Flash Marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน - ตอนที่ 831
บทที่ 831 ยังพอมีคุณธรรมพวกนั้นอยู่บ้าง
“อะไรนะ” อานหยันได้ยินไม่ค่อยถนัด เธอจึงถามขึ้นอีกครั้ง
“ไม่มีอะไร!” ฉินซีไม่สามารถที่จะพูดเรื่องนี้กับคนอื่นได้ จากนั้นทั้งสองคนก็พูดคุยเรื่องสนุกกันต่ออีกหลายประโยค แล้วจึงวางสายโทรศัพท์
ฉินซียังไม่ทันจะได้ดื่มน้ำ เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นอีกครั้ง และครั้งนี้ก็ไม่ใช่ใครอื่นแต่เป็นหซู่หนาน
“ฉินซี เรื่องของหซู่เป่ยได้รับการแก้ไขเรียบร้อยแล้ว! อีกฝ่ายไม่ได้เรียกร้องเงินอีก ดูเหมือนจะเลิกแบล็คเมล์แล้วด้วย!”
เธอฟังออกเลยว่าน้ำเสียงของเขาราวกับได้ปลดเปลื้องภาระที่หนักอึ้ง น้ำเสียงของฉินซีจึงเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนขึ้นเล็กน้อย
ฉินซีไม่ได้คิดจะใช้ความสำเร็จเพื่อขอรางวัล เพียงตอบกลับไปเบา ๆ ว่า “เป็นแบบนั้นก็ดีแล้ว”
หซู่หนานไม่ได้ถูกความเย็นชานั้นของเธอทำให้หนีไป ทั้งเขายังถามขึ้นมาตรง ๆ ทันทีว่า “ฉินซี เธอเป็นคนช่วยฉันช่วยไหม”
ฉินซีส่ายหน้า “คุณคิดมากเกินไปแล้ว ฉันจะไปหายืมเงินห้าสิบล้านมาได้จากที่ไหนกัน”
หซู่หนานไม่เชื่อ “แต่เรื่องนี้ไม่มีทางที่จะจัดการแก้ไขได้โดยไร้สาเหตุ ฉินซี หซู่เป่ยเป็นน้องชายของฉัน ดังนั้นเรื่องนี้ก็ควรเป็นฉันที่เป็นคนจัดการ เธอทำอะไร เธอต้องบอกฉัน ฉันจะรับผิดชอบเอง ”
ฉินซีแอบกลอกตาในใจ หซู่หนานจะรับผิดชอบ ‘ความยากลำบาก’ ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนวานของเธอได้ยังไงกันเล่า
แต่ถ้าหากยังคงปฏิเสธต่อไป หซู่หนานจะต้องไม่ปล่อยเรื่องนี้ไปแน่นอน ฉินซีจึงพูดอธิบายขึ้นมาอย่างคลุมเครือว่า “ฉันไม่ได้ทำอะไรเลยจริง ๆ ก็แค่หาอะไรมาแบล็คเมล์อีกฝ่าย หาเพื่อนมาช่วยก็เท่านั้น”
“เพื่อนเหรอ” หซู่หนานยังคงไม่เชื่อเธอร้อยเปอร์เซ็นต์ “ต้องใช้น้ำใจมากมายขนาดนั้น ทำไมเพื่อนคนนั้นถึงยังช่วยเธออีก ถ้ามีเวลาว่างเมื่อไหร่ก็มาเล่าให้พวกเราฟังต่อหน้านะ”
ความจริงแล้วเขาก็พอจะเดาได้อยู่บ้าง อาจจะเป็นผู้ชายที่สามารถปิดท้องฟ้าด้วยมือเดียวคนนั้น
ฉินซีไม่อยากดึงหซู่หนานเข้ามามีส่วนร่วมมากเกินไป “หซู่หนาน เรื่องที่เกิดขึ้นกับน้องชายของคุณเดิมทีก็เป็นเพราะฉัน ถ้าตอนนั้นฉันไม่ได้ถ่ายรูปไว้ หรือว่าไม่ลืมทำลายเมมโมรี่การ์ด เรื่องพวกนี้ก็คงไม่เกิดขึ้น ดังนั้นการที่ฉันทำอะไรลงไปก็ล้วนเป็นเรื่องที่สมควรทำ ในเมื่อเรื่องพวกนี้ได้รับการแก้ไขแล้ว คุณไม่จำเป็นต้องถามอะไรอีก พวกเราไม่จำเป็นจะต้องเจอกันอีก เพียงแต่หลังจากนี้ก็จำเอาไว้ด้วยว่าต้องหมั่นเตือนน้องชายคุณ ในเมื่อเขาเป็นคนในวงการบันเทิง ก็ควรที่จะระมัดระวังพฤติกรรมของตัวเองเอาไว้บ้าง”
ล้อเล่นเถอะ เมื่อวานเธอเพิ่งจะรับปากลู่เซิ่นว่าเธอจะไม่พบหซู่หนานอีก เธอใช้เรื่องนี้เป็นตัวต่อรองในการจัดการปัญหานี้ ถ้าวันนี้เธอยังไปพบเขาอีก จะไม่เรียกว่าเป็นการทำลายชีวิตตัวเองหรือยังไง
ฉินซีพูดจบก็กำลังจะวางสายโทรศัพท์ แต่ไม่คาดคิดว่าจะได้ยินเสียงเศร้า ๆ ดังขึ้นมาจากอีกด้าน “ฉินซี แค่จะพูดมากกว่าสองสามประโยคเธอก็ไม่ยอมให้ฉันทำเชียวเหรอ”
ฉินซีใจอ่อนลงทันที แต่พอคิดว่าตอนนี้หซู่หนานเป็นคนรักของฉินหว่าน ความใจอ่อนพวกนั้นก็มลายหายไปจนหมด
“ใช่ พวกเราไม่มีอะไรที่จะต้องพูดกันอีก หลังจากนี้ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องเจอกันอีก”
พูดจบเธอก็วางสายโทรศัพท์ทันที ไม่ได้รับสายของหซู่หนานที่ยังคงโทรเข้ามาอีกหลายครั้ง
เธอลุกขึ้นจากเตียงแล้วจัดการตัวเองให้เรียบร้อย ทันทีที่เปิดประตู ก็พบว่าพ่อบ้านยืนอยู่ที่หน้าประตูแล้ว
“นี่คุณ…” ฉินซีมองอีกฝ่ายด้วยความสับสนเล็กน้อย อีกฝ่ายส่งยิ้มให้เธอ
“คุณผู้ชายกำชับไว้ว่า ถ้าถึงเวลาอาหารเที่ยงแล้วคุณยังไม่ตื่นนอน ก็ให้มาปลุกคุณ” พ่อบ้านตอบคำถามของเธออย่างสุภาพ
ฉินซีรู้สึกอบอุ่นไปทั่วทั้งหัวใจ
คิดไม่ถึงเลยว่าลู่เซิ่นยังจะพอมีคุณธรรมพวกนั้นอยู่บ้าง
เธอลงไปข้างล่างพร้อมพ่อบ้าน จากนั้นก็ไปนั่งอยู่ตรงหน้าโต๊ะรับประทานอาหาร พวกคนรับใช้ยกอาหารเที่ยงขึ้นมาวางบนโต๊ะ พวกเขารู้ว่าเธอชอบอยู่คนเดียว จึงออกไปจากห้องอาหารกันอย่างเงียบๆ
ระหว่างที่ฉินซีกำลังกินข้าวเที่ยง ความคิดก็ล่องลอยไปไกล
เธอที่อยู่ที่รีสอร์ทชิงหยวนมาหนึ่งปีแล้ว
ก่อนหน้านี้ก็ไม่มีอะไรสักอย่าง แบกรับหนี้สินและความเกลียดชังเอาไว้เต็มแผ่นหลัง
ทว่าอยู่ ๆ ลู่เซิ่นก็ร่วงหล่นลงมาจากท้องฟ้า เขาช่วยเธอให้หลุดพ้นจากชะตากรรมที่ยากลำบาก ทำให้เธอสามารถเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง
ถ้าหากไม่ได้พบหซู่หนาน เธอก็คงลืมเลือนเรื่องพวกนี้ไปจนหมดสิ้นตั้งนานแล้ว
…
หซู่หนานพยายามโทรหาเธอกว่ายี่สิบสาย ช่วงแรก ๆ ก็แค่ไม่มีคนรับสาย แต่หลังจากนั้นก็ไม่สามารถที่จะโทรออกได้แล้ว
บางทีฉินซีอาจจะรำคาญเลยบล็อกเบอร์โทรศัพท์ของเขาไปแล้วก็ได้
แต่เขาก็ไม่ย่อท้อหรอกนะ ในเมื่อยังมีโอกาสได้พบกันอีก ในอนาคตก็ต้องมีโอกาสได้พบกันมากขึ้นอย่างแน่นอน
เขาไม่รีบร้อน
เพียงแต่…ความจริงแล้วใครเป็นคนจัดการเรื่องของหซู่เป่ยกันแน่ เขาไม่มีทางล้มเลิกการสืบหาเพียงเพราะคำพูดพวกนั้นของฉินซีหรอกนะ
คนที่ฉินซีเรียกว่า ‘เพื่อน’ นั้น ความจริงแล้วเป็นเทพเซียนจากที่ไหนกันแน่ สามารถจัดการเรื่องพวกนี้ได้ทันที จะไม่ใช้เงินแม้แต่สตางค์เดียวเชียวเหรอ
รูปภาพมาจากไหน เขียนร่างเมื่อไหร่ ติดต่อบริษัท พีอาร์ตั้งแต่ตอนไหน
เพื่อนแบบไหนที่มีความสามารถมากมายขนาดนี้
หซู่หนานคิดไปถึงวันที่ได้เจอกับฉินซี วันนั้นเธอขับรถเบนท์ลีย์
เขาขมวดคิ้ว บังเกิดความคิดไม่ดีขึ้นมาในหัว
แต่ท้ายที่สุดเขาก็เลือกที่จะเชื่อใจฉินซี จึงตัดความคิดพวกนั้นทิ้งไปจากสมอง เปิดโทรศัพท์แล้วกดโทรออกอีกครั้ง
“หซู่เป่ย แกไปถามบริษัททีสิว่าพวกสื่อที่ไหนที่ช่วยแกประชาสัมพันธ์”
เสียงของหซู่เป่ยเต็มไปด้วยความเกียจคร้าน “พี่ เรื่องก็จัดการเสร็จเรียบร้อยแล้ว ทำไมยังจะต้องถามอะไรมากมายขนาดนั้น”
เมื่อคืนเขากลัวมากจนนอนไม่หลับ ตอนนี้ก็เลยยังอยากจะงีบต่อสักหน่อย รู้สึกอารมณ์ไม่ดีขึ้นมาหน่อย ๆ แล้ว
ทว่าหซู่หนานยังคงยืนยันคำเดิม “ไปถามมาก่อน”
“ก็ได้” หซู่เป่ยโทรหาตัวแทนอย่างไม่เต็มใจ จากนั้นก็เอาใบแสดงรายละเอียดที่ได้รับมาส่งไปให้หซู่หนาน
หซู่หนานตอบกลับไปว่าได้รับแล้ว จากนั้นสักพักก็พูดขึ้นมาอีก
“หลังจากนี้ก็ดูแลส่วนล่างของตัวเองให้ดี ๆ ล่ะ”
หซู่เป่ยริมฝีปาก สุดท้ายเขาไม่ได้เอาคำพูดพวกนั้นมาใส่ใจ เพียงแต่เขารู้สึกสับสนกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นนี้เล็กน้อย
พี่ชายรีบร้อนขนาดนี้ ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ใช่คนที่จัดการเรื่องทั้งหมด ทางฝ่ายตัวแทนเองก็ไม่ชัดเจน ราวกับว่าไม่ได้เป็นฝีมือของบริษัท
แล้วเป็นใครกันล่ะ
ลู่เซิ่นที่เป็นผู้อยู่เบื้องหลังกำลังประชุมอย่างจิตใจล่องลอย
ผู้จัดการที่รายงานผลความสำเร็จอันยิ่งใหญ่เห็นท่าทางที่ไม่ตั้งใจของเขาแล้วก็เริ่มรู้สึกไม่มั่นใจ เสียงที่ใช้รายงานค่อย ๆ เบาลงเรื่อย ๆ
มีเพียงผู้ช่วยที่ยืนอยู่ข้างกายลู่เซิ่นเท่านั้นที่รู้ว่าท่านประธานไม่ได้ไม่พอใจกับการรายงานในครั้งนี้ เขาเพียงเอาแต่จดจ้องอยู่กับโทรศัพท์ก็เท่านั้น
ทว่าเสียงโทรศัพท์ก็ไม่ได้ดังขึ้นในตลอดช่วงเช้า ผู้ช่วยคิดไม่ออกว่ามีการร่วมมือที่สำคัญอะไรที่ทำให้ท่านประธานต้องดำเนินการด้วยตัวเองแบบนี้ เขาจึงยืนรออยู่ข้าง ๆ อย่างเงียบ ๆ
ในที่สุดผู้จัดการก็รายงานเสร็จสิ้น ก้มศีรษะเตรียมพร้อมรับแรงกระแทกจากลู่เซิ่น แต่คิดไม่ถึงเลยว่าลู่เซิ่นจะแค่โบกมือเบา ๆ “ต่อไป”
ความสงสัยปรากฏขึ้นเต็มใบหน้า แต่ผู้ช่วยมองออกว่าตอนนี้ลู่เซิ่นอารมณ์ไม่ค่อยดีนะ ถ้าผู้จัดการยังอยู่ต่ออีกสักพักก็กลัวว่าเขาจะเดือดร้อนขึ้นมา จึงรีบส่งสายตาให้เขา
พอผู้จัดการได้รับสัญญาณนี้จากคุณผู้ช่วย ก็รีบวิ่งออกมาจากห้องประชุมอย่างรวดเร็ว คุณผู้ช่วยลังเลเล็กน้อยแล้วจึงเดินไปยืนอยู่ตรงหน้าลู่เซิ่น “ประธานลู่ครับ ตอนนี้ได้เวลาอาหารเที่ยงแล้ว มีการจัดเตรียมให้ไปทานอาหารร่วมกับผู้จัดการทั่วไปของบริษัทM ”
ลู่เซิ่นขมวดคิ้ว แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่ถือโทรศัพท์ไว้ในมือ บอกใบ้ให้ผู้ช่วยไปหยิบเสื้อนอกมา
ผู้ช่วยคิดว่าเขาอารมณ์ไม่ดีและอาจต้องการยกเลิกมื้อกลางวัน ในใจเริ่มคิดแล้วว่าจะจัดแผนสำหรับผู้จัดการทั่วไปของบริษัทMใหม่อีกครั้งอย่างไร
ในตอนนี้เองเขาก็ได้รับสัญญาณที่ส่งมาจากท่านประธาน จึงรีบดำเนินการอย่างรวดเร็ว
ลู่เซิ่นมองไปที่โทรศัพท์อีกครั้ง แต่ทันใดนั้นโทรศัพท์ก็สั่นขึ้น
คนที่โทรเข้ามาไม่ใช่ใครอื่นแต่เป็นฉินซี