Flash Marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน - ตอนที่ 963
บทที่ 963 จิตใจร้อนรุ่มกระสับกระส่าย
ตอนเช้าตั้งแต่ออกมาจากบริษัทฉินซื่อกรุ๊ป แล้วเห็นร่างสูหวั่นรางๆ ฉินซีก็มีลางสังหรณ์ที่ไม่ดีทั้งวันเลย
เธอไม่แน่ใจว่าความรู้สึกอึดอัดนี้คืออะไร ราวกับมีเมฆดำก้อนหนึ่งปกคลุมอยู่ในใจตน จะมีฝนกระหน่ำทำให้ตัวเองจำน้ำตายทุกขณะ
……ครั้งสุดท้ายที่ตัวเองมีความรู้สึกแบบนี้ ก็คือวันนั้นที่เหยาหมิ่นโดนฉินซึ่งเทียนใส่ร้าย
ฉินซียิ่งคิดแบบนี้แล้ว ก็ยิ่งรู้สึกไม่สบายใจ
แต่พอถึงมื้อเย็น มันก็ถือว่าเป็นหนึ่งวันที่สงบ
ตอนกลางวันทานอาหารกลางวันที่บริษัทลู่ซื่อ ลู่เซิ่นให้คนขับรถไปส่งเธอกลับรีสอร์ทชิงหยวน ไม่มีรถไล่ตามมา ไม่มีคนที่น่าสงสัยติดตามมา
กลับมาถึงรีสอร์ทชิงหยวน เธอนอนกลางวันไม่หลับ จึงลุกขึ้นมาทำงาน รูปภาพก่อนหน้านี้ทำได้อย่างราบรื่นมาก ไม่มีอะไรแตกต่างจากที่ผ่านมา
เห็นท้องฟ้าค่อยๆ มืดลง ฉินซีก็อดไม่ได้ที่จะสงสัยตัวเอง
หรือว่าลางสังหรณ์ของตัวเองผิดปกติ?
ถ้าอย่างนั้นก็ดีเลย!
เสียงเครื่องยนต์นอกประตูดังผ่านมา ฉินซีแยกได้เลยว่านี่คือเสียงรถของลู่เซิ่น
เธอจึงเก็บเอกสาร เตรียมลงไปทานอาหารข้างล่าง
ลู่เซิ่นนั่งอยู่ที่โต๊ะแล้ว
“เมื่อเช้าตอนคุณไปบริษัทฉินซื่อกรุ๊ป มีเรื่องอะไรที่แตกต่างเกิดขึ้นหรือเปล่า”
เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย
ฉินซีถามอย่างสงสัยนิดหน่อย “ที่แตกต่าง? ”
ลู่เซิ่นเงยศีรษะมองฉินซี
“ฉันไปสืบสูหวั่นมา ช่วงเวลานี้เธอเดินอยู่ใกล้ๆ บริษัทฉินซื่อกรุ๊ปมาก”
ฉินซีคิด ไม่กี่ประโยคพิสูจน์ว่าวันนี้ฉินซึ่งเทียนและหซู่หนานผิดปกติ
ลู่เซิ่นตกอยู่ในความคิดที่ลึกซึ้ง
จู่ๆ ฉินซีก็คิดอะไรบางอย่างได้ เงยศีรษะขึ้นมาทันที “หรือว่าเธอ……”
ลู่เซิ่นกับเธอมองหน้ากัน จากสายตาเธอมองออกว่าเธอกำลังสงสัยอะไร ส่ายศีรษะพูดขึ้น “ไม่นะ ในบริษัทลู่ซื่อสูหวั่นไม่มีอำนาจในการเข้าถึงข้อมูลของบริษัทลู่ซื่อ และเป็นไปไม่ได้ที่จะเปิดเผยความลับทางธุรกิจใดๆ ”
แต่ฉินซีนึกถึงตอนที่ออกมาในเช้าวันนี้ ฉินซึ่งเทียนเงียบสงบผิดปกติ ยังรู้สึกว่าไม่สบายใจ “แต่ฉินซึ่งเทียนเป็นผู้ที่แสวงหาผลกำไรเท่านั้น ถ้าสูหวั่นไม่สามารถนำอะไรมาได้ เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะใช้เวลาติดต่อกับสูหวั่น”
ปลายนิ้วลู่เซิ่นเคาะบนโต๊ะโดยไม่รู้ตัว “นี่ก็คือปัญหาที่ฉันกำลังพิจารณา……”
ฉินซีขมวดคิ้วครุ่นคิด
ถ้าไม่ใช่บริษัทลู่ซื่อ ถ้าอย่างนั้นคนที่สูหวั่นเป็นตัวแทน ก็คือสูหยิง
สูหยิงกับบริษัทฉินซื่อกรุ๊ป……
จะมีความสัมพันธ์อะไรได้?
ทั้งสองคนมีสีหน้าครุ่นคิด โต๊ะอาหารเงียบสงบ พ่อบ้านยังคิดว่าทั้งคู่ทะเลาะกันอีกแล้ว รีบมาเตรียมไกล่เกลี่ย “ทำไม่กินข้าวครับ? เดี๋ยวมันจะเย็นหมด มา เสิร์ฟซุปหนึ่งชามก่อน”
ลู่เซิ่นยังคงก้มศีรษะ ฉินซีหันศีรษะไปยิ้มให้เขา “คุณไม่ต้องรีบ……”
เธอพูดยังไม่จบ ก็ถูกขัดด้วยเสียงสั่นของโทรศัพท์
เป็นโทรศัพท์ส่วนตัวของลู่เซิ่นที่วางบนโต๊ะ
สำหรับเรื่องงาน คนนอกทำได้เพียงติดต่อหลินหยัง คนที่สามารถโทรหาลู่เซิ่นได้โดยตรง นอกจากหลินยัง ก็คือคนอื่นในตระกูลลู่
เห็นได้ชัดว่าโทรศัพท์วางบนผ้าปูโต๊ะ เสียงสั่นสะเทือนมันก็ได้รับการปกปิดไม่น้อย แต่ฉินซีกลับรู้สึกว่า การสั่นนี้มันแสบแก้วหูมาก
มันเหมือนลางไม่ดี
ลู่เซิ่นก็ดันยื่นมือไปกดปิดโทรศัพท์
“คือ……สูหวั่นเหรอ?” ฉินซีเหลือบมองหน้าจอโทรศัพท์เขา
ลู่เซิ่นพยักหน้า ใบหน้ารำคาญนิดหน่อย “ไม่ต้องไปสนใจเธอ”
“แต่……” ฉินซียังอยากพูดอะไรอีก โทรศัพท์ลู่เซิ่นก็ดังขึ้นอีกครั้ง
ครั้งนี้คนที่โทรมา คือลู่โยวโยว
ลู่เซิ่นขมวดคิ้วเล็กน้อย เอื้อมมือไปกดปุ่มรับสาย
เกือบจะวินาทีต่อมา เสียงร้องไห้ที่ดังมาจากฝั่งลู่โยวโยวก็ดังก้องไปทั่วห้องอาหาร
“พี่! พี่รีบมาที่โรงพยาบาลด่วน! แม่ล้มป่วยแล้ว!”
……
ลู่โยวโยวตอนโทรมาเห็นได้ชัดว่าตกใจกลัว พูดจาวกไปวนมา แค่รู้ว่าเน้นประโยคเดียวซ้ำแล้วซ้ำเล่า “พี่รีบมาเร็วเข้า”
ลู่เซิ่นถามข้อมูลที่เป็นประโยชน์ไม่ได้ ทำได้แค่พูดปลอบไม่กี่ประโยค ยืนยันว่าตนจะไปเดี๋ยวนี้ จากนั้นก็โทรหาหลินหยัง ให้เขารีบไปสืบทันทีว่าเกิดอะไรขึ้นกับสูหยิงคืนนี้ จากนั้นก็ลุกขึ้นรีบไปโรงพยาบาล
เขาขมวดคิ้วเล็กจางๆ แต่ความกังวลในดวงตานั้นเห็นได้ชัด
ฉินซีรู้ ถึงแม้ลู่เซิ่นจะแสดงท่าทีไม่พอใจอย่างมากกับทัศนคติที่ดื้อรั้นของสูหยิงมาโดยตลอด แต่เขาก็ยังมีความรู้สึกลึกซึ้งกับแม่ของตัวเอง
เธอลังเลสักพักหนึ่ง แล้วพูดแนะนำ “ให้ฉันไปเป็นเพื่อนไหม? ”
พอพูดออกไป ก็เห็นลู่เซิ่นหันศีรษะมามองเธอ ดวงตาค่อนข้างไม่เข้าใจนิดหน่อย
ฉินซีคิดว่าตัวเองเลยเถิดเกินไปแล้ว
อย่างไรแล้วเธอกับลู่เซิ่นก็แค่มีความสัมพันธ์แต่งงานด้วยข้อตกลงเท่านั้น ไม่ได้เป็นสามีภรรยากันจริงๆ สูหยิงเป็นลมไปถือว่าเป็นเรื่องในครอบครัวตระกูลลู่ เธอไม่มีคุณสมบัติอะไรในการเข้าร่วม
แต่ร่องรอยความกังวลและความเปราะบางที่ไม่มีใครเห็นของลู่เซิ่น ทำให้เธอเกิดความคิด “อยากไปเป็นเพื่อนเขา” ขึ้นมาทันที
เมื่อเธอกำลังเอ่ยปากอธิบาย ลู่เซิ่นก็เปล่งเสียง “หรือคุณไม่คิดจะไปกับฉันเหรอ? ”
ใช่ เขาพูดแบบนี้ ฉินซีจึงไม่จำเป็นต้องอธิบายแล้ว
ลู่เซิ่นก็รู้ว่าตัวเองค่อนข้างใจร้อน ดังนั้นจึงไม่ได้ขับรถ แค่เคาะราวจับมือตลอดเวลาแสดงความวิตกกังวลในใจขณะที่คนขับรถขับอยู่ คนขับรถตกใจกับการแสดงออกอย่างหนักอึ้งของเขา เหยียบคันเร่ง พุ่งไปข้างหน้าด้วยความเร็วสูงสุดของขีดจำกัด
ไม่นานหลินหยังก็โทรมา “คุณนายลู่เข้าโรงพยาบาลกะทันหันเพราะหัวใจวาย แต่ไม่มีอะไรร้ายแรง ตอนนี้ฟื้นแล้วครับ”
“หัวใจวาย? ” ลู่เซิ่นขมวดคิ้ว “หลายปีแล้วที่เธอไม่มีปัญหานี้ ทำไมจู่ๆ ถึงเกิดขึ้น?”
หัวใจสูหยิงมีอาการป่วยอยู่เสมอ โชคดีที่ไม่กี่ปีมานี้ลู่เซิ่นรับช่วงต่อบริษัทลู่ซื่อ เธอไม่จำเป็นต้องเป็นทุกข์และกังวลเหมือนเมื่อก่อน หลังจากพักผ่อนมาหลายปี ก็ไม่เคยเกิดเรื่องอะไรขึ้นเลย
น้ำเสียงหลินยังรู้สึกผิดนิดหน่อย “ผมกำลังสืบอยู่ครับ จะรีบบอกข้อสรุปให้คุณโดยเร็วที่สุด”
ลู่เซิ่นตอบ “อืม” แล้ววางสายไป แต่ยังคงขมวดคิ้ว
ฉินซีไม่รู้ว่าตัวเองคิดอย่างไร ทันใดนั้นก็เอื้อมมือไปกุมหลังมือลู่เซิ่นที่วางไว้ข้างๆ
ตอนที่ตัวเองอ่อนแอ ลู่เซิ่นเหมือนจะอยู่เคียงข้างตนเสมอ
ถ้าอย่างนั้นตอนนี้ลู่เซิ่นกำลังหดหู่ ตัวเองก็ควรอยู่เป็นเพื่อนเขา
ลู่เซิ่นเหมือนแปลกใจนิดหน่อยกับการเคลื่อนไหวของฉินซี เบนสายตาขึ้นมองเธอ
ฉินซียิ้มปลอบโยนให้กับเขา
ลู่เซิ่นหันศีรษะกลับไป พลิกมือกุมมือฉินซีไว้ในฝ่ามือตน
ฉินซีหันศีรษะไปมองเขาด้วยความประหลาดใจนิดหน่อย แต่ลู่เซิ่นไม่ได้หันศีรษะกลับมาอีก
……
เมื่อลู่เซิ่นและฉินซีรีบไปถึงโรงพยาบาล สูหยิงก็ถูกจัดเตรียมให้อยู่ในห้องผู้ป่วยที่ดีที่สุดในแผนกผู้ป่วยใน
สีหน้าลู่เซิ่นหนักอึ้งมาก ฉินซีเดินตามหลังเขา ก็เงียบสงบมากเช่นกัน
หลินหยังยังไม่ได้โทรมาอีก อาจจะไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะหาคำตอบอย่างชัดเจน
อาจจะเพราะมันดึกแล้ว แผนกผู้ป่วยในจึงเงียบสงบ นอกจากพยาบาลที่เดินไปเดินมา ไม่มีเสียงอื่นเกินความจำเป็น
แต่นี่มันก็ทำให้เสียงจ้อกแจ้กจอแจที่ดังมาจากห้องผู้ป่วยที่สูหยิงอยู่ดังชัดเจนยิ่งขึ้น
ลู่เซิ่นและฉินซีอดไม่ได้ที่จะเร่งฝีเท้า