Flash Marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน - ตอนที่ 982
บทที่ 982 เธอกับลู่เซิ่นเดทกันอยู่เหรอ
ฉินซีนิ่งไปครู่หนึ่ง หัวเราะออกมาอย่างเขินๆ “แล้วเธอจะถามอะไรล่ะ”
อานหยันกลอกตาไปมาก่อนที่จะตอบกลับ “หยุดพูดเรื่องอื่นก่อน ตอนนี้เธออยู่บนเตียงกับลู่เซิ่นใช่ไหม”
ฉินซีนิ่งเงียบ
แต่สำหรับอานหยันแล้ว ความเงียบเท่ากับยอมรับ เธอกัดฟันพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ฉินซีบอกความจริงมานะ ตอนนี้เธอกับลู่เซิ่นเป็นอะไรกันแน่”
ฉินซีเปิดปากแต่กลับไม่รู้ว่าจะตอบอะไรออกไป
เป็นอะไรกัน
เธอเองก็อยากรู้ว่าระหว่างพวกเธอสองคนเป็นอะไรกันแน่
ฉินซีไม่รู้จะนิยามความสัมพันธ์ระหว่างเธอและเขาด้วยคำว่าอะไร อีกทั้งยังไม่แน่ใจอีกว่าลู่เซิ่นคิดอย่างไรกับเธอ
“ที่หย่ากันเป็นเรื่องจริงใช่ไหม” อานหยันถอนหายใจและเปลี่ยนวิธีตั้งคำถาม
“อืม” ฉินซีตอบกลับ
“แต่หลังจากที่เซ็นใบหย่าแล้ว เธอก็ยังอยู่ที่รีสอร์ทชิงหยวนงั้นเหรอ” อานหยันถามอีกครั้ง
ฉินซีไม่สามารถปฏิเสธได้ เธอทำได้แค่ส่งเสียง “อืม” อีกครั้ง
“และสุดท้ายเธอกำลังจะบอกฉันว่า ตอนนี้เธอกำลังนอนอยู่บนเตียงของลู่เซิ่นใช่ไหม” อานหยันกลับมาที่คำถามเดิมอีกครั้ง
ฉินซีเงียบไปพักหนึ่ง ค่อยๆตอบด้วยเสียงแผ่วเบา “ใช่”
อานหยันที่นิ่งเงียบไปพักใหญ่ จู่ๆก็ถามขึ้น “ฉินซี เธอกำลัง…เดทกับลู่เซิ่นอยู่ใช่ไหม”
ฉินซีถลึงตาพลางรีบบอกปัดทันที “จะเป็นแบบนั้นได้ยังไง”
แต่อานหยันไม่ใช่คนที่จะเชื่ออะไรง่ายๆ เธอเริ่มวิเคราะห์อย่างมีเหตุผล “ก็ดูสิ พวกเธอหย่ากันแล้ว เพราะงั้นก็ไม่ใช่สามีภรรยากัน แต่คนที่ไม่ใช่สามีภรรยากลับไปนอนด้วยกัน ไม่ใช่คู่นอนก็ต้องเป็นคู่รัก ส่วนเธอเองก็มีใจให้ลู่เซิ่น เพราะงั้นก็ไม่ใช่คู่นอนและคู่รักก็เป็นความสัมพันธ์เดียวที่เหลืออยู่ไม่ใช่รึไง”
ฉินซีเปิดปากค้างอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพบช่องโหว่ในคำพูดของเธอ “แต่การเป็นคู่รัก คือทั้งสองคนต้องมีความสุขสิ”
เธอรู้ว่าตัวเองต้องการอะไร แต่เธอมองไม่ออกว่าลู่เซิ่นคิดอะไร
ถ้าลู่เซิ่นไม่ชอบตัวเองพวกเขาก็ไม่นับว่าเป็น…คู่รักกัน
“เรื่องนี้เธอไม่ต้องเป็นห่วง” อานหยันพูดอย่างคลุมเครือ “ฉันรับรองได้เลยว่าความคิดของลู่เซิ่นก็ไม่ต่างจากเธอแน่นอน”
ฉินซีเลิกคิ้วขึ้น “ทำไมเธอพูดแบบนี้ล่ะ”
อานหยันหัวเราะ “เมื่อวานเกิดอะไรขึ้น เขาพูดอะไร เธอจำไม่ได้แล้วเหรอ”
ฉินซีขมวดคิ้ว ค่อยๆนึกย้อนไป
เมื่อคืนเธอไม่ได้เมาจนภาพตัดไปเสียหมด ยังพอจำสิ่งที่เกิดขึ้นได้ลางๆ แต่เพราะดื่มมากจนเกินไป หากพูดตามตรง…เธอจำไม่ค่อยได้แล้ว
เธอส่ายหัว “พูดว่าอะไร ฉันจำไม่ได้แล้ว”
อานหยันลากเสียง “อืม”ยาวเป็นหางว่าว จากนั้นก็พูดขึ้น “อย่างนั้นเธอค่อยๆทบทวนไปนะ แต่ยังไงก็ตามเธอวางใจได้ ลู่เซิ่นมีความรู้สึกต่อเธอแน่นอน!”
ฉินซีมีบางอย่างที่อยากจะพูด แต่ลู่เซิ่นเปิดประตูห้องน้ำและเดินออกมา
สิ่งที่เธออยากจะถามนั้นไม่เหมาะที่จะถามต่อหน้าลู่เซิ่น เธอจึงทำได้เพียงรีบบอกลาอานหยัน และกดวางสาย
“อานหยันเหรอ” ในขณะที่ ลู่เซิ่นกำลังเช็ดผมอยู่ก็พลางถามขึ้นอย่างไม่ใส่ใจนัก
แต่เขานั้นได้คิดบัญชีเอาไว้แล้ว เมื่อวานคนที่พูดว่าเขาคือสามีเก่าก็คืออานหยัน คนที่ต้องการขัดขวางเขาจากฉินซีก็คืออานหยันอีกเช่นกัน
แม้ว่าอานหยันจะเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของเธอ แต่ก็ไม่สามารถยกโทษให้ได้ง่ายๆ
ฉินซียิ้มแห้งๆ “ใช่แล้ว”
ลู่เซิ่นหันมามองเธอ “บอกเรื่องที่เราหย่ากันกับเธอแล้วเหรอ”
เมื่อเห็นท่าทีของเขา ฉินซีก็รู้ว่าเมื่อคืนเขาต้องพูดอะไรบางอย่างแน่นอน ดังนั้นจึงไม่ปฏิเสธและพยักหน้ารับ
ลู่เซิ่นกัดฟัน ไม่ได้พูดอะไรอีก
ฉินซีมองดูแผ่นหลังของเขาพลางคิดถึงสิ่งที่อานหยันพูดเมื่อครู่
ลู่เซิ่นเอง…ก็มีความรู้สึกให้เธออย่างนั้นเหรอ
แต่ความรู้สึกที่อานหยันหมายถึงเป็นความรู้สึกอย่างไรกันแน่
แท้จริงแล้วลู่เซิ่นยังคงรู้สึกอาลัยอาวรณ์ตัวเองอยู่ หรือว่าจะชอบจริงๆ หรือว่าจะเป็นความรัก
คิ้วของฉินซีขมวดกันเป็นปม
เธอไม่ชอบให้ตัวเองต้องเป็นคนคิดอยู่ฝ่ายเดียว
ฉินซีไม่ใช่คนใจเสาะ เธออยากรู้ว่าลู่เซิ่นคิดอย่างไรและเธอก็ไม่ขี้ขลาดเกินกว่าจะถามมันออกไป
แต่เมื่อเธอกำลังจะเอ่ยปาก จู่ๆเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น
เป็นเบอร์อื่นที่ไม่คุ้นเคย
ฉินซีกดที่แป้นบันทึกเสียงก่อนที่จะยื่นมือไปหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา
“สวัสดีครับ คุณฉินใช่ไหมครับ”
เสียงที่โทรเข้ามาฟังดูคุ้นหู
“ใช่ค่ะ”
ฉินซีตอบกลับอย่างกระชับ
“สวัสดีครับ ผมเลขาต่งจากบริษัทฉินซื่อกรุ๊ปนะครับ ว่าด้วยกำหนดการของบริษัทฉินซื่อกรุ๊ปแล้ว ท่านประธานฉินได้ประกาศให้มีการประชุมคณะกรรมการเฉพาะกาล โดยอีกสามวันหลังจากนี้ คุณสามารถเข้าร่วมในเวลาดังกล่าวได้ไหมครับ”
เลขาต่งเป็นคนมีมารยาทสุภาพเรียบร้อย
ฉินซีพยักหน้ารับอย่างไม่ลังเล “ได้ค่ะ”
“ครับ ผมจะส่งรายละเอียดและวาระการประชุมให้คุณในภายหลังเพื่อให้คุณได้ตรวจสอบก่อนล่วงหน้า”
เลขาต่งพูดจบก็วางสายไป
ความรู้สึกส่วนตัวของฉินซีเมื่อครู่ดับวูบไปเพราะสายจากโทรศัพท์ ความต้องการที่จะถามคำถามก็หายไปด้วยเช่นกัน
“ฉินซื่อกรุ๊ปเหรอ” ลู่เซิ่นหันกลับไปมองเธอ
ภายในห้องนั้นเงียบสงัด เขาได้ยินคำพูดแว่วๆเพียงไม่กี่คำ
ฉินซีพยักหน้าพลางเช็คอีเมลของตัวเอง“ ฉินซึ่งเทียนจัดประชุมคณะกรรมการเฉพาะกาลและขอให้ฉันไปเข้าร่วม”
“คณะกรรมการเฉพาะกาล?” ลู่เซิ่นเดินมาที่ด้านข้างของเธอ “ทำไมจู่ๆถึงจัดประชุม”
ฉินซีเปิดอีเมลที่ เลขาต่งส่งให้เธอเพื่อดูเนื้อหาของอีเมลก็หัวเราะออกมาอย่างอธิบายไม่ถูก “เพราะเขาต้องการ…ถอนตำแหน่งฉัน”
ลู่เซิ่นขมวดคิ้ว ก้มหัวลงไปมอง
เนื้อหาของอีเมลเขียนอย่างกระชับ แค่กวาดสายตาก็สามารถเห็นประเด็นหลักได้อย่างรวดเร็ว
“วาระการประชุม กรรมการผู้บริหารฉินซีได้ใช้ประโยชน์จากตำแหน่งของเธอ เปิดเผยความลับทางธุรกิจของบริษัทฉินซื่อกรุ๊ป ก่อให้เกิดความเสียหายอย่างมากต่อบริษัท เห็นสมควรถูกถอดถอนออกจากตำแหน่ง”
“เปิดเผยความลับทางธุรกิจ…” ฉินซีพึมพำเบาๆพลางนึกถึงคำพูดของฉินซึ่งเทียนที่โกรธเป็นฟืนเป็นไฟตอนที่โทรมาเมื่อวานนี้
ลู่เซิ่นขมวดคิ้ว “อะไรทำให้เขามั่นใจว่าเธอเป็นคนเอาข้อมูลมาบอกฉัน โครงการเล็กๆแบบนี้บริษัทลู่ซื่อได้ข่าวรั่วไหลมาจากใครที่ไหนกัน”
ท่าทีของฉินซีดูสงบมาก
เธอส่ายหัวพลางปิดโทรศัพท์ “ ฉินซึ่งเทียนอาจไม่รู้เรื่องนี้ แต่การที่ฉินซื่อกรุ๊ปพลาดโปรเจกต์นี้ จนต้องเจอกับความเสียหายครั้งใหญ่ทำให้โอกาสในการพัฒนาก็ยิ่งลดลงตามไปด้วย เขาจำเป็นต้องให้คำอธิบายแก่ผู้ถือหุ้นแต่เขาไม่สามารถขอโทษด้วยตัวเองได้ ส่วนหซู่หนานที่เป็นลูกเขยของเขายิ่งไม่สามารถทำได้แน่นอน คิดๆดูแล้วก็มีแต่ฉันนี่แหละที่เป็นข้อกล่าวหาที่เหมาะสม สามารถโน้มน้าวทุกคนได้ เพราะอย่างนั้นเลยให้ฉันรับบทเป็นแพะรับบาป ”
ลู่เซิ่นมองเธอเงียบๆและอดไม่ได้ที่จะถาม “เธอ…มีวิธีเหรอ”
ฉินซีหัวเราะเบา ๆ “แน่นอน”
เธอไม่ใช่คนประเภทที่จะยอมให้ใครๆสามารถบีบบังคับได้ง่ายๆ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการโดนสาดสีสาดโคลน
“ฉินซึ่งเทียนไม่มีหลักฐาน เขาทำได้แค่พูดเท่านั้น” ลู่เซิ่นนั่งลงด้านข้างเธอ “ถ้าเธอต้องการหลักฐานเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ว่าเรื่องนี้เป็นฝีมือของบริษัทลู่ซื่อโดยที่เธอไม่มีไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรเลยล่ะก็ ฉันสามารถให้หลักฐานกับเธอได้นะ”
ฉินซีกลับส่ายหัว “ไม่จำเป็น เพราะคราวนี้ฉันวางแผนให้เขาได้ในสิ่งที่เขาต้องการ”
ลู่เซิ่นขมวดคิ้ว “เธอ…”
ฉินซีหันไปยิ้มให้เขา “เมื่อถึงเวลา นายก็จะรู้เอง”