Flash Marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน - ตอนที่ 837
บทที่ 837 จะขายหน้าก็ขายหน้าแค่ครั้งเดียว
วันนั้นตอนที่ฉินซึ่งเทียนเรียกฉินซีไปพบในห้องหนังสือ ถึงแม้ว่าหลี่เหวยจะไปแล้ว แต่เธอก็ยังคงเหลือคนที่ไว้ใจได้เอาไว้ที่นั่น
รอฉินซีกลับไปแล้วเธอก็ค่อยเดินเข้าไปในห้องหนังสือ
“ดูเหมือนว่าฉินซี…จะไม่ค่อยยอมรับฉันสักเท่าไหร่…” หลี่เหวยขมวดคิ้ว ดูจากภายนอกแล้ว เธอช่างเป็นผู้หญิงที่อ่อนโยนมากจริง ๆ
ฉินซึ่งเทียนที่ถูกความต้องการของฉินซีทำให้อารมณ์ไม่ดี โบกมือแล้วพูดว่า “ช่างเถอะ ถึงฉินซีจะไม่ยอมรับ ฉันก็ยังแต่งงานกับเธออยู่ดี”
หลี่เหวยหันกลับไปแล้วยกอาหารมา “ดูเหมือนว่าเมื่อคืนคุณยังจะไม่ได้ทานอะไร หลายวันก่อนก็ยังไออีก ฉันเลยให้พ่อครัวตุ๋นซุปสาลี่มาให้ คุณก็ทานให้ชุ่มคอก่อนเถอะค่ะ”
ฉินซึ่งเทียนรับถ้วยมา เมื่อได้ดื่มซุปอุ่นร้อนเข้าไปในท้อง อารมณ์ของเขาก็ดีขึ้นไม่น้อย เขาลูบไหล่ของหลี่เหวยแล้วพูดว่า “ยังดีที่มีเธออยู่ด้วยกัน ไม่เหมือนแม่ของฉินซี ผู้หญิงที่มีจิตใจเหมือนพวกอสรพิษ…”
หลี่เหวยโถมเข้าไปในอ้อมกอดของเขา พูดออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “เกิดอะไรขึ้นอย่างนั้นเหรอคะ”
ฉินซึ่งเทียนขมวดคิ้วขมวดคิ้ว จากนั้นก็ถอนหายใจยาว “อย่าพูดถึงเลย”
หลี่เหวยไม่ได้ไล่ถามต่อ เพียงแค่บอกให้เขารีบทานซุปให้หมด
เธอเข้าใจนิสัยของฉินซึ่งเทียน เป็นอย่างดี หากเธอยังคงไล่ถามต่อ อาจจะก่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ตรงกันข้าม
พอเขาทานซุปจนหมดก็คงอดกลั้นไว้ไม่ได้ ตามธรรมชาติแล้วเขาจะต้องพูดมันออกมาเองอย่างแน่นอน
เป็นอย่างที่คาดไว้ เมื่อชามว่างเปล่า ฉินซึ่งเทียนก็เช็ดปาก ก่อนจะถอนหายใจแล้วพูดออกมาว่า “ตอนที่ฉันแต่งงานกับแม่ของฉินซี พ่อของฉันยกหุ้นยี่สิบเปอร์เซ็นต์ของฉินซื่อกรุ๊ปเธอเป็นสินสอด หลังจากที่เธอตายไปแล้วก็ทำพินัยกรรมยกหุ้นพวกนั้นให้กับฉินซี”
“อะไรนะคะ” หลี่เหวยเกือบจะควบคุมสีหน้าของตัวเองเอาไว้ไม่อยู่ เงยหน้าขึ้นมาอย่างตื่นเต้นตกใจ
ในพื้นที่ที่ฉินซึ่งเทียนมองไม่เห็น พยายามบังคับให้ตัวเองอย่าแสดงความรู้สึกอิจฉาริษยาพวกนั้นออกมา
เธอต้องทนแบกรับความอัปยศอดสูข้างฉินซึ่งเทียนอยู่นานหลายปี ไม่ง่ายเลยที่จะได้แต่งงานกับเขา จนถึงตอนนี้นอกจากคำว่าคุณนายหญิงตระกูลฉินแล้วก็ไม่เคยได้รับอย่างอื่นอีก
ทำไมกัน ทำไมผู้หญิงคนนั้นถึงได้รับหุ้นล่ะ
แม้ว่าการแสดงออกของเธอแทบจะไม่มีข้อบกพร่อง ฉินซึ่งเทียนก็ยังคงรับรู้ได้ถึงความอารมณ์ความรู้สึกของเธอ จึงตบเธอเบา ๆ แล้วกล่าวปลอบว่า “ฉันจะไม่ปล่อยให้เด็กคนนั้นทำสำเร็จอย่างง่าย ๆ แน่”
ถึงแม้ว่าฉินซึ่งเทียนจะรับปากเอาไว้แบบนั้น แต่หลี่เหวยก็ไม่ได้คิดที่จะเชื่อเขาทั้งหมด ดังนั้นนี่จึงเป็นเหตุผลที่เธอทำจดหมายขู่ขึ้นมา
ไม่ใช่เพราะว่าหลี่เหวยไม่มีสมอง ก่อนหน้านี้เธอเคยได้ยินหว่านหว่านพูดถึงฉินซีอยู่หลายครั้ง จึงรู้ว่าตอนนี้ฉินซีทำงานเป็นช่างภาพให้กับบริษัทหนังสือพิมพ์ เธอยังมีหนี้ก้อนโตที่แม่ของเธอทิ้งเอาไว้ให้ นอกจากนั้นก็ไม่ได้มีอะไรอีก
ทำไมคนแบบนี้ถึงได้มีความสามารถขนาดนี้ได้
เพียงแต่เธอคิดไม่ถึงเลยว่าผู้หญิงคนนั้นจะสามารถสืบสาวมาถึงตัวเธอได้
หลี่เหวยรู้ว่าช่วงเวลานี้ฉินซึ่งเทียนยังคงเลือกที่จะเชื่อใจเธอ ดังนั้นเขาจึงไม่ใช่ปัญหา ฉินซีต่างหากที่เป็นปัญหาใหญ่
ทว่า…เธอจะคิดอย่างไรก็ไม่เข้าใจ ฉินซีใช้วิธีการใดในการสืบหากันนะ
ก็ไม่แปลกใจที่หลี่เหวยจะสงสัย ลู่เซิ่นให้คนไปตรวจสอบกล้องวงจรปิด เป็นคนตรวจสอบการจดจำใบหน้าและการไหลเวียนของเงินในบัญชีธนาคาร นอกจากลู่เซิ่นแล้ว มันยากมากที่จะมีคนอื่นในประเทศ F สามารถทำเรื่องแบบนี้ได้
แต่หลี่เหวยไม่รู้ถึงความสัมพันธ์ของฉินซีกับลู่เซิ่น เป็นธรรมดาที่เธอจะคิดไม่ถึงว่าด้านหลังของฉินซีมีคนคอยให้ความช่วยเหลืออยู่
เธออยู่ในห้องน้ำพักใหญ่ จนกระทั่งคนรับใช้มาเคาะประตูบอกให้เธอไปทานข้าว
ฉินซึ่งเทียนได้ยินว่าเธอขังตัวเองอยู่ในห้องน้ำครึ่งค่อนวัน จึงคิดว่าความสงสัยของตัวเองทำร้ายเธอเข้าแล้ว เขาจึงใช้คำพูดดี ๆ ปลอบโยนเธออยู่นาน
…
ตอนมาลู่เซิ่นกับฉินซีก็นั่งรถคันเดียวกันมา ตอนกลับจึงไม่มีเหตุผลที่จะต้องแยกกันกลับ
ตอนที่ลู่เซิ่นเข้าไปนั่งในรถสีหน้าของเขาก็ไม่ได้มีอะไรที่ผิดปกติ แต่ฉินซีกลับรู้สึกหนาว ๆ
ดังนั้นเธอจึงพิงประตูรถ พยายามที่จะอยู่ให้ห่างจากลู่เซิ่น
หากลู่เซิ่นใช้ช่วงเวลานี้ในการถามถึงต้นตอที่แท้จริงของปัญหา เธอก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะตอบยังไงให้เขาไม่รู้สึกสงสัย
ถึงอย่างไรเขาก็คือลู่เซิ่น เมื่อไหร่ที่เขารู้ว่ามีบางสิ่งบางอย่างที่ผิดปกติ ถึงแม้ว่าเรื่องพินัยกรรมนี้จะมีแค่เธอกลับทนายความจ้าวที่รู้ แต่แค่ลู่เซิ่นเริ่มสืบหา ไม่นานก็คงหาคำตอบทั้งหมดออกมาได้อย่างชัดเจน
ไม่ใช่ว่าเธอไม่รู้ว่าทางเลือกที่ดีที่สุดก็คือการที่เธอเอ่ยปากพูดมันออกมาเอง
เพียงแต่…เธอมีความรู้สึกว่าถ้าเธอพูดออกมาตอนนี้ เกรงว่าคงยากที่จะมีจุดจบที่ดี
ถ้าอย่างนั้นก็รออีกสักพักเถอะ รอจนกว่าจะมีโอกาสดี ๆ ค่อยพูดแล้วกัน
ฉินซีแบกความหวาดผวาเอาไว้ในหัวใจไปจนถึงครึ่งทาง จดจ่อความสนใจทั้งหมดไปกับการคิดว่าควรจะหาโอกาสพูดเมื่อไหร่ดี ไม่รู้ตัวเลยว่ารถกำลังมุ่งหน้าไปทางไหน
ตอนที่ดึงสติกลับมาได้ รถก็จอดตรงหน้าร้านอาหารร้านหนึ่ง
เธอเงยหน้ามองป้ายชื่อร้าน เป็นร้านที่ถ้าไม่จองล่วงหน้าก่อนครึ่งเดือนก็จะไม่มีที่นั่ง เป็นสไตล์ของลู่เซิ่น
ทว่า…เป็นร้านอาหารร้านนี้เป็นร้านที่จะเสิร์ฟอาหารให้กับคนสองคนที่นัดเจอกัน ลู่เซิ่นจะประชุมเรื่องอะไรกันแน่ถึงได้มาจัดที่นี่
ตอนนี้เธอกำลังพยายามอย่างหนักที่จะหลีกเลี่ยงการพูดคุยกับเขา ดังนั้นเธอจึงไม่ถามอะไรมาก เพียงเดินตามลู่เซิ่นเข้าไปข้างใน
แน่นอนว่าข้างในร้านมีเพียงโต๊ะสำหรับสองคน ทำเลที่ลู่เซิ่นเลือกไว้ดีมาก เป็นตำแหน่งที่อยู่ตรงหัวมุมของร้านอาหาร ไม่เงียบจนเกินไป และยังให้ความเป็นส่วนตัวได้อย่างเพียงพอ
ฉินซีเดินตามเขามา ก็เห็นว่ามีที่นั่งอยู่เพียงสองที่ จึงตัดสินใจไม่ได้อยู่ครู่หนึ่งว่าควรจะนั่งลงไปหรือเปล่า
เมื่อลู่เซิ่นนั่งลงไปแล้ว ผู้ช่วยก็ไปขยับเก้าอี้อีกด้านหนึ่ง จากนั้นก็หันไปมองฉินซีที่ยังคงยืนอยู่ตรงที่เดิมมีความรู้สึกสงสัยเล็กน้อย “คุณไม่นั่งเหรอครับ”
ตอนนี้ถ้าฉินซียังคงไม่รู้อีกว่าลู่เซิ่นนัดใครไว้ก็คงโง่แล้ว แต่ว่าในเมื่อมาแล้ว อีกทั้งเธอเองก็ไม่ได้มีงานอดิเรกอย่างการอดอาหารทรมานตัวเอง จึงพยักหน้าให้ผู้ช่วยแล้วนั่งลง
คุณผู้ช่วยออกไปสั่งอาหาร ที่โต๊ะจึงเหลือเพียงลู่เซิ่นกับฉินซีแค่สองคน โชคดีที่ลู่เซิ่นกำลังก้มหน้ามองแท็บเล็ตอยู่ ดูเหมือนว่าเขากำลังจัดการเอกสาร จึงสามารถหลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่คนสองคนอยู่ด้วยกันแต่กลับไม่ยอมพูดคุยกันได้
ฉินซีมองไปรอบ ๆ ก่อนลุกขึ้นและพูดว่า “ฉันจะไปห้องน้ำ”
เพื่อความเป็นส่วนตัว ร้านอาหารเลยออกแบบอย่างค่อนข้างซับซ้อน ฉินซีเลี้ยวไปมาอยู่หลายหน ทันใดนั้นก็หลงทางเข้าจนได้
เธอคิดที่จะไปถามพนักงาน แต่เพราะเพื่อความเป็นส่วนตัวแล้ว ที่นี่จึงมีพนักงานอยู่น้อยมาก
ฉินซีเดินย้อนกลับไปก็ไม่เห็นแม้แต่เงาคน
ในช่วงเวลาที่ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรนั้นเอง เธอก็ทำได้แค่หยิบโทรศัพท์ขึ้นมา
ถึงแม้ว่าการโทรศัพท์หาลู่เซิ่นเพื่อขอความช่วยเหลือที่ตัวเองหลงทางในร้านอาหารจะเป็นเรื่องน่าอาย แต่มันก็ยังดีกว่าปล่อยให้ตัวเองเดินสะเปะสะปะไปมาแบบนี้ต่อไป
ฉินซีปลอบตัวเองอยู่ในใจ
วินาทีก่อนที่จะกดปุ่มโทร ทันใดนั้นก็มีเสียงของคนดังขึ้นมาจากมุมด้านหน้า
หลงทางแล้วถามคนแปลกหน้าแบบนี้น่าจะดีกว่าหรือเปล่า ถึงอย่างไรก็เจอกันแค่ครั้งเดียว จะขายหน้าก็ขายหน้าแค่ครั้งเดียว!
เมื่อคิดได้แบบนี้แล้ว ฉินซีก็รีบเก็บโทรศัพท์ แล้วเดินไปหาที่มาของเสียง
“สวัสดีค่ะ ขอถามหน่อยค่ะว่า…” เธอเพิ่งจะมองเห็นเงาคน ก็รีบพุ่งตัวเดินเข้าไปถามทันที
ทว่าเมื่อเธอมองเห็นคน ๆ นั้นอย่างชัดเจน ก็หยุดเท้าทันที จากนั้นก็ยิ้มมุมปากอย่างเย้ยหยันตัวเอง
พระเจ้า ทำไมตลอดปีมานี้ถึงไม่เคยเจอเขาเลยสักครั้ง แต่ช่วงนี้กลับได้พบหน้าเขาอยู่ตลอด
นั่นก็เพราะคนที่อยู่ตรงหน้าไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นหซู่หนาน
เมื่อหซู่หนานมองเห็นว่าเป็นเธอ บนใบหน้าของเขาก็ปรากฏความประหลาดใจขึ้นมา “ฉินซี ทำไมเธอถึงมาอยู่ที่นี่ได้”
ฉินซีก้าวถอยหลังเล็กน้อย พยักหน้าพูดออกมาอย่างขอไปทีว่า “มาที่นี่จะให้ทำอะไรล่ะ ก็มากินข้าวน่ะสิ”
เธอรู้สึกเสียใจภายหลังแล้ว รู้เร็วกว่านี้ก็คงจะโทรศัพท์หาลู่เซิ่นอย่างไม่กลัวอับอายขายขี้หน้า ไม่ว่ายังไงก็ยังดีกว่าการที่ต้องขายหน้าหซู่หนาน