Flash Marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน - ตอนที่ 947
บทที่ 947 แก้ตัวไม่พ้นข้อกล่าวหา
ต่อมาเนื้อหาในกระทู้ก็ยิ่งไปเรื่อย บ้างก็ว่าเป็นรักแรกพบ ไม่สามารถลืมกันและกันลงได้ สุดท้ายก็ แอบสานสัมพันธ์กันลับๆ ไม่รู้ว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาพัฒนาไปถึงขั้นไหนแล้ว แต่ตอนร่วมงานกันครั้งที่สอง ไม่มีใครในที่นั่นไม่รับรู้ถึงบรรยากาศ”หวานแหวว”ของพวกเขาทั้งสองคน
ฉินซีมองรูปภาพวกนั้นในกระทู้ มีรูปที่หซู่เป่ยถ่ายเสร็จแล้วมานั่งคุยเล่นอยู่กับเธอ และรูปตอนที่เขาตบไหล่ของเธอก่อนเขาจะไปเข้าฉาก ทั้งมุมกล้องและรูปที่ทั้งเบลอทั้งมัว ไม่แปลกที่จะทำให้คนเดาเหตุการณ์ไปต่างๆนานา
และรูปที่ดึงดูดความสนใจมากที่สุดก็คือ รูปที่หซู่เป่ยโอบเธอเอาไว้ในอ้อมแขน
ฉินซีรู้ดี ว่าตอนนั้นเธอถูกคนข้างหลังชน จนหซู่เป่ยต้องช่วยประคองเธอเอาไว้ไม่ให้เธอล้มลง แต่จากมุมกล้องที่ถ่ายมา ในรูปทั้งสองคนแนบชิดกันมาก มากถึงขั้นจูบได้ จูบไปแล้ว
ในตอนนี้ฉินซีเข้าใจความรู้สึกแก้ตัวไม่พ้นข้อกล่าวหาของพวกดาราแล้ว
ในส่วนท้ายของกระทู้ ยังแนบลิงก์ที่หซู่เป่ยแชร์เอาไว้มาอีกด้วย พร้อมทิ้งประโยคไว้ว่า “ครั้งนี้ดาราหนุ่มน่าจะเอาจริงแล้วสินะ ถึงได้นำเสนอแฟนสาวของตัวเองสุดกำลังถึงขนาดนี้” จากนั้นเจ้าของกระทู้ก็ไม่ตอบกลับข้อความของใครอีก
กระทู้นี้ดุเดือดในทันที ในเวยป๋อมีคนถกประเด็นนี้เยอะมาก ทั้งยังติดฮอร์ทเสิร์ชอยู่ตั้งนาน บางคนก็บอกว่าเคยเห็นพวกเขาเข้าโรงแรมด้วยกัน บางคนก็พูดว่าเคยบังเอิญเห็นพวกเขาอยู่ด้วยกันที่ไหนสักที่ ข่าวลือแพร่สะพัดไปทั่ว ถ้าฉินซีไม่ใช่หนึ่งในบุคคลที่กำลังถูกกล่าวถึง ถ้าได้อ่านข่าวพวกนี้ ก็คงคิดว่าสองคนนี้เป็นแฟนกันจริงๆไปแล้ว
“มีอะไรอยากพูดไหม?” เมื่อลู่เซิ่นเห็นเธออ่านจบแล้วเงยหน้าขึ้นมา เขาก็เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง
ฉินซีสูดลมหายใจเข้าลึกๆ พยายามใจเย็น “คนพวกนี้แต่งเรื่องเก่งจริงๆ”
ลู่เซิ่นหรี่ตาลงเล็กน้อย “เนื้อหาทั้งหมดในกระทู้นี้ เป็นเรื่องแต่งงั้นเหรอ?”
ฉินซีพยักหน้าทันที แต่จู่ๆก็พลันชะงักนิ่ง
เจ้าของกระทู้เก่งจริงๆ ที่พูดถูกครึ่งไม่ถูกครึ่ง
มีแค่เรื่องความสัมพันธ์ของเธอและเขาเท่านั้นที่เป็นเรื่องปั้นแต่งขึ้นมา นอกนั้นรายละเอียดหลายๆอย่างเป็นเรื่องจริงทั้งหมด อย่างเช่นพวกเขาร่วมงานกันครั้งแรกเมื่อไหร่ มีความเข้าขากันแค่ไหนตอนที่ถ่ายภาพ
เนื้อหาที่จริงบ้างไม่จริงบ้างแบบนี้ ทั้งยังมีรูปภาพประกอบอีก ไม่แปลกที่ทุกคนจะเชื่อว่าทั้งหมดเป็นเรื่องจริง
แต่พอลู่เซิ่นถามมาแบบนี้….
ฉินซีขมวดคิ้วนิดๆ เงยหน้าขึ้นไปมองเขา “คุณหมายความว่ายังไง?”
ลู่เซิ่นกระตุกริมฝีปากขึ้น แต่รอยยิ้มกลับดูเย็นขามากกว่าตอนไม่ได้ยิ้มซะอีก “ฉินซี คุณคงรู้ตัวว่าคุณคือคุณนายลู่ ถูกไหม?”
ฉินซีกำหมัดแน่น “คุณไม่เชื่อฉันเหรอ?”
ลู่เซิ่นมองเธอนิ่งๆ ไม่ได้ตอบกลับ
ไฟโกรธของฉินซีที่มาจากการอ่านกระทู้ที่พยายามปั้นน้ำให้เป็นตัวในตอนแรก ตอนนี้ลุกลามมากกว่าเดิม เพราะถูกลู่เซิ่นสงสัย เธอลุกพรวดขึ้นมา “ทุกรูปในกระทู้เป็นรูปจริงทั้งหมด แต่แล้วยังไง? ฉันถ่ายรูปให้หซู่เป่ยนอกเหนือจากเวลางานจริงๆ แต่ก็เพราะว่าเขาเป็นนายแบบตรงตามลักษณะที่ฉันต้องการ และคำพูดที่ฉันกับเขาคุยกันตอนอยู่ที่นั่นก็เป็นเรื่องจริง แต่มันก็เป็นแค่การพูดคุยกันปกติ และมุมกล้องที่ใช้ถ่ายคนสองคนที่แทบจะไม่รู้จักกันให้ออกมาเหมือนกำลังจูบกัน ก็มีแค่พวกปาปารัสซี่เท่านั้นแหละถึงจะใช้มุมกล้องแบบนี้เป็น ส่วนรูปสุดท้าย วันนั้นฉันโดนชน หซู่เป่ยเลยเข้ามาประคองฉัน เลยถูกถ่ายออกมาแบบนี้ไง!”
ฉินซีพูดออกมาขนาดนี้ แต่สีหน้าของลู่เซิ่นก็ยังไม่เปลี่ยนไปเลยสักนิด
นอกจากความโกรธแล้วฉินซีก็ยังรู้สึกเจ็บปวดอย่างไม่ทราบสาเหตุ เธอกัดฟันแล้วพูดว่า “ลู่เซิ่น คุณจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็แล้วแต่คุณ”
พูดจบ ก็หันหลังเดินออกจากห้องไป
ลู่เซิ่นยืนนิ่งอยู่กับที่ มองแผ่นหลังของฉินซีที่เดินห่างออกไปเรื่อยๆ แต่กลับไม่คิดตามไป
ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถอ่านอารมณ์จากสีหน้าของเขาออก
หลังจากยืนอยู่ที่เดิมเป็นเวลานาน ลู่เซิ่นก็หันหลังเดินไปห้องหนังสือ
หน้าจอโทรศัพท์ขึ้นเบอร์ของคุณหญิงลู่โทรเข้ามา เมื่อกดรับเธอก็ด่าอย่างไม่ลืมหูลืมตาก่อนเป็นอันดับแรก ต่อว่าฉินซีที่แต่งงานแล้วแต่ยังไปอ่อยผู้ชายคนอื่น เหมือนแม่ตัวเองไม่มีผิด ทั้งยังบอกให้ลู่เซิ่นถือโอกาสนี้ทิ้งเธอให้เร็วๆเสีย
หลินหยังก็ส่งข้อความมาหาเยอะมาบอกว่าแผนกประชาสัมพันธ์เริ่มดำเนินการอย่างเร่งด่วนแล้ว โชคดีที่รูปพวกนั้นไม่เห็นหน้าของฉินซีชัด ตอนนี้คนนอกรู้แค่ชื่อของฉินซีเท่านั้น ถ้าเก็บข่าวได้ในระยะเวลาอันสั้น ทุกคนก็จะสืบค้นอะไรไม่ได้มากเท่าไหร่ เขายังบอกว่าอีกว่าตอนนี้กำลังสืบหาต้นตอของรูปภาพ ไม่นานน่าจะได้ข้อมูลอะไรมาบ้าง
ลู่เซิ่นไม่ได้ตอบอะไรกลับไป ทำแค่วางโทรศัพท์ลงข้างๆ
……
ฉินซีเดินออกมาจากห้องด้วยโทสะเต็มเปี่ยม เพิ่งเดินมาถึงสวนในบ้าน เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นมา
คนที่โทรมาไม่ใช่ใครคนอื่น แต่เป็นตัวเหตุของเหตุการณ์ในครั้งนี้ นั่นก็คือหซู่เป่ย
ฉินซีแสยะยิ้มเย็น แล้วกดรับสาย
ไม่รอให้เธอได้พูดอะไร เสียงของหซู่เป่ยก็พูดขอโทษขึ้นมาก่อน “ผมขอโทษ ฉินซี ผมไม่คิดว่ามันจะเป็นเรื่องใหญ่ขนาดนี้ ผมไม่ตั้งใจจริงๆนะ ผมก็แค่……”
ฉินซีตัดบทเขาอย่างเยือกเย็น “ตอนที่คุณกดแชร์โพสต์ของฉัน เคยคิดบ้างไหมว่ามันจะสร้างปัญหาให้ฉันขนาดนี้?”
หซู่เป่ยเงียบไปชั่วขณะ
เขาคิดไม่ถึงเลยว่า เขากับฉินซีจะถูกถ่ายรูปตอนอยู่ด้วยกันเยอะขนาดนี้ ไหนจะรูปที่ยังไม่ถูกปล่อยมาอีก
“…….ผมขอโทษ” เขาทำได้แค่ขอโทษ “ผู้จัดการของผมจัดการเรื่องนี้แล้ว อีกไม่นานเรื่องก็น่าจะจบ ผมจะแถลงว่าระหว่างเราเป็นแค่เพื่อนร่วมงานเท่านั้น และผมก็จะฟ้องคนที่สร้างข่าวลือด้วย เพื่อไม่ให้เรื่องนี้หมักหมมไปเรื่อยๆ”
ฉินซีไม่คิดจะเสียเวลาคุยกับเขาต่อ จึงพูดเสียงเย็นขึ้นมาว่า “ระหว่างเราสองคนเป็นแค่เพื่อนร่วมงาน หวังว่าจะจำมันไว้ตลอดนะ”
หซู่เป่ยตอบรับเสียงเบา จากก็นั้นลอบถามอย่างระมัดระวังว่า “งั้นหลังจากนี้…..เราจะยังมีโอกาสได้ร่วมงานกันไหม? ผมไม่ได้มีเจตนาอย่างอื่นนะ! ผมก็แค่ชอบรูปที่คุณถ่ายให้มากๆเท่านั้นเอง!”
ฉินซีเงียบไปชั่วครู่
ในฐานะเพื่อนร่วมงาน หซู่เป่ยทำได้ดีอย่างไร้ที่ติจริงๆนั่นแหละ แต่ร่วมงานกันหนึ่งครึ่งก็นำพามาซึ่งปัญหามากมายขนาดนี้ พลาดครั้งหนึ่งก็ต้องรู้จักจำตลอดไปอยู่แล้ว
เธอไม่ได้เปลี่ยนเรื่องพูด แค่เอ่ยนิ่งๆขึ้นมาว่า “คงต้องดูสถานการณ์เอา”
พูดจบ ไม่รอให้หซู่เป่ยพูดอะไร เธอก็กดวางสาย
คนอย่างหซู่เป่ย เป็นดารามาก็หลายปี คงชินกับการถูกคนมากมายรายล้อม และคงชินกับสายตาชื่นชอบที่เฝ้ามองของผู้หญิงทั้งหลาย เขาถึงได้ถูกปลูกฝังจนเสียนิสัย และชอบไปก่อกวนผู้หญิงที่ไม่สนใจตัวเอง
เขาคงคิดว่าตัวเองก็แค่กดแชร์เล่นๆ เพื่อให้ทุกคนรับรู้ถึงความสัมพันธ์ที่สนิทสนมของเขากับฉินซี อีกทั้งยังเป็นการโปรโมทให้ฉินซีแบบฟรีๆอีกด้วย ซึ่งวิธีนี้ไม่ว่าจะใช้กับผู้หญิงคนไหนยังไงก็ไม่ได้ผลหรอก
เพราะมันดันสร้างปัญหาให้แทนน่ะสิ
…….ดูเหมือนว่า ครั้งก่อนที่เขาถูกตีตรงหน้าประตูทางเข้าบ้านตัวเอง คงไม่เพียงพอที่จะเป็นบทเรียนให้เขาได้สินะ
ฉินซีไม่ได้อยากเข้าไปยุ่งกับชีวิตของคนอื่น และเธอก็ขี้เกียจที่จะไปสั่งสอนใคร เธอแค่รู้สึกว่า ถ้าหากหซู่เป่ยยังเป็นแบบนี้ต่อไป ก็คงมีแต่สร้างปัญหามากกว่าเดิม
แต่ว่า ถ้าเทียบกับปัญหาที่เขาต้องเจอหลังจากนี้แล้ว ฉินซีรู้สึกว่า ตัวเองควรทำใจให้สบาย และมองแค่สถานการณ์ในปัจจุบันของตัวเอง