Flash Marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน - ตอนที่ 864
บทที่ 864 ทรัพย์สินส่วนใหญ่ของครอบครัว
หซู่หนานยิ้มเนือยๆ “ฉันเหนื่อยจากงานนิดหน่อย ขอโทษนะ ”
ฉินหว่านทำเสียงฮึดฮัด หันหน้าเดินกลับเข้าไปข้างในโดยที่ไม่รอเขา
คนรับใช้ยิ้มให้หซู่หนานอย่างเก้ๆกังๆ เดินนำเขาไปที่ห้องอาหาร
ฉินซึ่งเทียนและ หลี่เหวยอยู่ในห้องอาหารแล้ว
สีหน้าของฉินซึ่งเทียนและหลี่เหวยดูไม่ค่อยดีนัก เมื่อเห็นว่าหซู่หนานมาถึงก็แค่ทักทายเพียงเล็กน้อย
หซู่หนานนั่งลงข้างๆ ฉินหว่านแต่เธอกลับหันหน้าหนี
หากเป็นเมื่อก่อน หซู่หนานอาจโปรยคำหวานเพื่อประโลมเธอ แต่ตอนนี้เขาไม่มีกะจิตกะใจจะทำเรื่องแบบนั้น
อารมณ์ฉุนเฉียวของฉินหว่านนั้นเป็นเหมือนกับเด็กผู้หญิงทั่วๆไป แค่หวังว่าแฟนหนุ่มจะแสดงให้เห็นว่าตัวเองสำคัญที่สุด มันไม่ร้ายแรงเพียงแค่คำปลอบโยนไม่กี่คำก็ทำให้ดีขึ้นแล้ว
แต่หซู่หนานเมินเฉยต่อความโกรธของฉินหว่าน
เกิดอะไรขึ้นกับเขากันแน่!
ฉินหว่านคิดจะใช้ประโยชน์จากเรื่องนี้แผลงฤทธิ์ แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นก็เห็นสายตาเป็นเชิงเตือนจาก หลี่เหวย
…อย่าทำให้พ่อของแกโกรธอีก
คำพูดหลี่เหวยดังขึ้นในหัวของเธอ
ฉันไม่ได้จะหาเรื่องให้พ่อสักหน่อย
ฉินหว่านบ่นในใจ แต่เพราะเห็นสีหน้าจริงจังของเแม่ ส่วนฉินซึ่งเทียนก็ขมวดคิ้วเป็นปมแน่น เธอจึงไม่กล้าสร้างปัญหา ทำได้เพียงลดศีรษะลงอย่างไม่เต็มใจนัก
“คนครบแล้วนี่ เสิร์ฟอาหารสิ” หลี่เหวยหันกลับไปสั่งคนรับใช้
อาหารค่อยๆเสิร์ฟทีละจาน แต่ละจานมีความละเอียดอ่อนและดูน่ารับประทาน
แต่ทั้งสี่คนที่อยู่ข้างโต๊ะอาหาร แต่ละคนกลับคิดเรื่องต่างๆของตัวเองอยู่
……
ฉินซีมาช้าเพราะหซู่หนานที่ทำให้เสียเวลา เมื่อเธอมาถึงสำนักงานกฎหมายก็เป็นเวลาพักทานอาหารพอดี
ทนายความจ้าวยังคงรอเธออยู่ที่สำนักงาน นั่นทำให้ฉินซียิ่งรู้สึกเกรงใจ “ฉันขอเชิญคุณทานอาหารด้วยกันสักมื้อ พวกเรากินไปคุยไปก็ได้ค่ะ”
ทั้งสองคนไปที่ร้านอาหารข้างสำนักงานกฎหมาย
แม้จะบอกว่ามาทานอาหาร แต่ในใจของทั้งสองคนกลับไม่ได้คิดถึงเรื่องอาหารอยู่เลย
ฉินซีก้มอ่านเอกสารที่ทนายความจ้าวนำมาให้อย่างละเอียด “นี่คือปัญหาที่คุณพูดถึงก่อนหน้านี้รึเปล่าคะ”
ทนายความจ้าวพยักหน้า “ตอนนี้คุณได้ถือหุ้น หากนับตามเวลาแล้วก็คือหลังจากแต่งงาน ยิ่งไปกว่านั้นเนื่องจากการรับช่วงต่อหุ้นนี้จะต้องอยู่ในเงื่อนไขการแต่งงานของคุณ ดังนั้นจึงถือเป็นทรัพย์สินร่วมกันของสามีและภรรยา หากคุณและลู่เซิ่นจะหย่ากันในภายหลัง เขาสามารถยื่นเรื่องขอแบ่งหุ้นได้ ”
ฉินซีขมวดคิ้วเป็นปม
เธอรู้เรื่องธุรกิจครอบครัวของตระกูลลู่ในความเป็นจริงอาจจะดูถูกหุ้นตระกูลฉินที่เธอถืออยู่เลยก็ว่าได้
แต่…ตามบุคลิกที่คาดเดาไม่ได้ของลู่เซิ่นแล้ว เธอคาดการณ์ไม่ได้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้น
“ไม่มีทางแก้ปัญหานี้เลยเหรอคะ” ฉินซีพลิกดูเอกสาร สีหน้าของเธอดูจริงจัง
ทนายความจ้าวเม้มริมฝีปาก “คือนี่…ต้องดูข้อตกลงก่อนสมรสที่คุณสองคนลงนามตอนที่คุณแต่งงานกัน”
“ข้อตกลงก่อนสมรส?” นัยน์ตาของฉินซีสับสนอยู่ครู่หนึ่ง
“คุณสองคน…ไม่ได้ลงนามในข้อตกลง?” ทนายความจ้าวมองอย่างเหลือเชื่อ
ฉินซีขมวดคิ้วค่อยๆคิดทบทวน เธอส่ายหัวอย่างไม่แน่ใจ “อาจจะ…เซ็น แต่เป็นแค่กระดาษธรรมดา ไม่น่าจะสำคัญอะไร”
ท่าทีของทนายความจ้าวดูตกใจมากยิ่งขึ้น “จะเป็นไปได้ยังไงกัน สถานะของคนอย่างลู่เซิ่นแต่งงานทั้งที ไม่มีทางที่จะไม่ลงนามข้อตกลงก่อนแต่งงานนะครับ”
ฉินซีเลิกคิ้วพลางมองไปที่ทนายความจ้าวด้วยความสับสน “ถ้าไม่เซ็น…จะมีปัญหาอะไรเกิดขึ้นเหรอคะ ทำไมลู่เซิ่นถึงต้องเซ็นด้วย”
ทนายความจ้าวจิบน้ำ “การไม่ลงนามในข้อตกลงก่อนสมรสนั่นหมายความว่า หากคุณสองคนหย่าร้างกัน คุณสามารถแบ่งทรัพย์สินส่วนใหญ่ของครอบครัวได้ครับ”
ดวงตาของฉินซีเบิกกว้าง
ตระกูลลู่…ทรัพย์สินส่วนใหญ่ของครอบครัว?
แม้ว่าตระกูลฉินจะถือเป็นตระกูลที่ร่ำรวย แต่เมื่อเทียบกับสิ่งที่ลู่เซิ่นมีแล้ว มันก็ยังไม่พออยู่ดี
ตระกูลลู่เริ่มต้นจากน้ำมันปิโตรเลียมและต่อมาได้เข้าสู่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ จากนั้นทุกอุตสาหกรรมในประเทศ F ล้วนแต่อยู่ใต้เงาของตระกูลลู่กันทั้งนั้น
ก่อนหน้านี้มีคนพยายามประเมินความมั่งคั่งของตระกูลลู่ซึ่งได้ตัวเลขที่น่าประหลาดใจ อีกทั้งยังบอกด้วยว่าอาจมีอุตสาหกรรมบางประเภทที่ยังไม่นับอีกต่างหาก
แต่ตัวเอง…สามารถแบ่งได้ครึ่งหนึ่งอย่างนั้นเหรอ
ฉินซีส่ายหัวอย่างไม่เชื่อ “ถ้าอย่างนั้นอาจมีข้อตกลงบางอย่างที่ฉันไม่ทันได้สังเกต ในวันแต่งงานไม่มีการเซ็นเอกสารอะไร อีกทั้งก่อนหน้านี้มีหลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้น ฉันอาจจะลืมก็ได้”
ทนายความจ้าวพยักหน้าตาม
สำหรับเรื่องทรัพย์สินครอบครัวของลู่เซิ่นแล้ว ต่อให้เขาจะไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้ก็ตาม แต่ทีมทนายความของเขาก็คงไม่ยอมให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นแน่นอน
หัวข้อสนทนาของทั้งสองคนกลับไปสู่สิ่งที่อยู่ตรงหน้า
“แม้ว่าพูดแบบนี้อาจจะไม่เหมาะสมนัก แต่ตามทรัพย์สินครอบครัวของลู่เซิ่นแล้วเขาอาจไม่ขอแบ่งหุ้นส่วนนี้ของคุณในบริษัทฉินซื่อกรุ๊ป ดังนั้นในขณะนี้คุณไม่จำเป็นต้องกังวลมากจนกินไป แต่ถ้ามีโอกาสค่อยมองหาข้อตกลงที่ลงนามไว้ก่อนและมาดูกันว่าเราสามารถหาทางแก้ไขได้หรือไม่” การแสดงออกของทนายความจ้าวเต็มไปด้วยความจริงใจ
ฉินซีพยักหน้าเห็นด้วย
หลังจากที่ทั้งสองทานอาหารและพูดคุยถึงเรื่องต่างๆเสร็จสิ้น ทนายความจ้าวก็กลับไปทำงาน ส่วนฉินซียังไม่อยากกลับบ้านไปเผชิญหน้ากับลู่เซิ่นเธอจึงขับรถไปหาอานหยัน
อานหยันเปิดประตู เมื่อเห็นว่าเป็นเธอก็เลิกคิ้วขึ้นพลางพูดแหย่ “ฉันเป็นใครกัน จริงๆแล้วฉันคือคุณนายลู่ ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ในบริษัทฉินซื่อกรุ๊ป!”
ฉินซียื่นถุงเกาลัดให้เธอ “เธอมีปากก็พูดได้สิ”
อานหยันยิ้ม ปล่อยให้เธอเข้ามาข้างใน “ทำไมวันนี้ถึงมีเวลาว่างมาได้ล่ะ ประชุมผู้ถือหุ้นเมื่อเช้านี้ไม่เหนื่อยเหรอ”
ฉินซีถอดรองเท้าอย่างเคยชิน ทิ้งตัวลงนอนบนโซฟาของอานหยัน “เหนื่อยสิ ก็เพราะว่าเหนื่อยไงถึงได้มาหาเธอ”
อานหยันผลักเธอ “เธอเหนื่อยแล้วจะมาหาฉันทำไม กลับบ้านไปพักผ่อนไม่ดีกว่าเหรอ”
ฉินซีส่ายหัวไม่ได้ตอบอะไรกลับไป
อานหยันจับที่คางของเธอ “หรือว่า…ลู่เซิ่นอยู่ที่บ้าน เพราะงั้นเธอเลย‘พักผ่อนไม่ได้’ ”
น้ำเสียงช่วงสี่คำสุดท้ายของเธอฟังดูแปลกๆ ฉินซีรู้ว่าเธอกำลังพูดถึงอะไรแต่ก็ขี้เกียจเกินกว่าจะทะเลาะกับเธอ ฉินซีพลิกตัวไปมา แต่เผลอไปถูกแผลที่หน้าเข้า “โอ้ย…”
อานหยันหันไปมองเธอ “เป็นอะไร”
ฉินซีพูดเปรียบบาดแผลบนใบหน้า “บาดแผลจากความกล้าหาญ”
เธอลุกขึ้นเล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นในตอนเช้าอานหยันกลอกตาไปมาหลายครั้งด้วยความโกรธ “ ทำไมผู้หญิงที่ชื่อหลี่เหวยถึงเลวได้ขนาดนี้!ถ้าฉันอยู่ที่ด้วยยัยนั่นได้หน้าบวมแน่ แค่ตบยังน้อยเกินไป!แล้วไหนจะไอพ่อนั่นของเธออีก ไม่นึกเลยว่าเขาจะทำเรื่องแบบนั้นได้ ฉันน่ะ…
อานหยันตบหน้าอกตัวเองเบาๆ ถอนลมหายใจจากนั้นเธอก็พูดต่อ “โชคยังดีที่ลู่เซิ่นมารับเธอ”
เมื่อเห็นอานหยันขยิบตาให้ตัวเอง น้ำเสียงของฉินซีก็แผ่วเบาลง “เขาก็แค่…กลัวว่าฉันจะทำให้ตระกูลลู่ต้องอับอาย”
อานหยันเลิกคิ้วขึ้น “เธอว่างั้นเหรอ”
ฉินซีหยุดนิ่งไปชั่วครู่และก็พยักหน้า
อานหยันยิ้ม “แต่ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม เขาก็ช่วยเธอไว้นะ”
ฉินซีมองไปที่เธอด้วยความสับสน
รอยยิ้มของอานหยันมีนัยยะ “ตามนิสัยของเขาแล้วไม่ใช่คนที่จะคิดเล็กคิดน้อยใช่ไหมล่ะ”
ฉินซีหยุดนิ่งไปชั่วขณะ
ใช่แล้ว ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม เขามักจะแก้ปัญหาด้วยตัวเองเสมอ แต่ทำไมเธอถึงรู้สึกอึดอัดใจกันนะ