอเลย
และขนาดเดียวกัน บอดี้การ์ดลับที่ค่อยปกป้องเวินจิ้งก็โผล่เผยตัวออกมา
ฉือซินไม่กล้าเข้าใกล้ในทันที
“เสี่ยวจิ้ง น้าไม่รู้จะทำอย่างไรแล้วจริง ๆ ขอร้องหละ อย่าจ้องใส่ร้ายอาเหิงอีกเลยนะ” ฉือซินเอ่ยพูดน้ำตาพลางหลั่งไหลแอบแก้มอย่างไม่ขาดสาย
เธอแต่งตัวดั่งผู้ดีสูงส่ง แต่งแต้มไปด้วยความสง่างาม การร้องไห้ขึ้นมานี้ กลับบดบังความชราของเธอไม่ได้
เวินจิ้งสั่นหวาบหวามอ่อนไหวเล็กน้อย เมื่อตอนนั้นฉือซินดีกับเธอเป็นอย่างมาก แต่มันก็ผ่านพ้นราวสายน้ำไหลไปแล้ว ผู้คนมากมายล้วนเปลี่ยนไปแล้ว
“หนูไม่ได้ทำร้ายเขานะค่ะ คุณน้า คุณน้าเลิกตามหนูได้แล้วค่ะ” เวินจิ้งเอ่ยอย่างเฉยเย็น
“เป็นไปได้ไงกัน ตอนนั้นหนูชื่นชอบอาเหิงสักขนาดนั้น หนูยังอยากกลับไปหาเขา”
ขีดจำกัดความเป็นมนุษยธรรมของเวินจิ้งใกล้สิ้นแล้ว ฉือซินเป็นถึงผู้หลักผู้ใหญ่คนหนึ่ง แต่ความเคารพนี้อยู่บนพื้นที่ขึ้นอยู่กับความไว้วางใจซึ่งกันและกัน
หายใจเข้าลึก ๆ และน้ำเสียงของเวินจิ้งช่างเย็นชา “คุณน้าคะ คำพูดเหล่านี้คุณน้าควรเก็บไปบอกกับฉืออี้เหิงนะค่ะ”
สิ้นสุดถ้อยคำลง เวินจิ้งก็ไม่แลใยดีกับเธออีก
ฉือซินเงยหน้าขึ้น ความเกลียดแค้นฉายผุดอยู่ในแววตาขึ้นมาทันที ในมือหยิบจับมีดออกมาเล่มหนึ่ง และคว้าจับข้อมือบางของเวินจิ้งไว้ ใบมีดนั้นจี้อยู่ที่ลำคอระหงของเวินจิ้ง!
บอดี้การ์ดที่อยู่ไม่ไกลห่างก็รีบโผล่พรวดออกมากันเหมือนผีมาในทันที แต่ฉือซินกลับจับจี้เวินจิ้งไว้ไม่ปล่อย จึงทำให้ทั้งสองไม่กล้าเข้าใกล้
“คุณน้าคะ คุณน้าบ้าไปแล้วเหรอค่ะ!” เวินจิ้งดวงตาโพลงโต มือบางอยากผลักดันฉือซินออก
“ใช่ฉันมันบ้าไปแล้ว เธอไม่รู้หรอกว่าหลายปีมานี้อาเหิงต้องเจออะไรมาบ้าง ครอบครัวตระกูลฉินดูหมิ่นดูแคลนเขา ไม่ว่าเขาจะพยายามทุ่มเทแค่ไหนก็ตาม….”
เวินจิ้งขมวดคิ้ว “หนูกับเขาเราเลิกกันตั้งนานแล้วนะค่ะ เรื่องของเขาไม่เกี่ยวกับหนูเลย……”
“จะไม่เกี่ยวได้ยังไง กว่าเขาจะเป็นที่ยอมรับของตระกูลฉินได้ แต่ตอนนี้เธอกลับออกมายั่วยวนเขา เสี่ยวจิ้ง อาเหิงของเราไม่เคยทำเรื่องไม่ดีกับเธอ…….ทำไมเธอต้องมาทำร้ายเขาแบบนี้ด้วยหละ….”
อารมณ์ของฉือซินนั้นใจรร้อนดั่งเปลวไฟ มือไม้กำลังสั่นสะท้าน และผิวบางของเธอถูกใบมีดนั้นเฉียดเฉียวไปเล็กน้อย
เธอเจ็บระทมจนยืนแทบไม่ไหว แต่ฉือซินกลับจับเธอไว้ไม่ปล่อย
ส่วนบอดี้การ์ดก็ได้รายงานกับมู่วี่สิงแล้ว ทว่าระยะทางจากโรงพยาบาลมาที่นี้นั้น ต้องใช้เวลาอย่างน้อยสามสิบนาที
“คุณน้าค่ะ คุณน้าใจเย็น ๆ ก่อนนะค่ะ”
“เสี่ยวจิ้ง เธอไปอธิบายบอกกับนักข่าวให้ชัดเจน ว่าเธอเป็นมือที่สาม อาเหิงไม่ได้เกี่ยวพันอะไรกับการแต่งงานของเธอ เธอเองที่เป็นคนตอแยกเขา….” ฉือซินเอ่ยสั่ง
เวินจิ้งกัดริมฝีปากบาง “ค่ะ หนูรับปากค่ะ”
ใบหน้าฉือซินผุดพรายความดีใจออกมา “จริง ๆ นะ?”
“จริงค่ะ คุณน้าปล่อยหนูเถอะค่ะ เดี๋ยวหนูจะไปบอกกับนักข่าวตอนนี้เลยค่ะ” เวินจิ้งมองประสานตากับเธอ ดวงตาเย็นสงบลง
ฉือซินกลับสงสัยขึ้นมา “เธอไม่ได้หลอกฉันใช่มั้ย? เสี่ยวจิ้ง เธอต้องจัดการเรื่องนี้ให้มันกระจ่างแจ้งนะ…..”
“หนูรับปากค่ะคุณน้า” เวินจิ้งส่งสัญญาณสายตาให้กับบอดี้การ์ด
ในเวลานั้นฉือซินได้ปล่อยวางใจกับเหตุการณ์แล้ว และจะติดต่อบอกเหล่านักข่าว
เมื่อมือข้างหนึ่งของเธอปล่อยลงนั้น บอดี้การ์ดจึงรีบมุ่งหน้า ด้วยการจัดการที่รวดเร็วในการจับตัวฉือซินไว้ และเวินจิ้งก็รีบจับข้อมือเธอทีเผลออย่างชาญฉลาด แล้วผลักดันเธอกระแทกไปชนกำแพง
สีหน้าฉือซินสลด “เสี่ยวจิ้ง เธอ….เธอหลอกฉัน!”
เวินจิ้งจ้องมองเธออย่างเยือกเย็น “คุณน้าคะ ที่หนูพูดล้วนเป็นความจริงทั้งนั้นค่ะ คนที่โกหกคือฉืออี้เหิง”
“ไม่! เธอนั่นแหละที่โกหาฉันอยู่!”
เวินจิ้งเองก็ไม่เคยคิดว่าจะพูดให้ฉือซินสบายใจได้ พอเห็นบอดี้การ์ดจับตัวเธอไว้ เวินจิ้งก็วางมือ
แต่แค่ในพริบตาเท่านั้น ฉือซินก็ไม่เกร่งกลัวกระโจนออกมา จับมีดไว้ไม่สนเกร่งกลัวอะไรพุ่งแทงมา
เวินจิ้งหลบเลี่ยงไม่ทัน ดวงตามองดูแขนที่จะโดนทำร้าย แขนหนาข้างหนึ่งก็ยื่นออกมาขวางบังเวินจิ้งไว้แทน และใบมีดก็ทิ่มแทงเข้าไปตรงมือใหญ่ของมู่วี่สิ!
เธอเงยขึ้นมอง จ้องมองผู้ชายที่ราวโผล่มาจากฟากฟ้าอย่างตะลึงตะลานอึ้ง หยดโลหิตในมือหนาของเขาไหลหลั่งออกมาอย่างไม่ขาดสาย
เลือดเหลวแดงสดที่สะท้อนอยู่ในดวงตาของเวินจิ้ง นัยน์ตาชุ่มไปด้วยโลหิตสีแดงสด จนหัวใจกระตุกเจ็บแปลบในทันที จ้องมองประสานกับใบหน้าคมคายหล่อเหลาของมู่วี่สิง ร่างกายที่อ่อนปวกเปี่ยกลับแข็งทื่อ
“ทำไมคุณ….”
สีหน้าชายหนุ่มเฉยเมยจนในที่สุด แววตาแผลงรังสีอำมหิตจ้องมองฉือซิน ช่างน่ากลัวหวาดเสียวสันหลัง
ฉือซินถูกมู่วี่สิงจ้องมองจนช็อกเสียวสันหลังขึ้นมา ร่างกายสั่นสะท้านไปหมด ข้อมือเธอถูกเขาจับกุมไว้ จนเธอไม่อาจขยับได้
บอดี้การ์ดรีบจับกุมเธออย่างแรงหดหู่ด้วยร่างเกร่งสมเป็นบอดี้การ์ด
เวินจิ้งพามู่วี่สิงไปยังรถกู้ภัย แต่โลหิตสีแดงสดของเขานั้นไหลไม่หยุดหย่อนมากขึ้นเรื่อย ๆ จนเวินจิ้งกล้ำกลืนไม่ไหวแล้ว เลยร้องไห้โฮออกมา
“ทำไมคุณต้องมาปกป้องบังแทนฉันด้วยคะ….”
วินาทีอันตรายขนาดนั้น….
“ไม่เช่นนั้น คุณหญิงมู่อาจได้รับบาดเจ็บได้” ลมเสียงมู่วี่สิงเอ่ยอย่างรักใคร่เอ็นดู
เวินจิ้งซบบนไหล่เขา แววตาล้นไปด้วยภาพแดงสด หัวใจของเธอเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส
เธอยอมที่จะเป็นคนบาดเจ็บเอง
“คุณจะได้รับบาดเจ็บไม่ได้ คุณเป็นหมอนะคะ คุณเป็นคนที่ต้องรักษาช่วยชีวิตคน คุณจะปล่อยให้ตัวเองบาดเจ็บได้ไงคะ….” เวินจิ้งเสียงต่ำ
มู่วี่สิงมองเธออย่างอ่อนโยน ใช้มืออีกข้างที่ไม่บาดเจ็บโอบกอดเธอไว้ “คนดี ไม่ร้องนะ”
เวินจิ้งเงยหน้ามอง ด้วยเสียงคำเรียกนั้น ทำให้อ่อนระทวยมือไม้ชา
ช่างอ่อนหวานสนิทสนม
ในขนาดที่เงย มู่วี่สิงก็ประทับจูบหวานละมุนลงไป ปิดกั้นลมหายใจเธอไว้อย่างหดหู่
เวินจิ้งไม่ได้ต้านค้านอะไร เวินจิ้งอยากให้จูบนี้อยู่อย่างยาวนานชั่วฟ้า