Flash Marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน - ตอนที่ 948
บทที่ 948 อย่าให้หซู่เป่ยหลอก
เมื่อคุยโทรศัพท์เสร็จ ฉินซีก็รู้สึกใจเย็นลงไม่น้อยเลย
เมื่อดูโทรศัพท์อีกครั้ง ก็เห็นข้อความมากมายที่ส่งมาจากอานหยัน คงเป็นเพราะเมื่อกี้โทรหาเธอไม่ติดถึงได้ส่งข้อความมาแทน
ฉินซีไม่ได้เปิดอ่านข้อความทั้งหมด แต่ก็เห็นข้อความสุดท้ายในแจ้งเตือนที่โชว์หราอยู่หน้าจอ
“เสี่ยวซี คุณไม่ได้เป็นอะไรกับหซู่เป่ยจริงๆใช่ไหม?”
ตอนแรกที่เธอส่งข้อความนี้มาคงเพราะอยากแซวเธอ แต่ทั้งสองก็คุยกันเรื่องนี้ไปแล้ว มาคราวนี้อานหยันก็ถามเธออีกรอบ มันก็เพียงพอที่จะอธิบายได้แล้วว่า ข่าวรอบนี้สร้างความเข้าใจผิดให้กับผู้คนเป็นอย่างมาก
ขนาดคนที่คุ้นเคยกันเป็นอย่างดีย่างอานหยันพอเห็นข่าวแล้ว ก็คิดไปในทำนองนั้น แล้วจะเอาอะไรกับลู่เซิ่นที่เพิ่งคุ้นเคยกันได้ไม่ถึงปี
ขนาดสถานะของตัวเองในตอนนี้ เป็นถึงภรรยาของลู่เซิ่นนะเนี่ย
เธอไม่รู้ว่าตอนนี้กระทู้นั้นถูกแชร์ไปถึงไหนต่อไหนแล้ว แต่ที่แน่ๆคนในครอบครัวของลู่เซิ่นต้องรู้ข่าวแล้วแน่ๆ เธอมีข่าวออกมาแบบนี้ ต้องสร้างปัญหาให้เขามากแน่ๆ
อีกอย่างถึงยังไงเขาก็เป็นสามีในนามของเธอ ฉะนั้นการที่เขารู้สึกเสียหน้า และมาซักถามเธอ ก็เป็นเรื่องปกติมาก
ฉินซีหยุดเดิน เมื่อหันไปมองทางห้องนอนของลู่เซิ่น ก็บีบโทรศัพท์ในมือแน่นโดยไม่รู้ตัว
หลังจากที่สงบสติอารมณ์ได้ เธอเข้าใจอารมณ์ของลู่เซิ่นแล้วจริงๆ
แต่ว่าเมื่อกี้…..ทำไมเธอถึงโกรธที่เขานิ่งเฉยไม่แสดงอารมณ์ใดๆใส่เธอขนาดนั้นล่ะ?
หัวคิ้วของฉินซีเริ่มขมวดมุ่น
“คุณนายครับ……” ทันใดนั้นเสียงของพ่อบ้านก็ดังขึ้นมาจากข้างหลัง “คุณชายให้คุณไปหาที่ห้องหนังสือน่ะครับ”
ฉินซีเลิกคิ้วขึ้น “ตอนนี้เหรอ?”
พวกเขาเพิ่งทะเลาะกันมาเมื่อไม่กี่วินาที ฉินซีคิดไม่ออกเลยว่าทำไมลู่เซิ่นถึงเรียกตัวเองไปหา
พ่อบ้านดูออกว่าพวกเขากำลังทะเลาะกัน ดังนั้นจึงอยากให้ทั้งสองคืนดีกันเร็วๆ เขาเดินเข้าไปใกล้ แล้วพูดเร่งยิกๆ “คุณนาย รีบไปเถอะครับ เผื่อคุณชายมีเรื่องด่วน”
ฉินซีจึงต้องหันกายเดินไปยังห้องหนังสือ
……
ลู่เซิ่นนั่งอยู่หลังโต๊ะอ่านหนังสือ พร้อมกับมองหน้าจอคอมพิวเตอร์ไปด้วย เขามีบุคลิกเฉยชามาตั้งแต่ไหนแต่ไร ดังนั้นเขาจึงมองไม่ออกว่าเมื่อกี้ฉินซีโกรธเขา
ชั่วขณะฉินซีก็รู้สึกเหนื่อย ราวกับว่ามีเพียงแค่ตัวเองฝ่ายเดียวที่งี่เง่าไปเอง ดังนั้นเธอจึงพยายามปรับสีหน้าให้สงบนิ่ง แล้วนั่งลงอีกด้านของโต๊ะหนังสือ
“คุณมานี่ มาดูรูปนี้” ลู่เซิ่นเงยหน้าไปมองเธอที่นั่งลงอีกด้าน แล้วขมวดคิ้วนิดๆ จากนั้นก็เอ่ยปากขึ้นมา
ไหนๆฉินซีก็ว่าจะไม่เล่นตัวแล้ว จึงลุกขึ้นยืนแล้วเดินมาหยุดอยู่ข้างๆเขา “รูปอะไร?”
ลู่เซิ่นเม้มปาก “รูปพวกนี้เหมือนถ่ายอยู่ในสถานที่ทำงานของคุณ เพราะระยะห่างใกล้มาก คุณลองนึกๆดูหน่อย ว่าที่ตรงนั้นมีมุมไหนสามารถถ่ายออกมาได้แบบนี้บ้าง”
ฉินซีขมวดคิ้วนิดหน่อย ตั้งใจนึกถึงองค์ประกอบต่างๆในสถานที่ถ่ายทำ ยกมือขึ้นมาวาดคร่าวๆ จากนั้นก็ใช้นิ้ววนๆ “น่าจะตรงนี้”
ลู่เซิ่นมองภาพร่างที่เธอวาดขึ้นมา โดยไม่ได้พูดอะไร
ฉินซีเงยหน้าไปมองหน้าของเขา จู่ๆก็มีลางสังหรณ์บางอย่าง “คุณ…..สืบหาเจอแล้วเหรอว่าเป็นใคร?”
ลู่เซิ่นช้อนตาไปมองเธอ จากนั้นก็พยักหน้าเบาๆ “อีกสักพักหลินหยังน่าจะส่งข้อมูลมาให้”
ฉินซีเริ่มไม่เข้าใจ
ในเมื่อเขาสืบเจอแล้วว่าใคร แล้วทำไมถึงยังต้องให้เธอมาดูด้วยล่ะ?
สายตาของฉินซีกวาดมองสีหน้าเรียบนิ่งของลู่เซิ่น ทันใดนั้นก็รู้สึกแปลกๆขึ้นมา
ที่ลู่เซิ่นทำอย่างนี้คงไม่ใช่ว่าเพื่อให้เธอเตรียมใจอะไรไว้ก่อนหรอกนะ?
ฉินซีเองก็คิดว่าเธออาจจะคิดมากไปเอง แต่ไม่รู้ว่าทำไมสายตาของลู่เซิ่นกลับทำให้เธอเอาแต่ขจัดความคิดนี้ออกไปไม่ได้
ฉินซีจึงอดไม่ได้ที่จะเริ่มนึกว่าคนที่อยู่ตรงมุมนั้นเป็นใคร
ตรงมุมนั้นเหมือนจะเป็นตำแหน่งประจำของพนักงานบริษัทลู่ซื่อ ซึ่งคนที่มาติดตามงานในวันนั้นคือ…….แฟนคลับสาวของหซู่เป่ย
ในใจของฉินซีหนักอึ้ง
แต่ถ้าตัดสินจากสิ่งนี้ มันก็ดูตัดสินแบบลวกๆมากเกินไป เพราะถึงยังไงวันนั้นคนที่อยู่ที่นั่นก็ค่อนข้างเยอะ ใครก็สามารถเดินไปผ่านมาตรงมุมนี้ได้ ไม่แน่อาจจะไม่ใช่เธอเสมอไปก็ได้
ทั้งสองคนมองตากันเงียบๆ แต่ในหัวกลับคิดแตกต่างกันไป
แต่ไม่นานสายโทรศัพท์จากหลินหยังก็ส่งเสียงทำลายความเงียบขึ้นมา
“ประธานลู่ครับ ตรวจสอบเรื่องนี้ได้แล้วนะครับ อีกสักครู่ผมจะส่งข้อมูลไปให้”
บางครั้งฉินซีก็รู้สึกนับถือลู่เซิ่น
เขาทำได้ยังไงก็ไม่รู้ ไม่ใช่แค่ตัวเขาที่เก่งเกินคน แม้แต่ผู้ช่วยของเขาก็ทำภารกิจเสร็จรวดเร็วราวกับเหาะเหินเดินอากาศได้อยู่ตลอดเวลา เหมือนสแตนด์บายรออยู่ตลอด24ชั่วโมง
ลู่เซิ่นตอบรับเสียงนิ่ง จากนั้นก็วางสาย เขากดเปิดกล่องอีเมลดูต่อหน้าฉินซี และไม่ได้รีบกดเปิดอ่านในทันที แต่หันหน้าไปถามฉินซีว่า
“คุณอยากดูไหม?”
ฉินซีรู้สึกว่าที่เขาถามมันดูมีอะไรแปลกๆ เธอจึงพยักหน้า “ดูสิ”
ดังนั้นลู่เซิ่นจึงคลิกเมาส์ เพื่อเปิดเอกสารขึ้นมาอ่าน
เพื่อให้ผู้อ่านอ่านเข้าใจได้โดยเร็วที่สุด ข้อมูลจึงกระชับมาก อ่านแค่ประโยคแรกก็สามารถสรุปได้แล้ว
“ต้นตอของรูปภาพมาจากพนักงานบริษัทลู่ซื่อ ชื่อดิงหยิ่ง”
ดิงหยิ่งคือชื่อของแฟนคลับสาวคนนั้น
หัวใจของฉินซีเหมือนถูกน้ำเย็นสาดเข้าอย่างจัง เธอขยับเข้าไปข้างหน้าเพื่อที่จะอ่านเนื้อหาให้ละเอียดอย่างหลุดการควบคุม
ลู่เซิ่นไม่ได้ถือสากับการกระทำของเธอ หลีกไปด้านข้างให้เธออย่างรู้งาน
ฉินซีกวาดสายตาอ่านผ่านๆ พยายามมองหาช่องโหว่อะไรบางอย่าง
แต่เธอก็หาไม่เจอ
เพราะหลินหยังสืบหาคนโพสต์กระทู้นั้นเจอ จึงสามารถสืบหาอีเมลต้นเรื่องของรูปภาพส่วนนี้ได้ อีเมล์นั้นเป็นอีเมล์ที่ใช้กันในบริษัทลู่ซื่อ และเมื่อแกะข้อมูลจากIP ก็พบว่าเป็นคอมพิวเตอร์ของดิงหยิ่ง
หลินหยังกลัวว่าหลักฐานพวกนี้จะยังไม่แน่นหนาพอ จึงวิเคราะห์จากข้อมูลต่างๆของรูปพวกนี้ ไม่ว่าจะเป็นเวลาหรือยี่ห้อโทรศัพท์ ก็ตรงกับของดิงหยิ่งทั้งหมด
ฉินซีก้าวถอยหลังนิดหน่อย
ทำไมถึงเป็นดิงหยิ่งไปได้ล่ะ…….
เธอยังจำการประชุมทุกๆครั้งที่แผนกโฆษณาได้เลย ว่าดิงหยิ่งอบอุ่นเป็นมิตรกับเธอมากแค่ไหน
ฉินซีพยายามบังคับให้ตัวเองใจเย็นลง เริ่มนึกย้อนไปตั้งแต่เริ่มจนจบ
เริ่มแรก เพราะเธอพูดว่าเธอเคยร่วมงานกับหซู่เป่ย ดิงหยิ่งจึงเป็นฝ่ายเข้ามาทักเธอก่อน ความสนิทของทั้งสองก็เริ่มจากตรงนั้น เหมือนดิงหยิ่งจะพูดเปรยๆอยู่ตลอดว่าอยากรู้เรื่องเกี่ยวกับหซู่เป่ยจากเธอ แต่ว่าในตอนนั้นเธอคิดแค่ว่าดิงหยิ่งเป็นแฟนคลับของหซู่เป่ย จึงไม่ได้คิดอะไรมาก ตอนที่คุยกันจึงมีบ้างเป็นบางครั้งที่เธอเอ่ยถึงเขา
พอถึงวันถ่ายทำวันนั้น ก็เหมือนดิงหยิ่งเดินเข้ามาพูดอะไรกับเธอบางอย่าง
ตอนนั้นฉินซีไม่ได้เก็บเอาคำพูดของเธอมาใส่ใจ แต่พอตอนนี้ย้อนกลับไปนึกถึง ก็รู้สึกถึงความทะแม่งๆ
“อย่าให้หซู่เป่ยหลอกง่ายๆ”
เธอพูดมาอย่างนี้
ตอนนั้นฉินซีก็นึกว่าเป็นเพราะเธอรู้จักนิสัยจริงๆของหซู่เป่ย จึงมาเตือนตัวเธอด้วยความหวังดี
แต่ดูจากตอนนี้แล้ว ที่ดิงหยิ่งพูดมาแบบนั้น ดูเหมือนจะไม่ได้หมายความแบบนั้น