Flash Marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน - ตอนที่ 938
บทที่ 938 ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถข้ามผ่านมันไปได้
ช่วงเวลาในมหาวิทยาลัย มันผ่านมานานแล้ว ภาพบางส่วนในความทรงจำของฉินซี จึงค่อยๆเลือนราง
แต่เธอยังจำแต่ละคืนที่เธอนั่งแช่อยู่ภายใต้แสงไฟในห้องสมุดได้เสมอ และยังจำห้องสอนประวัติศาสตร์ศิลปะที่กว้างใหญ่ได้อยู่ตลอด เธอนั่งอยู่แถวแรก คนอื่นๆเข้าเรียนวิชานี้ด้วยความง่วงงุน ต่างกลับเธอที่ชอบวิชานี้มาก เพราะว่าอาจารย์ผู้สอน มีบางส่วนคล้ายๆปู่ของเธอ
ฉินซีก้มหน้าเปิดหนังสือบนโต๊ะ มุมปากประดับไปด้วยรอยยิ้มจางๆ
ความรู้สึกขยันเรียนแบบนี้ หลังจากจบจากมหาวิทยาลัย ก็เป็นครั้งแรกที่ได้ความรู้สึกนี้กลับมา
รู้สึกเหมือน…..ตัวเองได้ย้อนกลับไปในช่วงวัยเด็กอย่างไรอย่างนั้น
เธอหัวเราะออกมาเบาๆพร้อมกับก้มหน้าเตรียมจะเปิดหน้าต่อไป ทว่าจู่ๆแรงบันดาลใจบางอย่างก็ฉายวาบเข้ามาในหัวของเธอ
การเติบโต…..การเปลี่ยนแปลง…….
เธอเงยหน้าขึ้นทันที จากนั้นก็หยิบไอแพดขึ้นมาเปิดโฮมเพจของบริษัทลู่ซื่อ แล้วตั้งใจอ่านอย่างละเอียด
สิ่งที่บริษัทลู่ซื่อต้องการทำในครั้งนี้ไม่ใช่การแนะนำธุรกิจโดยพุ่งเป้าไปที่ลูกค้าเหมือนอย่างเคย แต่เป็นการโฆษณาภาพลักษณ์ของบริษัทโดยพุ่งเป้าไปที่คนหมู่มาก ซึ่งกลุ่มเป้าหมายมีความแตกต่างกันเป็นอย่างมาก ดังนั้นความแตกต่างในด้านเนื้อหาจึงต่างกัน เมื่อก่อนนโยบายในการร่วมงานมีข้อได้เปรียบเสมอในด้านการบริการระดับมืออาชีพ แต่ขอบเขตในครั้งนี้กลับสุดวิสัยที่จะช่วยได้ดังนั้นแผนกโฆษณาของบริษัทลู่ซื่อถึงได้ทำการส่งบัตรเชิญไปให้ศิลปินหลายๆท่าน
เมื่อพุ่งเป้าหมายไปที่คนหมู่มาก สิ่งสำคัญจึงไม่ใช่ความเป็นมืออาชีพ แต่เป็นการทำให้คนสะดุดตา และทำให้กลุ่มเป้าหมายเกิดความรู้สึกร่วม ถึงจะสามารถสร้างความประทับใจที่ลึกซึ้งได้
การที่จะทำให้คนสะดุดตาต้องมีการออกแบบวิสัยทัศน์ แต่ว่าการทำให้เกิดความรู้สึกร่วม ต้องขึ้นอยู่กับประเด็นหลัก
การเติบโตและการเปลี่ยนแปลง เป็นประเด็นหลักที่ดีเลยไม่ใช่เหรอ?
ทุกคนต่างก็เคยเผชิญกับมัน แต่ละคนล้วนแล้วแต่หลบหนีมันไม่ได้ ดังนั้นในตอนที่ทุกคนได้เห็น ก็จะมีความรู้สึกของตัวเองผสมลงไปด้วย
ราวกับฉินซีได้ปลดปล่อยลมปราณ ไอเดียต่างๆผุดขึ้นมาอย่างไม่ขาดสาย
เธอไม่หยุดขีดเขียนปากกา ค่อยๆจดความคิดของเองลงไปทีละนิด
……
ลู่เซิ่นยังคงเหมือนปกติ เมื่อได้เวลาทานข้าวเย็นก็กลับบ้านมาอย่างตรงเวลา
แต่เมื่อเขาลงมาจากรถ พ่อบ้านก็เดินเข้ามาหาด้วยความกังวล “ประธานลู่ คุณนายขังตัวเองอยู่ในห้องทั้งวันเลยครับ ข้าวเที่ยงก็ต้องให้คนเอาเข้าไปให้ เธอถึงจะกินแค่ไม่กี่คำอย่างรีบๆ กำลังทำอะไรอยู่ก็ไม่รู้ ครั้งก่อนเธอก็ถึงกับเข้าโรงพยาบาล ปล่อยให้ทำงานหนักแบบนี้ไม่ได้นะครับ”
น้อยครั้งมากที่เขาจะพูดออกมายืดยาวขนาดนี้ ลู่เซิ่นได้ยินก็รู้สึกว่าน่าสนใจ “นานแล้วเหมือนกันที่ผมไม่ได้เห็นคุณเป็นห่วงใครขนาดนี้”
เมื่อพ่อบ้านรู้ตัวว่าตัวเองแสดงอาการมากเกินไป จึงทำหน้าเขินๆ หลุบตาลงแล้วส่ายหน้า “คุณนายเป็นคนดี หลังจากที่เธอเข้ามา คุณก็ดูมีความสุขขึ้นมาก”
ลู่เซิ่นหัวเราะเบาๆ พร้อมกับตบบ่าของเขา “อืม ไปเตรียมมื้อเย็นเถอะ เดี๋ยวผมขึ้นไปดูเธอเอง”
พ่อบ้านหมุนตัวเดินจากไป ลู่เซิ่นมองตามแผ่นหลังของเขาราวกับคิดอะไรอยู่ในใจ
พ่อบ้านคนนี้เป็นคนที่มาจากตระกูลลู่ ดูแลเขามาตั้งแต่เด็กๆ ตอนที่เขาย้ายออกจากตระกูลลู่ พ่อบ้านก็เป็นคนเอ่ยขอตามมาดูแลเขาที่รีสอร์ทชิงหยวนด้วย
เขาดูแลลู่เซิ่นสุดหัวใจ ลู่เซิ่นจึงต้องตอบแทนเขาด้วยความปรารถนาดีอย่างสุดซึ้ง ถึงความสัมพันธ์ของทั้งสองคนจะเป็นพ่อบ้านกับนายจ้าง แต่บางครั้งลู่เซิ่นก็รู้สึกว่าพ่อบ้านเหมือนผู้หลักผู้ใหญ่คนหนึ่งในครอบครัวของเขา
พ่อบ้านคนนี้ที่เขารู้จักมานาน เป็นคนทุ่มเทกับงานและขยันทำงานมาตลอด ปฏิบัติต่อคนอื่นอย่างนอบน้อม แต่ความนอบน้อมของเขาคงอยู่แค่แปลกนอก ลู่เซิ่นรู้สึกได้ว่า คนที่เขาปฏิบัติต่อด้วยความจริงใจ นอกจากตัวเองแล้ว ก็ไม่มีใครเลย
ทว่าฉินซีเพิ่งเข้ามาได้แค่ปีเดียว แต่กลับสามารถทำให้พ่อบ้านคนนี้เป็นห่วงเธอได้ด้วยใจจริง ถือว่าเป็นความสามารถอย่างหนึ่งของเธอเลยก็ว่าได้
ลู่เซิ่นยิ้ม จากนั้นก็เคลื่อนขึ้นไปยังชั้นบน
จริงๆแล้วฉินซีมีห้องหนังสือเป็นของตัวเองในรีสอร์ทชิงหยวน แต่เธอไม่ชอบเดินไกลๆ ในตอนที่ไม่ต้องใช้อุปกรณ์อะไรมาก ส่วนใหญ่เธอจึงเลือกนั่งทำงานบนโต๊ะเล็กๆในห้องนอนแทน
เมื่อลู่เซิ่นเปิดประตูเข้ามา ก็ตกใจกับกองหนังสือและกระดาษที่วางอยู่บนโต๊ะ
“ขยันอะไรขนาดนั้น?”
เมื่อฉินซีได้ยินเสียงของเขา ก็หันหน้าไปมอง จากนั้นก็ยิ้มแล้วพูดขึ้นว่า “ฉันใช้เวลาคิดทั้งวันเลยนะ”
ลู่เซิ่นถอดเสื้อตัวนอกออก โน้มตัวลงไปมอง “เล่าให้ผมฟังได้ไหม?”
ฉินซีปิดหน้าจอไอแพด “เหลือเก็บรายละเอียดส่วนท้ายๆนิดหน่อย คุณรอไปก่อน”
แววตาของฉินซีเป็นประกายระยิบระยับ ราวกับข้างในนั้นมีดาวนับหมื่นดวง หัวใจของลู่เซิ่นอ่อนยวบ มุมปากยกเป็นรอยยิ้มเล็กๆโดยไม่รู้ตัว “ได้ ผมจะฟังคุณ แต่ว่าตอนนี้ลงไปกินข้าวก่อน พ่อบ้านบอกผมหมดแล้ว ว่าคุณอยู่แต่ในห้องทั้งวัน”
ฉินซีบิดขี้เกียจ “ฉันสละร่างกายเพื่อศิลปะเลยนะ”
ลู่เซิ่นพูดรับคำออกมาว่า “งั้นคุณไม่ต้องสละร่างกายเพื่อศิลปะแล้ว สละร่างกายให้ผมดีกว่า”
เมื่อคำพูดถูกปล่อยออกมา ท่าทางของทั้งสองคนก็ชะงักนิ่ง
เกือบตลอดทั้งปี ฉินซีปิดกั้นตัวเองมาตลอด ส่วนลู่เซิ่นก็ขังตัวเองอยู่ในกรอบจนแน่นสนิทแม้แต่ลมก็ไม่สามารถทะลุผ่านได้ ทั้งสองแตะเนื้อต้องตัวกันแทบจะนับครั้งได้ ความรู้สึกยิ่งห่างไกลกัน
เวลาคุยกันก็มีแต่คำพูดสุภาพ เมื่อเผลอทำให้อีกฝ่ายเข้าใจความหมายที่จะสื่อผิดไป จึงก่อให้เกิดความรู้สึกอึดอัด
สายตาที่เชื่อมกันราวกับมีภูเขาหลายพันลูกและแม่น้ำหลายหมื่นสายมาขวางกั้นเอาไว้ ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถข้ามผ่านมันไปได้
คำพูดติดตลกแบบนี้ มีมานานแล้ว แต่กลับเกิดขึ้นกับทั้งสองเป็นครั้งแรก
เมื่อจ้องตากัน ฉินซีก็เป็นฝ่ายหลุดขำออกมาก่อน
เธอไม่รู้ว่าทำไมต้องหัวเราะ แต่ว่าข้างในอกด้านซ้าย หัวใจกลับเต้นเร็วอย่างประหลาด
ลู่เซิ่นเองก็ยกยิ้มมุมปากขึ้นมาบางๆ
……
ในตอนที่ทั้งสองเดินมาถึงห้องรับแขกตามๆกันมา บรรยากาศก็ดูเข้ากันเป็นอย่างมาก
ในตอนที่หลินหยังเดินเข้ามา ก็เห็นเหตุการณ์เบื้องหน้า
เขาไม่ได้มาที่นี่แค่ช่วงหนึ่ง ทำไมรู้สึกว่าระหว่างลู่เซิ่นและฉินซีถึงได้สนิทกันมากขึ้นอย่างนี้ล่ะ?
ลู่เซิ่นเห็นคำถามในดวงตาของหลินหยัง แต่ก็ไม่คิดจะหันหน้าไปอธิบาย
เขาแค่มาส่งเอกสาร เพราะมีเอกสารด่วนต้องให้ลู่เซิ่นเซ็นต์ ลู่เซิ่นจึงต้องเปิดเอกสารอ่านอยู่บนโต๊ะอาหาร แล้วเริ่มตั้งใจอ่านอย่างละเอียด
ฉินซีมองหลินหยังที่ยืนอยู่ข้างๆ จู่ๆก็เอ่ยถามออกมาว่า “หลินหยัง เรื่องการถ่ายสื่อโฆษณาชวนเชื่อของบริษัทพวกคุณน่ะ ส่งบัตรเชิญไปให้ใครบ้างเหรอ?”
เรื่องนี้ถามลู่เซิ่นไปก็ไร้ประโยชน์ เขาคงไม่รู้เรื่องอะไรหรอก คงต้องถามหลินหยังเอาถึงจะรู้เรื่อง
หลินหยังเอียงหัวคิดอยู่สักพัก “ผมได้ยินแผนกโฆษณาพูดกันว่า พวกเขาน่าจะส่งบัตรเชิญไปให้คนที่เคยได้รับรางวัลในงานแสดงนิทรรศการถ่ายภาพหรือพวกภาพวาด แล้วก็พวกเทศกาลภาพยนตร์อะไรแบบนี้ครับ”
เมื่อเขาพูดจบ ก็รับรู้ได้ถึงสายตาของลู่เซิ่นที่ตวัดมองมา
เดี๋ยวนะ เหมือน….ลู่เซิ่นจะบอกให้คนส่งบัตรเชิญมาให้ฉินซีด้วยนี่นา?
เขาพูดเสริมอย่างตะกุกตะกักว่า “แล้วก็คนที่พวกเขาชื่นชอบด้วย พวกเขาก็ส่งให้เหมือนกัน……”
เมื่อฉินซีได้ยินแบบนี้ ทำไมจะไม่รู้ว่าบัตรเชิญของตัวเองได้มาจากไหน
แต่วันนี้เธอมีไอเดียผุดขึ้นมาเหมือนน้ำพุ อารมณ์จึงพลอยดีไปด้วย ดังนั้นเธอจึงไม่คิดจะถือสาเอาความกับลู่เซิ่น เพียงแค่ยกยิ้ม แล้วส่งเสียง “อ๋อ” ออกมาอย่างมีนัย
ลู่เซิ่นอ่านเอกสารจบ ก็เซ็นชื่อลงไปอย่างเป็นธรรมชาติ จากนั้นก็ส่งให้หลินหยัง
หลินหยังไม่คิดจะอยู่ที่นี่ต่อแม้แต่วินาทีเดียว เมื่อได้รับเอกสารก็บอกลาทั้งสอง แล้วรีบออกไปจากรีสอร์ทชิงหยวนไป