Flash Marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน - ตอนที่ 69
บท69 ฉันแต่งงานแล้ว
ณ บ้านตระกูลฉิน
ฉืออี้เหิงรับฟังที่ทนายเอ่ยบอก ใบหน้าคมคายหม่นหมองมาก
ทำการขอโทษอย่างเปิดเผย?
คนที่เสื่อมเสียไม่เพียงแค่เขาคนเดียว และยังรวมไปถึงตระกูลฉินที่จะเสื่อมเสียไปด้วย
“ฉืออี้เหิง เรื่องนี้คุณจัดการเองละกันนะ อย่าดึงตระกูลฉินไปเกี่ยวข้องด้วย!” ฉินเจิ้งเอ่ยอย่างโมโห
ฉินเฟยปลอบประโลมผู้เป็นบิดาขึ้นยังชั้นสองไปก่อน แล้วลงมายังห้องรับแขก เห็นฉืออี้เหิงกำลังสูบบุหรี่อยู่
“กว่าคุณพ่อฉันจะเปลี่ยนความคิดมุมมองในการมองคุณดีขึ้นมาได้ ดูเหมือนว่าตอนนี้ดิ่งห้วนกลับไปยังที่เดิมอีกแล้วนะค่ะ” ฉินเฟยขมวดคิ้ว
ไม่นานมานี้ฉืออี้เหิงเพิ่งแถลงเปิดเผยวิจารณ์โทษเวินจิ้งไปเอง หันรีหันหัวมาก็ต้องขอโทษเธอสักแล้ว?
นี่มันตบหน้าตัวเองชัด ๆ
“ช่วงนี้มีผู้ถือหุ้นหลายท่านที่ไม่ค่อยพึงพอใจ อาเหิง คุณก็จัดการเองละกันนะค่ะ”
“ขอโทษนะครับ เฟยเฟย” ฉืออี้เหิงกุมมือบางฉินเฟยไว้ คิ้วถูกขมวดมุ่นชนกัน
หากไม่ยอมรับข้อเสนอของเวินจิ้ง ฉือซินก็จะถูกฟ้อง ท้ายแล้วก็คงต้องเข้าคุกแล้ว
ทว่า เขาตัดใจได้แต่ต้นแล้ว
สองวันต่อมา ฉืออี้เหิงให้การตอบกลับ ปฏิเสธข้อเสนอของเวินจิ้ง
“ดังนั้น ก็ดำเนินคดีตามกฎหมายเหรอคะ?” เวินจิ้งเอ่ยถามทนายความ
“ใช่ครับ คุณฉือตอบกลับมาว่า เขาเป็นถึงผู้มีหน้ามีตามีชื่อเสียงทางสังคม ไม่อาจแถลงขอโทษอย่างเปิดเผยได้ครับ และค่าทำขวัญหนึ่งล้านมันมากเกินไปครับ”
เวินจิ้งขมวดคิ้ว ในใจเขาแล้ว ชื่อเสียงและเงินทองมันสำคัญกว่าคนในครัวครอบไปแล้ว
“งั้นก็จัดการดำเนินตามคดีเลยค่ะ”
ยามเย็น เวินจิ้งพามู่วี่สิงไปตรวจเช็คอาการที่โรงพยาบาท
ไม่รู้ว่าเย่กวนกวนนั้นได้ข่าวคราวมาจาก แอบปลอมเป็นสาวพยาบาลวิ่งเข้าโรงพยาบาลมา
เมื่อมู่วี่สิงล้างแผลเสร็จปุ๊บ ก็จ้องมองหญิงสาวที่บังอยู่เบื้องหน้า คิ้วหนาค่อย ๆ ขมวดคิ้วมุ่นขึ้น
“เย่กวนกวน” ด้วยน้ำเสียงที่เย็นเฉียบของเขา จนเย่กวนกวนตระหนกสั่นระริก
“หมอมู่ ฉันแค่เป็นห่วงคุณค่ะ คุณไม่ยอมให้ฉันเข้ามาโรงพยาบาล ฉันเลยต้องปลอมเข้ามาแบบนี้…..” เย่กวนกวนเอ่ยอย่างสงสารเด็กตาดำ ๆ
แต่มู่วี่สิงนิ่งเฉย
“มือคุณเป็นอะไรไปคะ? ทำไมถึงบาดเจ็บ? สาหัสมั้ยคะ?” เย่กวนกวนเอ่ยอย่างร้อนรน จะยื่นมือมาจับ
มู่วี่สิงนิ่งเฉยเมยเดินผ่านเธอไป โดยไม่เอ่ยไม่ตอบ
เย่กวนกวนล้มเหลวอย่างดิ่งลงเหว จ้องมองเงาความเยือกเย็นดั่งน้ำแข็งของมู่วี่สิง ช่างไม่สบอารมณ์เอาสักเลย!
และเวลานี้เวินจิ้งก็รับยาเสร็จเดินมา เห็นเย่กวนกวนเดินตามหลังมู่วี่สิงมา เธอแต่งตัวในชุดพยาบาล น้ำตากลับหลั่งไหลแอบแก้ม
“คุณไม่ไปดูคนไข้ของคุณหน่อยเหรอคะ?” เวินจิ้งเอ่ยถาม
“เธอไม่ใช่คนไข้ของผม” มู่วี่สิงเอ่ยเสียงเย็น
“หมอมู่คะ เดือนหน้าเป็นงานเลี้ยงวันเกิดครบรอบสี่สิบของฉัน คุณจะมามั้ยคะ?” วิ่งลิ่วมา เย่กวนกวนยื่นการ์ดเชิญให้มู่วี่สิงใบหนึ่ง
เขาไม่ได้รับมัน เย่กวนกวนกวดนัยน์ตามอง ไปยังเวินจิ้ง “พี่เวินจิ้งคะ พี่กับหมอมู่มาด้วยกันนะค่ะ”
“เรื่องนี้ให้หมอมู่เป็นคนตัดสินใจดีกว่านะ”
“ไม่ไป” มู่วี่สิงเอ่ยตอบปฏิเสธโดยสองถ้อยคำ จูงมือเวินจิ้งแล้วเดินจากไป
เย่กวนกวนเสียอกเสียใจ จึงวิ่งลิ่วมานำการ์ดเชิญยัดใส่ในตัวเธอ ดวงตาวิบวาบ “พี่คะ อย่าเบี้ยวนะค่ะ”
เวินจิ้ง……
เข้านั่งในรถ เวินจิ้งมองดูการ์ดเชิญใบหนึ่ง ที่เย่กวนกวนเป็นคนวาดเขียนด้วยมือ เดิมทีคิดว่าเย่กวนกวนจะเชิญเพียงมู่วี่สิงผู้เดียวแต่คนเชิญกลับเขียนชื่อเวินจิ้งเข้าไปด้วย
ดูแล้ว ต้องเสียเวลาทำอย่างตั้งอกตั้งใจเลยแหละ
“คุณไม่ไปจริง ๆ เหรอคะ?” เวินจิ้งเอยถาม
เธอครุ่นคิดรู้สึกว่า เย่กกวนกวนนั้นเป็นเพียงเด็ก และมู่วี่สิงก็มักจะโจมตีใส่เธอ ดวงใจน้อย ๆ ของสาวน้อยอาจจะเจ็บหน่วงได้นะ
อีกอย่างหากเขามีโอกาสได้พัฒนากับเย่กวนกวนทว่าก็ไม่แย่นะ……
แต่ว่า ทำไมเธอรู้สึกราวไม่ยิมยอมเล็กน้อย….
“คุณอยากให้ผมไปเหรอ?” มู่วี่สิงเบือนหน้ามา แววตาหม่นหมอง
“บางทีคุณกับเธออาจมีโอกาสพัฒนาก้าวหน้าก็ได้นะคะ” เวินจิ้งเอ่ยเสียงต่ำ
“ผมแต่งงานแล้ว” มู่วี่สิงเอ่ยอย่างเย็นลง
“ไม่ได้จริงสักหน่อยนี่ค่ะ” เวินจิ้งเอ่ยเสียงเบา ไม่กล้าพูดต่ออีก
มู่วี่สิงกลับรับการ์ดเชิญไป “ในเมื่อคุณอยากไป ผมก็จะพาคุณไป”
ยามค่ำคืน เวินจิ้งเห็นข้อความวีแชทที่ฉีเซินส่งมาให้ เดิมทีทั้งสองนัดกันทานข้าวคืนวันพรุ้งนี้ แต่ว่าฉีเซินไปต่างจังหวัดยังไม่กลับมา ทำได้เพียงเลื่อนถัดไปอีก
อย่างไรก็ตามถ้าไม่ใช่เพราะฉีเซินเอ่ยเตือน เวินจิ้งเองก็คงลืมสนิมเรื่องนี้ไปแล้ว
หลังจากที่ฟื้นฟูเสร็จ มู่วี่สิงเดินออกมาจากห้องน้ำ ไม่รู้ว่าทำไม หัวใจเวินจิ้งถึงได้เต้นร้อนแผ่วขึ้นมาเล็กน้อย พอตระหนักได้จึงหยิบโทรศัพท์ออก
ท่าทางการเขยิบนี้ ถูกมู่วี่สิงจับจ้องเห็นไปแล้ว
หรี่ตาขึ้นมอง ร่าเงาใหญ่ของเขาเขยิบชิดเข้ามา หยาดเส้นผมที่ยังมีน้ำไหลหยดไม่แห้ง ช่วงยั่วยวนเร้าใจ
เวินจิ้งข่มตัวไม่ได้ที่จะเลียฝีปากอวบอิ่มตัวเอง
“คุณ…..คุณทำอะไรของคุณเนี่ย….” เวินจิ้งตระหนกตื่นเต้น แววตาไม่กล้ามองสบมู่วี่สิง
“ส่งข้อความให้ใครอ่ะ?” เขาเอ่ยถามเสียงต่ำ
“อั้ยเถียนค่ะ” เวินจิ้งไม่สบตามองเขา
“คุยอะไรกันเหรอ?”
“คุย……” ปฏิกิริยาตอบสนองทัน เวินจิ้งเลยจ้องมองเขา “เรื่องของผู้หญิงด้วยกัน คุณไม่รู้จะดีกว่าค่ะ!”
“ทางที่ดีคือ” มู่วี่สิงเสียงเคร่งขรึม
วินาทีนี้ เวินจิ้งสัมผัสได้ว่ามู่วี่สิงท่าจะงอนกรุ่นโกรธแล้ว
ทว่า ไม่รู้ว่าทำไมกัน
วันถัดมา เวินจิ้งได้รับสายโทรศัพท์จากฝ่ายบุคคล ให้เธอกลับไปบริษัทเพื่อให้การสอบสวนบันทึกการ
ตั้งแต่ที่เธอพักงานมาจนถึงวันนี้ก็ร่วงเลยเป็นเวลาสิบวันแล้ว ผลการตรวจสอบเบื้องต้นได้ออกมาแล้ว คอมพิวเตอร์ของเวินจิ้งเคยถูกลักลอบเข้าใช้ ไฟล์ถูกขโมยไป แม้จะเป็นเช่นนี้ก็ตาม แต่ก็ไม่มีการรับรองว่าเธอไม่ใช่คนที่ปล่อยข่าวข้อมูลลับของบริษัทหนิ
“จิ้งจิ้ง ฉันจะบอกแกว่า ตอนนี้หูชิงได้เลื่อนตำแหน่งเป็นเลขาของประธานแล้วนะ” หลังจากที่เวินจิ้งออกมา อั้ยเถียนก็รอเธอออกมา เพื่อบอกเรื่องราวของบริษัทในช่วงนี้ให้เธอฟัง
“ประธานเสี้ยงเชื่อเธองั้นเหรอ?” เวินจิ้งขมวดคิ้วพันเกลียวสิบแปดตลบ
“ดูก็รู้ว่าใช่ ช่วงนี้ทั้งสองไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อย….” ถ้อยคำอั้ยเถียนเพิ่งสิ้นสุดลง ก็มีหูชิงตามอยู่ข้างกายเสี้ยงหงเข้าจากประตูฝั่งโน้น
“หูชิงเป็นคนประเภทไหนกัน เสี้ยงหงตาบอดไปแล้วเหรอเนี่ย” อั้ยเถียนเอ่ยขึงขังเย็นลง
เวินจิ้งรู้สึกได้ว่า อั้ยเถียนนั้นไม่ใช่คนที่จะหัวเสียได้ง่ายแบบนี้ นอกจากคนที่เขา….สนใจ
“แกหึงหวงเหรอ?” เวินจิ้งพลางยิ้มแซว
อั้นเถียนก็โสดสนิทมานานมากแล้ว ถ้าหากเธอชื่นชอบเสี้ยงหงจริง ก็ไม่แปลกอะไร
“ไม่มีสักหน่อย! เวินจิ้ง แกพูดบ้าอะไรเนี่ย!” อั้ยเถียนรีบเอ่ยต้านทันที แต่ใบหน้ากลับแดงระเรื่อขึ้น
เสี้ยงหงแลเห็นเวินจิ้ง เลยเดินมุ่งมายังเธอ
“เวินจิ้ง คืนที่ไปงานทานข้าวเย็นกับผมหน่อย”
“แต่ว่า ฉันพักงานอยู่ไม่ใช่เหรอคะ?” เวินจิ้งสงสัย
“แต่ไม่ได้ลาออก ไม่ใช่เหรอ?” เสี้ยงหงเอ่ยเย็นชา
ผู้นำเอ่ยขนาดนี้แล้ว แน่นอนว่าเวินจิ้งย่อมปฏิเสธไม่ได้อยู่แล้ว
อั้ยเถียนจับกุมแขนเวินจิ้งอยู่ตลอด ส่งสายตาไฟปะทุจ้องมองเสี้ยงหง แต่ฝ่ายตรงข้ามกลับราวไม่เห็นด้วยซ้ำ
“จิ้งจิ้งดื่มไวน์ไม่ได้ ฉันก็จะไปด้วยค่ะ” อั้ยเถียนพลางเอ่ยขึ้น
พอได้ยินเช่นนั้น เสี้ยงหงก็เซยเท้า จ้องมองอั้ยเถียนด้วยแววตาขึงขังเยือกเย็น
ร่วงเลยไปตั้งนาน ก็พยักหน้าขึ้น
แล้วเดินเข้าลิฟต์ไป หูชิงข่มไม่อยู่จึงเอ่ยขึ้น “คุณเสี้ยงหงคะ คืนนี้เป็นงานอะไรกันเหรอคค่ะ ยังพาเวินจิ้งกับอั้ยเถียนไปด้วย?”
“คุณมีเรื่องพูดมากเลยนะ” เสี้ยงหงเอ่ยตอบอย่างเย็นชา
หูชิงจึงไม่กล้าปริปากอีกในทันที แต่กลับเก้อ ๆ เป็นอย่างมากแทน
เมื่อยามเย็น เวินจิ้งและอั้ยเถียนตามเสี้ยงหงไปถึงคลับร้านหนึ่ง ที่คลุกเคล้าไปด้วยกลิ่นเหล้าบุหรี่ปะปนกันไปหมด เวินจิ้งรู้สึกปรับสภาพไม่ค่อยทันนัก
ปกติแล้วเธอไม่ต้องการลิ้มรสเหล้าเบียร์นี้ และนี่ก็เป็นครั้งแรกที่มาในที่แบบนี้
แต่อั้ยเถียนกลับคุ้นเคยชินเป็นปกติ จูงมือเวินจิ้งไว้ทั้งคู่ราวจะทำผิดประเวณี จ้องมองหูชิงที่อยู่ข้างเสี้ยงหงอยู่ตลอดเวลา
เดินเข้าห้องคลับส่วนตัว เวินจิ้งคิดไม่ถึงว่ามู่วี่สิงก็อยู่ด้วยเช่นกัน แข็งทื่อทะมึนทึง