Flash Marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน - ตอนที่ 936
บทที่ 936 อารมณ์แปรปรวนมากที่สุด
ศิลปินเวลาทำงาน อารมณ์จะแปรปรวนมากที่สุด
เมื่อลู่เซิ่นเห็นท่าทางฮึดฮัดของเธอ ก็รู้สึกว่าน่าสนใจ ไม่ได้เก็บมาคิดเล็กคิดน้อยกับเธอเลยสักนิด
ดีซะอีกที่พลังเต็มเปี่ยมกลับมาวนเวียนอยู่รอบตัวของฉินซีอีกครั้ง
ดังนั้นเขาจึงไม่ได้รบกวนอะไรเธอ ลุกขึ้นจากเตียงเงียบๆ ทั้งยังกำชับให้ลูกน้องในครัวยกอาหารเช้าขึ้นมาให้เธอ เผื่อศิลปินของพวกเราจะขยันจนลืมเวลาทานข้าว
ยังดีที่ลู่เซิ่นคาดการณ์ไว้ล่วงหน้า ว่าถ้าหากคนใช้ไม่นำอาหารเช้ามาให้เธอ เธออาจจะลืมทานข้าวเช้าจริงๆ
แต่พอได้มีเวลาตั้งใจค้นคว้าแบบนี้ มันก็ทำให้ฉินซีรู้สึกราวกับได้ย้อนกลับไปในอดีต
……
ฉินซีชอบถ่ายรูปมาตั้งแต่เด็กๆ จริงๆแล้วหลักๆก็ได้รับอิทธิพลมาจากคุณปู่นั่นแหละ
คุณปู่ของฉินซี เป็นช่างภาพมือสมัครเล่น
ตอนนั้นเธอเพิ่งอยู่ชั้นประถมเอง เมื่อเห็นของแปลกๆในมือของคุณปู่ ก็สงสัยใคร่รู้เป็นอย่างมาก “คุณปู่คะ ที่คุณปู่ถืออยู่คืออะไรเหรอคะ?”
คุณปู่ยิ้มให้เธอ “มันคือกล้องถ่ายรูป”
สำหรับฉินซีในวัยนั้น กล้องถ่ายรูปถือเป็นของเล่นแปลกใหม่ที่ไม่เคยเห็นมาก่อน เธอจึงยื่นมือออกไปขอเล่น “ขอหนูเล่นหน่อย!”
คุณปู่ยิ้มเอ็นดูให้เธอ ไม่ได้ปฏิเสธหลานสาว ยื่นกล้องในมือไปให้เธอ “ตามองตรงนี้ จากนั้นก็กดปุ่มชัตเตอร์ แบบนี้ก็ถ่ายได้แล้วหนึ่งรูป!”
ฉินซียกกล้องขึ้นมาดูอย่างสงสัย “แล้วรูปถ่ายอยู่ไหนคะ?”
คุณปู่เคาะด้านข้างของตัวกล้อง “อยู่ในนี้ รอวันไหนปู่มีเวลาว่างไปล้างรูปออกมา เดี๋ยวหลานก็จะได้เห็นเอง”
สีหน้าของฉินซีเต็มเปี่ยมไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น “งั้นไปล้างตอนนี้เลยไม่ได้เหรอคะ!”
คุณปู่ทนลูกตื๊อของเธอไม่ไหว ถึงฟิล์มจะยังใช้ไม่หมดม้วน ก็ต้องไปล้างรูปออกมา
ฉินซีถือรูปถ่ายเอาไวอย่างทึ่งๆ
ทิวทัศน์เบื้องหน้า กลายมาเป็นภาพนิ่ง
ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ฉินซีก็คอยมาขอยืมกล้องกับคุณปู่ไปถ่ายรูปเล่นไปทั่ว
แม้ว่าบางทีในกล้องไม่มีฟิล์ม แต่เธอก็ยังทำท่ากดชัตเตอร์รัวๆ สมมติว่าตัวเองกำลังถ่ายรูปอยู่
บางทีอาจจะเป็นตั้งแต่ตอนนั้น ที่เธอค้นพบว่าตัวเองชอบความรู้สึกของการได้มองโลกผ่านเลนส์กล้องมากๆ
ตอนแรกคุณปู่แค่คิดว่าเธอติดใจแค่ช่วงหนึ่งเท่านั้น จึงปล่อยให้เธอถ่ายรูปเล่นไปเรื่อยๆ จนกระทั่งวันหนึ่งรูปที่ล้างออกมาดูเป็นรูปเป็นร่าง เขาถึงได้รู้สึกว่าหลานสาวคนนี้พอจะมีพรสวรรค์อยู่บ้าง
“หลานอยากเรียนถ่ายรูปกับปู่ไหม?” เขาถือกล้องพร้อมกับเอ่ยถามฉินซี
ฉินซีพยักหน้าทันที “อยากค่ะ!”
ดังนั้นตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา คุณปู่ก็ค่อยๆสอนวิธีการถ่ายรูปให้เธอ แบบที่ไม่ใช่การปล่อยให้เธอถ่ายรูปเล่นไปมั่วๆ
หาฉากหลังยังไง ใช้แสงยังไง วางสัดส่วนภาพแบบไหน
คุณปู่ไม่ถือสาว่าฉินซีที่ยังเป็นเด็กจะเข้าใจหรือไม่ เวลาเขาสอนฉินซี ก็มักจะใจเย็นอยู่เสมอ ฉินซีถ่ายเสียจนเปลืองฟิล์มไปหลายม้วน ก็ไม่โทษเธอ หลังจากล้างรูปออกมา ก็สอนเธอใหม่อีกรอบ
โชคดีที่ฉินซีฉลาด เรียนไม่กี่ครั้ง ก็สามารถถ่ายรูปที่เป็นรูปเป็นร่างออกมาได้
คุณปู่ปลาบปลื้มเป็นอย่างมาก ในตอนที่เธออายุแปดขวบ ก็ให้กล้องฟิล์มถ่ายรูปอันแรกกับเธอ
กล้องถ่ายรูปอันนั้น ตอนนี้ฉินซีก็ยังคงเก็บรักษามันไว้อย่างดี
ต่อมาฉินซีก็คิดว่า ความชอบที่ตัวเองมีต่อกล้องฟิล์ม บางทีอาจจะไม่ใช่แค่เพราะว่าภาพที่แสดงออกมาจากกล้องฟิล์มแตกต่างจากกล้องชนิดอื่น แต่เพราะมันมีส่วนเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวทางด้านความรู้สึก
เมื่อเห็นภาพฟิล์ม เธอก็รู้สึกราวกับคุณปู่ยังอยู่กับเธอ และยังนึกไปถึงช่วงเวลาวัยเด็กที่คุณปู่คอยสอนเธออย่างใจเย็น
เพียงแต่ว่ายุคสมัยเปลี่ยนไป กล้องดิจิตอลรุ่นใหม่ๆก็กลายเป็นที่นิยม
ตอนนั้น คุณปู่จากโลกนี้ไปแล้ว
ต่อให้เธอยังทำใจไม่ได้ขนาดไหน ก็ต้องยอมรับความจริงที่ว่าคุณปู่ได้จากไปแล้ว ก็เหมือนกับต่อให้เธอชอบกล้องฟิล์มมากขนาดไหน ก็ต้องเริ่มเรียนรู้วิธีใช้กล้องดิจิตอลรุ่นใหม่ๆ
ตอนแรก เธอไม่คุ้นชินเอาเสียเลย แต่ก็ต้องยอมรับว่าสมรรถนะของกล้องดิจิตอลยอดเยี่ยมจริงๆ ฉินซีจึงเริ่มหลงใหลกล้องถ่ายรูปประเภทนี้ขึ้นเรื่อยๆ
เพียงแต่ว่าพอเธอไม่มีคุณปู่แล้ว เธอก็ต้องหัดถ่ายรูปเองอย่างถูๆไถๆ
ประจวบเหมาะกับช่วงที่เธอวางแผนจะซื้อกล้อง ในวันเกิดปีที่สิบห้าเธอก็ได้ของขวัญเป็นกล้องสะท้อนภาพเลนส์เดียวเป็นครั้งแรก
คนที่ให้ของขวัญชิ้นนี้ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นเหยาหมิ่นนั่นเอง
เหยาหมิ่นคอยใส่ใจความชอบของเธอเสมอ
คนที่รักเธอทั้งสองคน ต่างก็ให้กล้องสองตัวที่มีคุณค่ากับเธอ
ฉินซีจำความรู้สึกตอนที่ตัวเองแกะของขวัญได้ดี จำตอนตัวเองเงยหน้าขึ้นด้วยความดี แล้วเห็นรอยยิ้มอบอุ่นของคุณแม่
ตั้งแต่ตอนนั้น เธอก็มีความชอบที่แตกต่างจากคนรุ่นเดียวกัน
เธอไม่ได้สนใจแฟชั่นหรือความสวยความงามเหมือนคนอื่นๆเขา แต่กลับชอบค้นข้อมูลเกี่ยวกับกล้องถ่ายรูปและเลนส์กล้องทุกชนิด
ต่อจากนั้น กล้องสะท้อนภาพเลนส์เดียวที่เป็นของเธอ ก็ค่อยๆมีสะสมเพิ่มมากขึ้นทีละนิด
แม้ว่าในฐานะพ่อ ฉินซึ่งเทียนจะไม่ค่อยใส่ใจและไม่ค่อยสนใจว่าเธอชอบอะไรสักเท่าไหร่ แต่ถ้าเป็นเรื่องเงินเขาไม่เคยละเลยเธอจริงๆ เพราะเธอคือคุณหนูตระกูลฉิน ดังนั้นเธอจึงไม่เคยขาดแคลนเรื่องเงินเลย
เมื่อเจอของที่อยากซื้อ ก็สามารถซื้อได้ในทันที
ผู้คนมักจะกล่าวว่า เล่นกล้องหนึ่งครั้งเปลืองตังค์ตลอดไป
ครึ่งปีมานี้ ฉินซีใช้เงินในบัตรเหมือนเทน้ำเทท่า ฉินซึ่งเทียนมองสีหน้าลำบากใจของผู้ช่วยที่ยื่นบัญชีธนาคารที่เงินไหลออกเหมือนน้ำไหล ในที่สุดก็สังเกตได้ถึงความผิดปกติ
“ฉินซีนังลูกคนนี้กำลังทำอะไรอยู่กันแน่! ทำไมใช้เงินเยอะขนาดนี้!”
เขาคิดว่าฉินซีต้องไปติดนิสัยอะไรไม่ดีมาแน่ๆ จึงรีบกลับมาตำหนิ
ฉินซีไม่สามารถปิดบังได้อีกต่อไป จำต้องสารภาพงานอดิเรกของตนออกไปตรงๆ
เมื่อฉินซึ่งเทียนเห็นกล้องเลนส์ยาวราวกับปืนวางเรียงรายอยู่ตรงหน้า ก็ไม่รู้ว่าควรพูดอะไรออกมาดี
ไม่ใช่ว่าเขาไม่รู้ เรื่องที่พ่อของตัวเองรักการถ่ายรูปมากๆ ทว่าเขากลับคิดมาตลอดว่าการทำอะไรแบบนี้มันเปลืองเงินเอามากๆ ไม่คุ้มค่าเลยสักนิด
เขารู้สึกโชคดีที่ความชอบในลักษณะนี้ไม่ได้ถูกถ่ายทอดจากพ่อมายังเขา แต่ก็นึกไม่ถึงเหมือนกันว่ามันจะถ่ายทอดไปยังฉินซีแทน
ในสายตาของเขา เลนส์กล้องยาวๆสั้นๆพวกนั้นมันก็เหมือนๆกันหมด ฉินซีกำลังใช้เงินอย่างสิ้นเปลืองโดยแท้
“แกเก็บของพวกนี้ไปเลยนะ!” ฉินซึ่งเทียนพูดออกมาอย่างโกรธๆ “อย่าให้ฉันเห็นว่าของพวกนี้กระทบถึงการเรียนแกล่ะ!”
ฉินซีเงยหน้าขึ้นไปมองอย่างตัดพ้อ “มันไม่ได้กระทบถึงการเรียนฉันสักนิด!”
“ยังจะเถียงอีก!” เส้นเลือดบนหน้าผากของฉินซึ่งเทียนเต้นตุบๆ “พ่อบ้าน! ยึดของพวกนี้ไปให้หมด! ต่อไปนี้แกต้องถูกตัดค่าขนม!”
เมื่อเขาระบายอารมณ์ออกมาอย่างโมโห ก็ออกจากบ้านไป พ่อบ้านเองก็สงสารเธอ จึงทำทีเป็นยึดของพวกนั้น แต่ก็ไม่ได้ห้ามให้เธอจับ
เพียงแต่เมื่อฉินซีถูกตัดค่าใช้จ่าย ก็ไม่สามารถซื้ออะไรได้ตามใจเหมือนเมื่อก่อน ต้องเก็บเงินสักพัก ถึงจะสามารถซื้อเลนส์สักตัวได้
เป็นแบบนี้ในทุกวัน จนเธอค่อยๆเติบโตขึ้น
และในตอนที่ใกล้จะเข้ามหาลัย
ฉินซีใคร่ครวญอยู่นาน สุดท้ายก็ไปปรึกษาเหยาหมิ่น ว่าเธออยากเรียนสายศิลป์
เหยาหมิ่นไม่ได้คัดค้านเธอ แต่ฉินซึ่งเทียนกลับระเบิดออกมาอีกครั้ง