Flash Marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน - ตอนที่ 694
บทที่ 694 อย่าได้ทำให้เธอเสียใจอีก
มู่วี่สิงจอดรถหน้าคฤหาสน์ตระกูลหยูใบหน้าอันหล่อเหลาจดจ่ออยู่กับนาฬิกา “จิ้งจิ้งคุณมีเวลาแค่สิบนาทีเท่านั้น”
เวินจิ้งลงจากรถอย่างรวดเร็ว ทำเป็นไม่ได้ยิน
หลังจากกดกริ่ง สักพักก็มีคนรับใช้ที่ค่อนข้างสูงอายุเดินมา “ไม่ทราบว่าคุณคือ”
เวินจิ้งยิ้มตาหยี “หนูเป็นเพื่อนของหยูจิ่งห้วน มาหาเขาเพราะมีธุระนิดหน่อยค่ะ”
เวินจิ้งเดินตามเธอเข้าไป ในคฤหาสน์นี้ช่างเงียบมาก เธอคิดว่าคงไม่ใช่เรื่องง่ายหากต้องการเจอหยูจิ่งห้วน นึกไม่ถึงเมื่อเข้ามาแล้วกลับไม่เจอใครสักคนเดียว คนรับใช้ได้พาเธอเดินตรงไปที่ห้องนอนของหยูจิ่งห้วน
แค่มือของเธอเคาะประตูครั้งเดียว ทันใดนั้นประตูก็ถูกกระแทกด้วยบางสิ่งบางอย่าง จากนั้นเสียงแก้วน้ำตกกระแทกพื้นก็ดังขึ้น “ฟังภาษาคนไม่รู้เรื่องหรือไง ว่าออกไปให้หมด”
เวินจิ้งที่กัดริมฝีปาก ผ่านไปสักพักถึงได้พูดด้วยเสียงเบาๆ “หมอหยู ฉันเอง”
เสียงจากด้านในได้เงียบไปสักครู่หนึ่ง จากนั้นประตูก็ค่อยๆเปิดออก
เวินจิ้งตาเบิกกว้าง เธอไม่เคยเห็นหยูจิ่งห้วนเป็นแบบนี้มาก่อน
อารมณ์ความโกรธแค้นที่รุนแรง แม้ตอนนี้ได้เบาบางลงเมื่อเขานั้นได้ยืนอยู่หน้าเธอ
หยูจิ่งห้วนมองดูหญิงสาวที่ยืนอยู่ตรงหน้าตัวเอง เธอมองเขาโดยไม่รู้ว่าจะช่วยเขาได้อย่างไร “หมอหยู คุณ…..เกิดอะไรขึ้นกับคุณ”
เขาที่สวมเสื้อเชิ้ตสีขาว แต่ดวงตาปกคลุมไปด้วยความเศร้าและความโกรธ
“ผมไม่เป็นไรครับ คุณมาที่นี่ได้อย่างไร มู่วี่สิงมาเป็นเพื่อนหรอ”
เขาที่กำลังพูด พร้อมพาเธอเดินออกมา “ผมจะไปส่งคุณ”
เท้าของเวินจิ้งไม่มีการขยับเขยื้อน “จิ่งห้วน มีอะไรที่ฉันสามารถช่วยได้ไหม ถึงแม้ฉันจะช่วยไม่ได้ แต่ไม่แน่บางทีแม่ฉันอาจจะช่วย…..”
หยูจิ่งห้วนจ้องมองเธอ ชายที่ใบหน้าหล่อเหลามีรอยยิ้มบางๆในขณะนี้ เขาพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “ไม่มีอะไร ดูเหมือนต่อไปผมคงต้องอยู่ที่บ้านตระกูลหยูแล้ว”
ตลอดทางที่เดินลงมา ผ่านห้องรับรองแขก เวินจิ้งจึงได้พบกับคนที่ถูกกล่าวขานการกุมอำนาจของบ้านตระกูลหยูคนนั้น แต่ว่าหยูจิ่งห้วนไม่แม้แต่จะเหลือบตามอง ราวกับว่ามองไม่เห็นท่าน ปกติเวินจิ้งมีรอยยิ้มอยู่ที่บนใบหน้า แต่เวลานี้กลับหายไปไม่หลงเหลือ
“แกจะไปไหน” เวินจิ้งถามเขาด้วยใบหน้าบอกบุญไม่รับ
“ส่งแขก” หยูจิ่งห้วนกล่าวเบาๆ
ทันทีที่เดินถึงประตู เวินจิ้งก็เห็นมู่วี่สิงลงจากรถแล้ว เมื่อสักครู่นั้นหยูจิ่งห้วนได้คว้าข้อมือเธอมาจับไว้ ทำให้ตอนนี้พวกเขาสองคนอยู่ใกล้กันมาก
สีหน้ามู่วี่สิงเคร่งขรึม เดินเข้าไปคว้าเวินจิ้งมาไว้ในอ้อมแขน และหยูจิ่งห้วนก็ได้ปล่อยมือลง
ตั้งแต่ที่หยูจิ่งห้วนลาออกโรงพยาบาลหนานเฉิง ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับมู่วี่สิงก็ไม่ถึงกับว่าดี แต่ก็ไม่ถึงกับแตกหักกัน
“มู่วี่สิง” หยูจิ่งห้วนเรียกชื่อเขา มือข้างหนึ่งที่ล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกง ท่าทีที่สบายๆพร้อมกับรอยยิ้มจางๆบนใบหน้า “ผมหวังว่าครั้งนี้เวินจิ้งอยู่ข้างๆคุณแล้ว คุณจะสามารถดูแลเธอให้ดีที่สุด อย่าได้ทำให้เธอเสียใจอีก”
มู่วี่สิงที่ไม่ได้เอ่ยคำพูดใดๆ เพียงแต่พาเวินจิ้งขึ้นรถไป รถสีดำก็ได้แล่นหายไปจากประตูอย่างรวดเร็ว
“จิ้งจิ้ง คุณอยากทานอะไร พวกเราไปหาอะไรทานกันก่อน”
เวินจิ้งที่ก้มหน้าอยู่กำลังครุ่นคิดเรื่องราวของหยูจิ่งห้วน อดไม่ได้จึงถามขึ้นว่า “ตระกูลหยูทำธุรกิจอะไรหรอ ทำไมหมอหยูถึงได้ปฏิเสธการกลับบ้านอย่างนั้น”
“จิ้งจิ้ง คุณจูบผมหนึ่งที แล้วผมก็จะบอกคุณ”
เวินจิ้งที่ไม่เชื่อเขาแล้วก็ฮุมฮัมขึ้นว่า “คุณก็ไม่รู้แหละ ปกติคุณยุ่งแต่งานผ่าตัด เรื่องเช่นนี้คุณจะไปรู้ได้อย่างไร”
ฝั่งชายพูดอย่างทระนงว่า “เวินจิ้ง เมื่อเทียบกับไอคิวคุณกับผม เรายังห่างชั้นกันอีกเยอะ”
ลูกตาของเวินจิ้งกลอกไปมา ริมฝีปากบนล่างประกบกันแล้วโน้มตัวไปจูบเข้าที่คางที่มีหนวดเคราขึ้นประปราย “พอใจยัง”
แต่วินาทีต่อมา สีหน้าฝ่ายชายดิ่งลงฉับพลัน จอดรถเข้าไว้ข้างทาง แล้วกดเข้าที่คางของเธออย่างดุดันแล้วจูบประกบเข้าที่ริมฝีปากของเธออย่างดุเดือด เมื่อจูบพอใจแล้วจึงยิ้มพร้อมพูดขึ้นว่า “หยูจิ่งห้วนเป็นลูกชายคนรองของบ้านตระกูลหยูช่วงนี้เกิดเรื่องขึ้นกับลูกชายคนโต บริษัทตระกูลหยูขาดคนสืบทอดกิจการ มีเพียงหยูจิ่งห้วนเท่านั้นที่จะรับช่วงต่อได้ ตระกูลหยูทำธุรกิจเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ แต่ว่าหยูจิ่งห้วนนั้นไม่ชอบจึงไม่สนใจ”
ในที่สุดเขาก็ดึงเธอลงจากรถเพื่อทานอาหารเช้า “จิ้งจิ้ง คุณเป็นห่วงเรื่องของคนอื่นจัง”
เรื่องของหยูจิ่งห้วน เป็นเรื่องยากที่คนนอกนั้นจะให้การช่วยเหลือ เวินจิ้งนั้นเข้าใจข้อนี้ดี
เพียงแต่เธอก็เคยผ่านเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อน เธอจึงเข้าใจสถานการณ์ของหยูจิ่งห้วนในจุดจุดนี้
เธอนั้นยืนหยัดจนผ่านมาได้ แต่สำหรับเขาดูเหมือนจะค่อนข้างยากเย็นยิ่งกว่า
……
ประตูถูกเปิดออกหลินยี่มองดูเวยอานที่เข้ามาพร้อมกับหน้าก้มเล็กน้อย เขาขมวดคิ้วขึ้นอย่างยียวน แล้วพูดเบาๆว่า “ผมหิวแล้ว”
เวยอานที่ยังคงก้มหน้า เมื่อตอบรับเสร็จก็วางกระเป๋าลง จานนั้นเดินเข้าไปที่ห้องครัว เดินไปไม่กี่ก้าวก็เดินกลับมาอีก
เธอก้มหน้าลงแล้วกอดเข้ากับชายที่นั่งอยู่บนโซฟา เอาแก้มถูไปถูมาบนไหล่ของเขา น้ำเสียงที่เอื่อยๆของเธอที่ดูราวกับว่ากำลังเศร้า เธอพึมพำขึ้น “เราเลิกกันเถอะ”
หลินยี่ขมวดคิ้วอีกครั้ง บอกเลิกกับเขาแบบนี้เลยหรือ
เขากัดริมฝีปากแล้วพูดเสียงเบาๆว่า “ตกลง”
เขาพูดขึ้นพลางผลักเธอให้ลุกขึ้น แต่ว่ายังไม่ทันที่จะยืนขึ้น ฝ่ายหญิงก็ได้ใช้กำลังโอบกอดเขาไว้ เธอพูดขึ้นอย่างไม่พอใจ “ทำไมคุณถึงใจร้ายเพียงนี้! ทำไมถึงไม่ใช้คำพูดหว่านล้อมเพื่อง้อเธอ”
อารมณ์เธอที่ค่อนข้างแย่ แต่เขาก็ไม่ปลอบใจเธอ เธอรู้สึกเศร้าทรมานเหลือเกิน
หลินยี่ปรับท่าทางอยู่ครู่หนึ่ง แล้วดึงเธอมานั่งบนตักตัวเองแล้วกอดไว้ “ผมได้ทำอาหารเย็นสำหรับคุณไว้แล้ว คุณยังคิดว่าผมไม่งอนง้อคุณอีกหรอ”
เวยอานโอบคอของเขาไว้แล้วพูดขึ้นเบาๆ “ฉันยังหางานไม่ได้เลย ฉันไม่สามารถจะเลี้ยงคุณได้อีกแล้ว”
หลินยี่ที่ไม่ได้พูดอะไร
เวยอานยังคงก้มหน้าก้มตาพูดต่อ ในช่วงนี้ครอบครัวได้ต่อต้านเธอ ระงับบัตรเอทีเอ็มของเธอ และห้ามบริษัทต่างๆรับเธอเข้าทำงาน
ในโลกแห่งเงินตราและอำนาจนั้น เธอไม่สามารถที่จะต่อกรได้เลย
ถูกฝ่ายชายกอดไว้ในอ้อมแขนอย่างเงียบๆ ความอ่อนแอและอยากหาที่พึ่งพาที่อยู่ก้นบึ้งในหัวใจเธอค่อยๆเผยออกมาให้เห็น “ไม่ง่ายเลยกว่าจะได้งานธุรการมา แต่กลับมาเจอหัวหน้าที่น่ารังเกียจ…..”
หลินยี่ยังคงพูดขึ้นเบาๆ “ดังนั้นคุณจึงลาออกแล้ว ผมทุ่มเทเวลามาหลายปีเพื่อเปิดบริษัทให้คุณ แต่คุณกลับจากไปแบบนี้”
เวยอานที่ยังไม่รู้ตัว ได้แต่พร่ำบ่นอย่างต่อเนื่องกับเขา “กว่าจะมีบริษัทรับฉันเข้าทำงาน และฉันก็คิดว่าดี…..”
ทันใดนั้น เหมือนเธอจะคิดอะไรขึ้นได้ ตาเบิกกว้างฉับพลัน “เมื่อกี้คุณพูดว่าอะไรนะ”
หลินยี่ที่กำลังลูบไล้ผมยาวสลวยของเธอ น้ำเสียงที่ยังคงแผ่วเบา “ผมไม่คิดว่าลูกน้องผมจะเป็นคนแบบนี้”
เวยอานกะพริบตาปริบๆ “ฉันไม่รู้ว่าคุณกำลังพูดเรื่องอะไร…..”
เขาหรี่ตา “หัวหน้าคนนั้นเขาน่ารังเกียจยังไง”
เธอต่อคำพูดของเขา “หรือคุณอยากจะลอกเลียนแบบเขาหรอ”
“ก็อยากรู้ว่าเขาทำอะไรบ้าง”
เวยอานคิดอยู่สักพัก แล้วตอบไปอย่างตั้งใจ “อย่างนั้นคุณก็เลียนแบบเขาไปเหอะ เขาหลอกให้ฉันไปคุยงานที่โรงแรม ฉันเกือบจะถูกข่มขืน”
ความสามารถของหัวหน้าคนใหม่ไม่เลวเลยทีเดียว ในตอนแรกเธอเชื่อใจและชื่นชมในตัวเขา แต่แค่ไม่คาดคิดว่าธาตุแท้เขาจะเป็นคนแบบนี้
หลินยี่จับคางของเธอไว้ แววตาเย็นเยือกในทันใด เสียงทุ้มต่ำที่ฟังดูแล้วรู้สึกหนาวจนน่าขนลุก “คุณบอกว่าชายสารเลวคนนั้นหลอกคุณไปโรงแรมอย่างนั้นเหรอ